บทที่ 95 ได้เงินนิดเดียว

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 95 ได้เงินนิดเดียว
“แล้วข้าต้องมีเท่าไรล่ะ” โจวกุ้ยหลานกลอกตา นางไม่โง่หลุดปากหรอกนะ!

“ไม่เอาน่า ความคิดน้อยๆ อย่างเจ้าคิดว่าจะปิดบังแม่เจ้าได้เหรอ เจ้าให้ยืมสิบตำลึงได้ พวกเจ้าต้องมีสิบสองตำลึงแน่นอน!” เหล่าไท่ไท่พูดพร้อมชูสิบนิ้ว

โจวกุ้ยกลานหน้าชาไปครู่หนึ่ง โชคดีที่เหล่าไท่ไท่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ไม่อย่างนั้นคงแย่

และแล้วนางก็ตระหนักได้ว่าคนที่รู้จักนางดีที่สุดทั้งในอดีตชาติทั้งปัจจุบันก็คือเหล่าไท่ไท่!

แต่ก็ห่างอยู่…

“ใช่ๆๆ ได้เงินนิดเดียว” โจวกุ้ยหลานรีบตอบ ไม่อยากให้นางยุ่งกับเรื่องนี้อีก

เหล่าไท่ไท่สุขใจมาก เหยิยบเสื้อผ้ามาเย็บต่อและยิ้มไม่หุบ

“ในที่สุดก็มีเงิน ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เฮ้อ ยังเป็นลูกสาวตัวน้อยคนดีของข้า ไม่เหมือนเจ้ารอง ให้คนมาส่งจดหมาย บอกว่าครอบครัวตัวเองกำลังจะหิวตายไม่พอกิน”

“หรือว่านางกำลังลำบากอยู่?” โจวกุ้ยหลานก็อยากตามจิตใจของเหล่าไท่ไท่

แต่เหล่าไท่ไท่ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย “ผู้ชายของนางดีร้ายยังไงก็ยังมีเงินทุกวันแล้วจะไม่พอกินได้เหรอ ไปหลอกผีเถอะ เจ้ารองเป็นคนขี้งกขนาดนั้น แม้แต่แม่แก่ๆ อย่างข้าก็อย่าได้คิดไปดึงเหรียญทองแดงจากมือของนางเลย!”

เมื่อเห็นเหล่าไท่ไท่ไม่พอใจพี่สาวคนรองของตัวเองมาก โจวกุ้ยหลานจึงไม่พูดอะไรมาก

เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้มีความทรงจำที่ดีกับพี่รองคนนั้น หลายปีที่ผ่านพี่รองไม่เคยยื่นมือมาช่วยพวกเขาเลย ตอนที่พวกเขากำลังจะอดตายมีเพียงโจวต้าซานเท่านั้นที่ช่วยพวกเขา พี่ลองไม่เคยกลับมาดูแล

เหล่าไท่ไท่ยื่นชุดให้โจวกุ้ยหลานและพูดว่า “ลองดูสิ”

“ท่านแม่ ข้ามีชุดเยอะแล้ว ท่านแม่ทำเก็บไว้ใส่เองเถอะ” โจวกุ้ยหลานมองชุดในมือของเหล่าไท่ไท่แล้วมอบคืน

เหล่าไท่ไท่สะบัดเสื้อผ้าของนาง “ข้าแก่แล้วยังต้องการชุดใหม่ใส่ไปทำไม เจ้าไปๆ มาๆ มีอยู่แค่สองชุด ต้องใส่เสื้อผ้าให้มันดูดีหน่อย ผ้านี่เหลือจากทำชุดให้เจ้าครั้งก่อน ข้าคิดว่าเอามาทำเป็นชุดกลางได้”

“สองวันก่อนสวีฉางหลินเข้าตำบลไปขายกวางแล้วซื้อชุดให้ข้า ข้ามีชุดใส่ ข้าคิดว่าเข้าตำบลไปอีกเมื่อไรค่อยซื้อฝ้ายกับผ้ากลับมาเยอะหน่อย ท่านแม่ช่วยทำเสื้อผ้าฝ้ายกับผ้าห่มนวมให้ข้าอีกได้ไหม จะได้เอามาเปลี่ยนผ้าห่มนวมที่บ้านนี้ด้วย”

โจวกุ้ยหลานพูดแล้วลูบผ้าห่มนวมของแม่ มันบางจนนางไม่สบายใจ

ผ้าห่มนวมนี้ใช้มาอย่างน้อยยี่สิบปีแล้ว

“ยัยเด็กคนนี้ มีเงินหน่อยก็เก็บไม่อยู่ ข้าจะต้องการผ้าห่มนวมใหม่ไปทำไม มันยังใช้ได้อยู่เลย” เหล่าไท่ไท่ไม่พอใจ

ได้เงินมานิดหน่อยก็ไม่ควรเอามาใช้แบบนี้ ต่อไปยังมีที่ต้องให้ใช้อีกมาก!

โจวกุ้ยหลานไม่อยากฟังแม่พูดอีก ลงจากเตียงเตาและจะวิ่งออกไป “ท่านแม่ข้ากลับก่อนนะ ชุดนี้ไว้ให้ท่านแม่”

“จะวิ่งเร็วทำไม นี่ เจ้าจะไปแบบนี้ได้ยังไง เจ้าเอาผักที่นี่ไปสักหน่อยสิ!”

