บทที่ 249 ตัวตนที่แท้จริงของพิชญา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ที่มุม วารุณีได้ยินประโยคนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว ก็ตะลึงงันไปหมด ริมฝีปากอ้ากว้าง โทรศัพท์ตกลงพื้นดังแปะ

เธอเพิ่งได้ยินอะไรไป พิชญา……เป็นลูกสาวของปวิช?

“ใครอยู่ตรงนั้น!”เสียงของโทรศัพท์วารุณีตกลงไป ก็ทำเอาขยานีกับปวิชสองคนนี้ตกใจ

พวกเขามองไปทางต้นเสียงพร้อมกัน มองเห็นชายเสื้อเล็กน้อยที่โผล่ออกมาจากมุมตรงหน้า ตระหนักได้ว่าที่พวกเขาเพิ่งพูดไปมีคนได้ยิน อาการก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

“ปวิช ทำไงดี เธอจะต้องรู้จักฉันแน่ ดังนั้นจึงจงใจแอบฟัง”ขยานีรีบร้อนจนดึงแขนเสื้อของปวิช

ปวิชก็กลัวว่าคนนั้นจะเอาเรื่องของเขากับขยานีไปพูด เข้าถึงหูของสุภัทร

ถึงแม้ตอนนี้สุภัทรล้มละลาย ถึงจะจนมุมแต่ก็มีอำนาจมากกว่าเขา เขาไปสู้ด้วยไม่ได้

ดังนั้น เขาจำเป็นต้องขัดขวางคนที่แอบฟังพวกเขาคุยกัน ถ้าเอาเงินไปซื้อได้ก็คงดี แต่ถ้าซื้อไม่ได้ ก็คง……

ปวิชหรี่ดวงตาที่ดุดันนั้นลง สะบัดมือของขยานี เดินไปที่หัวมุม

วารุณีได้ยินเสียงฝีเท้า รู้ว่าพวกขยานีเดินมาทางตัวเอง กลัวพวกเขาจับได้ หลังจากกัดฟันแล้ว ก็ก้มเก็บโทรศัพท์ที่พื้นแล้ววิ่ง

ปวิชคิดไม่ถึงว่าเธอจะวิ่ง ก็ตะลึงไปก่อนเล็กน้อย จากนั้นตะโกนเสียงดังไปที่ยาม บอกว่าสถานีโทรทัศน์มีปาปารัสซีเข้าไป

ยามพวกนั้นได้ยินว่ามีปาปารัสซี จึงตามไปทางที่วารุณีหนีไปทันที

“ตามไปเร็ว อย่าให้เธอวิ่งไป จะต้องจับเธอให้ได้!”ปวิชก็ไล่ตามอยู่ด้านหลังยาม ตามไปตะโกนไป

วารุณีได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลัง ก็ยิ่งวิ่งไวมากขึ้น แต่ยิ่งวิ่งไว เธอก็ยิ่งรีบร้อน

ยังไงที่นี่ก็เป็นสถานีโทรทัศน์ เธอไม่ชิน ไม่ว่าจะวิ่งอย่างไร สุดท้ายก็จะถูกจับได้

ตอนที่วารุณีไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆมือใหญ่คู่หนึ่งก็ยื่นออกมาจากประตูหนึ่งตรงทางเดิน ดึงมือของเธออย่างรวดเร็ว ดึงเธอเข้าไปในประตู แล้วปิดประตูลง

วารุณีคิดว่าตัวเองถูกจับ สายตาก็ปรากฏความตื่นตระหนกอย่างแรง กำลังจะร้องออกมาเสียงดัง ปากของเธอก็ถูกมือข้างหนึ่งปิดไว้

“อย่าส่งเสียง!”เสียงเคร่งขรึมทุ้มเบาของชายหนุ่มดังอยู่ด้านหลังเธอ

ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยที่ไม่อาจคุ้นเคยได้อีกแล้ว ดวงตาวารุณีก็เบิกโต สงบลงทันที แล้วรีบร้องอู้อี้ออกมา สื่อว่าให้ชายหนุ่มปล่อยเธอ

ชายหนุ่มฟังเข้าใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปล่อยมือออก

วารุณีหันกลับ มองเห็นคนที่ช่วยตัวเอง เป็นนัทธีแล้ว หัวใจที่เกร็งแน่น จึงกลับไปอยู่ที่เดิม

ขณะที่เธอโล่งอกไปนั้น ก็จ้องไปที่ชายหนุ่มแล้วตำหนิไปด้วยว่า“ประธานนัทธี คุณทำฉันตกใจ ฉันคิดว่าฉันถูกจับแล้วเสียอีก”

นัทธีเม้มริมฝีปากบางๆ“คุณทำอะไร ถึงให้ยามของสถานีโทรทัศน์มาจับคุณได้?”

