บทที่ 257 เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 257 เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

หลังจากที่มู่เฉินเทียนขึ้นมาเป็นเจ้าบ้านมู่แล้ว ก็มีเวลาอยู่ช่วงหนึ่ง ที่กดขี่จนมู่จงหยุนโงหัวไม่ขึ้น

ดังนั้น ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้มู่จงหยุนโกรธแค้นมู่เฉินเทียนขึ้นอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดที่เคยได้ส่งคนไปลอบฆ่ามู่เซิ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดมือลง และกลายเป็นว่าบุตรบุญธรรมของตนเองก็ต้องมาเสียชีวิตไปด้วย

เรื่องนี้ทำให้ในใจของมู่จงหยุน เคียดแค้นมู่เฉินเทียนอย่างที่สุด

วันนี้ ในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว!

อาการป่วยของมู่เฉินเทียน ทำให้เขาเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงผู้ป่วย นี่ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับมู่จงหยุน โดยตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาต้องการขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลมู่ให้ได้ ครั้นแล้วจึงได้แทรกตัวเข้ามาในตระกูลมู่ และบำเพ็ญฝึกฝนอย่างอุตสาหะ

สวรรค์ย่อมเมตตาคนที่มีความเพียรพยายาม ก่อนหน้านี้ ตอนที่มู่เซิ่งเพิ่งจะกลับมาที่ตระกูลมู่ เขาก็บรรลุขั้นแดนปรมาจารย์บู๊แล้ว ซึ่งเข้าสู่ระดับนักเสวียนอย่างสมบูรณ์

สิ่งนี้เองที่ทำให้เขามีคุณสมบัติพอที่จะสามารถขัดแย้งกับมู่เฉินเทียนได้

ต่อมา เรื่องที่มู่เฟิงถูกมู่เซิ่งลงมือทำร้ายจนแขนหักนั้น ก็ทำให้เขาเจ็บปวดใจอย่างมาก ถึงขนาดทนไม่ไหวจะไปต่อสู้กับมู่เซิ่งอย่างสุดชีวิตเลย แต่เขาอดทนเอาไว้ได้ ก็เพื่อวันนี้ ต้องการที่จะดูมู่เฉินเทียน เสียชื่อเสียงหมดสิ้นอำนาจในตระกูลมู่ลงอย่างสิ้นเชิง!

“พาฉันไปห้องประชุมของตระกูลเถอะ เวลาเริ่มประชุมใกล้จะถึงแล้ว” มู่เฉินเทียนเอ่ยปากขึ้น

ฉินหลินพยักหน้า และเดินเข้ามา แบกมู่เฉินเทียนขึ้นไว้บนหลังของตน จากนั้นลูกหลานตระกูลมู่ที่อยู่ด้านข้างก็ยกรถเข็นขึ้นบันไดไปทีละขั้น แล้วฉินหลินก็นำมู่เฉินเทียนวางลงบนรถเข็น

ละเอียดรอบคอบอย่างมาก ราวกับว่ากำลังดูแลพ่อของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ถึงกับทำให้มู่เซิ่ง อดไม่ได้ที่จะหันมองไปดู

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินเทียนพูดขึ้น

ฉินหลินก็เข็นมู่เฉินเทียนไปข้างหน้า

แต่ทว่า ลูกหลานที่ตามมาด้านหลังนั้น กลับไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด

หลังจากรออยู่สักครู่หนึ่ง มู่จงหยุนก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า: “ไปกันเถอะ เจ้าบ้านบอกให้ไป แล้วพวกนายจะมัวยืนทำอะไรกันอยู่อีกล่ะ? ”

พวกลูกหลานตระกูลมู่เหล่านั้น จึงได้เริ่มเดินตามมู่เฉินเทียนไปข้างหน้า เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงสถานะของมู่จงหยุนในตระกูลมู่ อย่างเด่นชัดเลยทีเดียว

แม้ว่าเขายังจะไม่ได้เป็นเจ้าบ้าน แต่คำพูดของเขานั้น มีอำนาจมากกว่าคำพูดของมู่เฉินเทียนแล้ว

คนกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังของมู่จงหยุน ค่อย ๆ อ้อมสระบัวของตระกูลมู่ แล้วเดินทะลุผ่านระเบียงยาว ท้ายสุดก็เดินเข้าไปในห้องประชุมตระกูลมู่

ผู้อาวุโสของตระกูลมู่ต่างก็นั่งอยู่บนที่นั่งแล้ว มู่เฉินเทียนเข้าไปนั่งก่อน โดยที่ฉินหลินได้อุ้มเขาไปยังที่นั่ง จากนั้นก็เป็นมู่จงหยุนและคนอื่น ๆ เข้าสู่ที่นั่ง และสุดท้ายรุ่นเด็กก็เข้ามานั่ง ส่วนลูกหลานตระกูลมู่คนอื่น ก็ยืนกันอยู่บริเวณโดยรอบ