เขาเพิ่งพบผู้อำนวยการสถานีเสร็จแล้วออกมาจากลิฟต์เฉพาะ ก็เห็นฉากที่เธอถูกไล่ตาม จากนั้นจึงเปิดประตูของออฟฟิศห้องหนึ่งที่ไม่มีคน เดินเข้าไปในประตูรอให้เธอผ่านจะได้ช่วยเธอ

นอกจากนี้แล้ว เขายังเพิ่งให้มารุตไปที่ห้องวงจรปิด ลบภาพบันทึกตลอดทางของเธอออกหมด

วารุณีวิ่งจนหน้าแดง ตอบกลับไปอย่างหอบๆ“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันถูกใส่ร้าย”

“ใส่ร้าย?”สายตานัทธีเพ่งออกไป อาการก็เคร่งขรึมขึ้นมา“ใคร?”

“ปวิช”วารุณีมองซ้ายมองขวา มองเห็นที่มุมออฟฟิศมีเครื่องกดน้ำ จึงเดินไปใช้ถ้วยกระดาษ มารองน้ำถ้วยหนึ่ง

ดื่มเสร็จแล้ว เธอจึงหายใจเป็นปกติ แล้วจึงพูดต่อว่า“เขาคือชายชู้ที่อยู่ข้างนอกของขยานี เมื่อกี๊ฉันบังเอิญเจอพวกเขา แต่ถูกพวกเขาจับได้ ดังนั้นจึงมีฉากอย่างที่คุณเห็น”

“แค่บังเอิญเจอพวกเขาเฉยๆ?”นัทธีหรี่ตาลง ไม่เชื่อว่าจะธรรมดาขนาดนี้

มุมปากวารุณีกระตุกเล็กน้อย“ปิดประธานนัทธีไม่อยู่จริงๆด้วย โอเค ฉันยังได้ยินที่พวกเขาคุยกันด้วย”

“พวกเขาคุยอะไร?”

หลังจากวารุณีบีบถ้วยน้ำกระดาษนั่นแล้ว ก็ทิ้งลงไปในถังขยะ“จะพูดอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่จริงแล้วพิชญาไม่ใช่ลูกสาวของสุภัทร แต่เป็นลูกสาวของพวกเขา”

“ขยานีกับปวิชนั่น?”ในรูม่านตาสีดำของนัทธี ก็มีความตกใจเล็กน้อย

“ค่ะ ขยานีพูดเองกับปาก น่าจะเป็นจริง”วารุณีพยักหน้า“ฉันคิดมาตลอดว่า ขยานีกับปวิชเพิ่งรู้จักกันมาสองสามปีนี้ คิดไม่ถึงว่าพวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว หลังจากตั้งท้องพิชญา ก็ให้สุภัทรมาเป็นคนรับของเหลือ”

พูดแล้วก็ตลก เพื่อแม่ลูกขยานีแล้ว สุภัทรไล่ภรรยาถูกต้องตามกฎหมายกับลูกชายลูกสาวสองคนของตัวเองออกไป จากนั้นเอาลูกสาวของคนอื่นมาประคบประหงมเหมือนเป็นลูกแท้ๆ

ไม่รู้ว่าถ้าสุภัทรรู้ทุกอย่างนี้แล้ว จะโกรธจนหมดสติไปเลยไหม

มองความสะใจในสายตาของวารุณีออก นัทธีก็เดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากบางๆจึงอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมา“คุณจะบอกสุภัทรไหม?”