ห้องประชุมมีขนาดใหญ่มาก แต่ไม่นานก็ถูกลูกหลานตระกูลมู่ยืนกันจนเต็มไปหมด ยังมีอีกไม่น้อยที่เข้าไปยืนด้านในไม่ได้แล้ว จึงต้องยืนอยู่ด้านหน้าและมองดูเข้าไปด้านใน

วันนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นวันประเมินและตัดสินตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าบ้าน ยังจะเป็นวันถือกำเนิดเจ้าบ้านคนใหม่ขึ้นอีกด้วย ทุกคนของตระกูลมู่ ต่างก็ตั้งตารอคอยกันอย่างที่สุด

แต่ในใจของคนส่วนใหญ่นั้น ต่างก็มีผลลัพธ์กันอยู่แล้ว

“ตามพินัยกรรมของบรรพบุรุษตระกูลมู่……”

เวลานี้ มีลูกหลานตระกูลมู่คนหนึ่ง ได้อ่านกฎเกณฑ์ของตระกูลมู่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ

มู่คู่กับมู่ปู้ต่างก็มากันแล้ว แม้แต่มู่เฟิงก็นั่งอยู่บนที่นั่งแล้ว โดยแขนขวาของเขาได้ทำการใส่แขนปลอมเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสายตาที่มองไปยังมู่เซิ่งนั้น เผยให้เห็นถึงความเคียดแค้นอย่างที่สุด

มู่คู่มองไปจากที่นั่งของตน เห็นมู่เฉินเทียนในสภาพที่แก่ชราแล้ว ก็ดีใจขึ้นในทันที

ขณะเดียวกันเขายังสังเกตอย่างละเอียดอีกว่า ในปกคอเสื้อของมู่เฉินเทียน ยังมีเส้นผมขาวอยู่อีกไม่น้อยด้วย

แสดงให้เห็นว่า มู่เฉินเทียนป่วยหนักจนเส้นผมแทบจะร่วงหมดแล้ว

มู่จงหยุนพูดได้ถูกต้องว่า สาเหตุของโรคนี้ไม่มีใครทราบได้ มู่เฉินเทียนใกล้จะตายลงแล้ว

ทันใดนั้น เขาจึงส่งสายตาที่เป็นห่วงเป็นใย พร้อมกับถามขึ้นว่า: “มู่เฉินเทียน ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย สีหน้าท่าทางดูสดชื่นดีนะ? ”

ไม่เจอกันนานแล้วจริง ๆ ด้วย ตั้งแต่ที่มู่เฉินเทียนเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล มู่คู่ก็ไม่เคยไปเยี่ยมหาเขาเลยสักครั้ง

“คุณพี่ถึงกับเยาะเย้ยกันเลยนะ แม้ว่าฉันจะอายุน้อยกว่าคุณ แต่สภาพท่าทางดูเหมือนจะแก่ชรากว่าคุณมากมายทีเดียว โชคชะตากลั่นแกล้งกันจริง ๆ เลย” มู่เฉินเทียนพูดขึ้นอย่างช้า ๆ

“อืม โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งกันจริง ๆ เลย” มู่คู่พยักหน้าตาม แต่ใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าท่าทางที่เศร้าเสียใจเลยแม้แต่น้อย “แต่นายก็อย่าเป็นกังวลไป นายยังมีลูกชายที่ยังหนุ่มแน่นอยู่ ไม่เหมือนกับลูกชายของฉัน ที่มีเพียงแต่วุฒิด็อกเตอร์ ตอนนี้แม้แต่บริษัทก็ยังบริหารจัดการได้ไม่ดีเลย ลูกชาย ทำไมยังไม่มาแสดงความเคารพต่อคุณอาอีกล่ะ? ”

“สวัสดีคุณอา” มู่ปู้เดินขึ้นมาด้านหน้า แล้วยกมือแสดงความเคารพต่อมู่เฉินเทียน

คำพูดนี้ของมู่คู่ ก็เป็นการจงใจที่จะเยาะเย้ยมู่เฉินเทียน

ลูกชายของนายถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลมู่ตั้งแต่เด็ก แม้แต่หนังสือก็ไม่ค่อยได้เรียนเท่าไร ตอนนี้หลังจากกลับมา เกรงว่าคงจะบริหารจัดการไม่เป็นล่ะสิ? อีกสักครู่เมื่อกำไรผลประกอบการออกมาแล้ว ก็จะเป็นเวลาที่นายอับอายขายหน้าอย่างสิ้นเชิง!

นายลองดูลูกชายของฉันสิ หลังจากที่รับช่วงต่อของบริษัทสมุนไพรแล้ว ก็บริหารจัดการจนเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การเลือกตั้งผู้สืบทอดเจ้าบ้านในครั้งนี้ นายจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

มู่เฉินเทียนพูดขึ้นว่า: “หลานชายช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ดูแล้วน่าจะมีอนาคตที่รุ่งเรืองแน่นอน”

“แน่นอนอยู่แล้ว” ไม่ต้องรอให้มู่คู่พูดขึ้นมา ทางมู่ปู้เองก็เงยหน้าขึ้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

จากนั้น พวกเขาก็ไม่ได้หันมองไปที่มู่เซิ่ง

ปล่อยให้มู่เซิ่งยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ที่ด้านข้าง ราวกับว่าเป็นมนุษย์ไร้ตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

ในระหว่างที่อ่านกฎเกณฑ์อยู่นั้น มู่จงหยุนก็สอบถามขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเทียนไม่ได้ทำการโต้แย้ง เขาก็ยิ่งจะกำเริบไปใหญ่ หัวเราะเสียงดังติดต่อกันหลายหน ราวกับว่ากำลังแสดงท่าทางของผู้ชนะอย่างเต็มที่

ไม่นานนัก

การประชุมของตระกูลมู่ ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ!

ผู้อาวุโสของตระกูลมู่นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก โดยลูกศิษย์ของตระกูลมู่ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เพื่อฉายจอมอนิเตอร์ไปยังฝาผนังด้านหลังของห้อง

จากนั้น ผู้อาวุโสตระกูลมู่ก็พูดขึ้นว่า:

“ตามกฎเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าบ้านในครั้งนี้ จะพิจารณาจากกำไรผลประกอบการบริษัทของแต่ละคน ในช่วงหนึ่งเดือนก่อนที่ผ่านมา โดยที่บริษัทเหล่านี้จะต้องไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนของตระกูลมู่แต่อย่างใด ถ้าหากตรวจพบ ก็จะต้องสละสิทธิโควตาการเลือกตั้งในครั้งนี้”

“มู่จงหยุน นายยืนยันที่จะเข้าร่วมการเลือกตั้งเป็นผู้สืบทอดเจ้าบ้านในครั้งนี้ใช่ไหม? ”

“มู่คู่ นายยืนยันที่จะเข้าร่วมการเลือกตั้งเป็นผู้สืบทอดเจ้าบ้านในครั้งนี้ใช่ไหม? ”

“มู่เฉินเทียน นายยืนยันที่จะเข้าร่วมการเลือกตั้งเป็นผู้สืบทอดเจ้าบ้านในครั้งนี้ใช่ไหม? ”

ทั้งสามคนต่างก็พยักหน้า

“ผู้ชนะ จะได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าบ้าน และผู้แพ้ก็ต้องยินยอม ที่จะนำกิจการมอบให้กับเจ้าของคนอื่น เมื่อมีคนเป็นผู้สืบทอดเจ้าบ้านแล้ว ไม่ว่าเจ้าบ้านคนก่อนหน้า หรือคนอื่น ๆ รวมถึงตัวฉันที่เป็นผู้อาวุโสตระกูลมู่ ห้ามที่จะโต้แย้งเด็ดขาด พวกนายเห็นชอบตกลงตามนี้ไหม? ”

ผู้อาวุโสตระกูลมู่สอบถามขึ้นอีกครั้ง

ทั้งสามคนก็ยังพยักหน้ายืนยัน

แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ฟังรายละเอียดของการเลือกตั้งผู้สืบทอดเจ้าบ้าน แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ลูกหลานตระกูลมู่ต่างก็ยังคงรู้สึกว่าไร้สาระอย่างที่สุด

ครั้งนี้มู่เฉินเทียนจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

เดิมทีบริษัทเครื่องประดับมู่เหม่ยก็เทียบกับสองบริษัทนั้นไม่ได้อยู่แล้ว กอปรกับมู่เซิ่งอยู่ในเมืองเยียนจิงก็ไม่มีที่พึ่งพาอะไรเลย แล้วเขาจะเอาอะไรมาแข่งขันกับมู่ปู้และมู่เฟิงล่ะ?

ตระกูลมู่ห้ามยื่นมือเข้าช่วย แต่เพื่อนของพวกเขาทั้งสองคน ก็มีมากกว่ามู่เซิ่งมายมายนัก

“ดังนั้น การแข่งขันเพื่อเลือกตั้งผู้สืบทอดเจ้าบ้านในครั้งนี้ จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ! ”

“โดยมีทุกคนในตระกูลมู่เป็นสักขีพยาน! ”

ลูกหลานตระกูลมู่จำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ทยอยเงยหน้าขึ้น แล้วก็หันมองไปในห้องประชุมตระกูลมู่ เพื่อต้องการที่จะเป็นสักขีพยานของผลลัพธ์ในครั้งนี้ด้วย

ครั้งก่อนที่มู่เฉินเทียนขึ้นเป็นเจ้าบ้านนั้น ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน แต่วันนี้ คือการเลือกตั้งเจ้าบ้านครั้งที่สองแล้ว

ช่างเป็นที่คาดหวังตั้งตารอคอยกันจริง ๆ เลย