“แน่นอนค่ะ”วารุณีพยักหน้า จากนั้นอาการที่ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา“แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากแม่ฉันกลับมาแล้ว จะให้แม่ฉันบอกเขาเองกับตัว”

เธอลืมเมื่อเจ็ดปีก่อนไม่ได้เลย แม่ทำอาหารเต็มโต๊ะอย่างลำบาก อยากจะฉลองวันครบรอบแต่งงานยี่สิบปีกับสุภัทร

และวันนั้น สุภัทรก็พาแม่ลูกขยานีกลับมาที่ตระกูลศรีสุขคํา แม่โกรธจนหมดสติไป ศรัณย์ก็หัวใจกำเริบ เกือบจะช่วยไม่ได้

นัทธีรู้ว่าวารุณีทำแบบนี้ เพราะอยากให้วรยาแก้แค้นสุภัทรเองกับตัว จึงเงยคางขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ถามอีก

“ใช่สิประธานนัทธี ยังไม่ถามเลยทำไมคุณถึงอยู่นี่?”วารุณีมองเขา แล้วจึงคิดขึ้นได้

นัทธีจัดแขนเสื้อ“ผมมาอัดสัมภาษณ์ของคอลัมน์การเงินน่ะ”

“แบบนี้เอง”วารุณีพยักหน้า สื่อว่าเข้าใจแล้ว ละสายตาออกไป มองไปที่หน้าประตู“ยามพวกนั้นน่าจะไปแล้วมั้งคะ?”

นัทธีเดินไปตรงหน้าเธอ ท่ามกลางการมองดูที่สงสัยของเธอ จู่ๆก็ก้มเอว ดึงชายกระโปรงของเธอ แล้วออกแรงฉีก

ได้ยินแค่เสียงขาดดังแควก วารุณีตะลึงงันไปหมด รู้สึกเย็นๆที่ตัว สักพักจึงได้สติคืนมา อ้าปากถามไปว่า“ประธานนัทธีคุณทำอะไรน่ะ?”

เธอมองชายหนุ่มอย่างตกใจ

อยู่ดีๆ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย?

นัทธีไม่ตอบ โยนผ้าชีฟองสีขาวที่ฉีกออกมาแล้วจึงยืนขึ้นมา เริ่มปลดกระดุมเสื้อสูทที่ตัว

เห็นการกระทำของเขาแล้ว ใบหน้าเล็กๆของวารุณีก็แดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะถอยไปที่หน้าประตู

หน้าเล็กๆของวารุณียิ่งแดงมากขึ้น ถอยหลังไป พูดเสียงสั่นไปว่า“ประธานนัทธี ที่นี่เป็นสถานีโทรทัศน์ และเป็นออฟฟิศคนอื่นอีก คุณอย่ามาทำอะไรซี้ซั้วนะ!”

“ทำอะไรซี้ซั้ว?”นัทธีเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นมองเห็นเธอหน้าแดง ก็รู้ว่าเธอเข้าใจผิด ยกริมฝีปากขึ้น ถอดสูทตัวนอกออกแล้วเข้าไปใกล้เธอ“ถ้าผมจะทำอะไรซี้ซั้ว คุณจะทำไม?”

“ฉัน……ฉันจะ……”

เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นนัทธีเอาเสื้อสูทมาคลุมไว้ที่หัวเธอ จากนั้นพาดไปที่ไหล่ของเธอ

วารุณีตะลึง มองเสื้อคลุมของเขา แล้วก็มองเขา เหมือนไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรกันแน่

นัทธีขยี้ผมของเธอ อธิบายไปว่า“ตอนที่คุณวิ่ง ถึงแม้พวกเขาไม่เห็นหน้าของคุณ แต่ต้องจำเสื้อผ้าชุดนี้คุณได้แน่ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนอะไรสักหน่อยแล้วออกไป ต้องถูกจำได้แน่”

ได้ยินดังนั้น วารุณีเข้าใจทันที

ที่แท้ที่เขาทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอยากทำอะไรแบบนั้นกับเธอ และเพื่อปลอมตัวให้เธอ

หน้าเล็กๆของวารุณีแดงเถือก ไม่ได้เป็นเพราะอาย แต่เขินกับความคิดที่ผิดไปของตัวเองเมื่อกี๊

แต่ว่านี่จะโทษเธอหมดไม่ได้ ต้องโทษนัทธีด้วย ใครให้เขาไม่อธิบายตั้งแต่ต้นล่ะ

คิดไป วารุณีมองนัทธีอย่างไม่พอใจ

นัทธีเลิกคิ้วขึ้น“ทำไมเหรอ?”