เหล่าไท่ไท่ตะโกนใส่ลูกสาวตัวน้อยที่ “ไม่เชื่อฟัง” อย่างร้อนใจ รีบใส่รองเท้าวิ่งไล่ตาม

……

โจวกุ้ยหลานรีบกลับบ้านพร้อมตะกร้ามันฝรั่ง คงจะหนักสักสิบจิน

แม่ของนางตัดใจได้ แต่ถ้านางไม่ห้ามเอง เกรงว่าแม่ของนางยังขุดต่อไม่เลิก

ค่อยๆ เดินขึ้นเนินเขาตามทางมา เมื่อกลับไปจึงพบว่าสวีฉางหลินตื่นแล้ว กำลังยืนหั่นหัวไชเท้าเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าอยู่ข้างนอก

เมื่อเห็นตะกร้าในมือของโจวกุ้ยหลานจึงรีบเดินเข้าไปรับตะกร้า ทดสอบน้ำหนักก่อนจะพูดว่า “ทำไมเอามันฝรั่งมาเยอะจัง”

“ท่านแม่บอกเราไม่มีผักเลยให้ข้าเอามา ข้าห้ามก็ไม่ฟัง”

โจวกุ้ยหลานพูดแล้วเหวี่ยงสะบัดแขนทั้งสองข้างของตัวเอง

มันฝรั่งไม่ได้หนัก แต่ถือเดินในระยะไกลมันก็ไม่สะดวก

สวีฉางหลินวางตะกร้าลงบนพื้น ยื่นมือไปเอาแขนของนางมาช่วยนวดให้

หลังจากผ่านไปเพียงสองครั้ง โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกว่าแขนตัวเองผ่อนคลายไม่น้อย

“ดีขึ้นไหม” สวีฉางหลินถาม

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า “ดีขึ้นมาก”

“ต่อไปเรื่องยกของหนักข้าทำเอง” สวีฉางหลินเน้นย้ำอีกครั้ง

โจวกุ้ยหลานอดหัวเราะไม่ได้ “ของแค่นิดจะเป็นงานหนักได้ยังไง ผู้หญิงคนอื่นทำงานอยู่ในทุ่งนาทั้งนั้น”

ยุคนี้ผู้ชายเป็นกำลังแรงงานหลัก แต่ถ้างานเกษตรยุ่ง ผู้หญิงก็ต้องลงไปทำ

ถ้าให้ใครรู้ว่าแม้แต่ของหนักสิบจินนางก็ถือไม่ไหว คงถูกหัวเราะเยาะแน่

“พวกนางก็คือพวกนาง เจ้าก็คือเจ้า” สวีฉางหลินไม่คิดว่าของหนักสิบจินจะเบาสำหรับผู้หญิง

ดูขนาดของภรรยาตัวน้อยของเขาสิ จะให้รับน้ำหนักของหนักไม่ได้

โจวกุ้ยหลานรู้สึกอบอุ่นในใจ ผู้ชายคนนี้เอาใจใส่จริงๆ

แต่เมื่อคิดว่าในอนาคตตนจะจากไปไม่ว่าเวลาไหน ตอนนี้จึงต้องเก็บการแสดงออกและระงับความรู้สึกเอาไว้

นางปัดมือของสวีฉางหลินออก “เอาล่ะ ข้าไม่เป็นไรแล้ว รีบเอามันฝรั่งเข้าบ้านเถอะ อีกสองสามวันเราจะลองปลูกมันฝรั่งในแปลงผัก”

สวีฉางหลินชะงัก “มันหนาวแล้วนะ”

ในฤดูหนาวมีแค่หัวไชเท้าและผักกาดขาวเท่านั้นที่ยังรอด ผักที่เหลือจะแข็งตายหมด หากภรรยาตนอยากปลูกมันฝรั่ง มันก็จะแข็งตายไม่เหลือ

“เราลองกันเถอะ โอกาสรอดก็พอมีไม่ใช่เหรอ ในอนาคตข้าอยากสร้างโรงเรือนปลูกผัก”

“อะไรนะ”

สวีฉางหลินไม่เข้าใจจึงถามกลับ

โจวกุ้ยหลานตบไหล่เขา “ต่อไปเจ้าจะเข้าใจเอง แต่อาจไม่สำเร็จเสมอไป เราจำเป็นต้องพยายามลองดู”

ที่นี่ไม่มีพลาสติกและหลอดฟลูออเรสเซนต์ ใครจะไปรู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่

แม้ว่านางจะมีความคิดนี้ แต่ก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น

สวีฉางหลินเงียบอีกครั้ง ภรรยาตัวน้อยของตนมีความคิดมากมายจริงๆ

แต่ถ้านางต้องการทำ เขาก็พร้อมสนับสนุน

สวีฉางหลินถือมันฝรั่งเข้าไปในบ้าน โจวกุ้ยหลานเดินตามหลัง พอเข้าไปในบ้านก็เห็นเจ้าก้อนน้อยกำลังนั่งเด็ดใบผักอยู่บนเก้าอี้

ตลอดเช้านี้เขาเลือกใบเน่าทิ้งไปเยอะแล้ว

โจวกุ้ยหลานชื่นใจ เดินไปนั่งตรงข้ามเขา และยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา

เจ้าก้อนน้อยเงยหน้าขึ้นมาเห็นโจวกุ้ยหลานจึงยิ้มกว้างจนตาหยี “ท่านแม่!”

น้ำเสียงเด็กน้อยออดอ้อนนั่น ทำให้อารมณ์ที่ไม่ดีในจิตใจก่อนหน้านี้ของโจวกุ้ยหลานหายไปทั้งหมด

“เสี่ยวเทียนเป็นเด็กดีมาก แม่จะให้รางวัลอะไรเจ้าดีล่ะ” โจวกุ้ยหลานล่อใจเขา

“เสี่ยวเทียนไม่ต้องการรางวัล”

“ไม่ได้สิ เด็กดีก็ต้องได้รางวัล เดี๋ยวรอหมดจากวันที่ยุ่งๆ แม่จะเข้าตำบลไปซื้อของอร่อยมาทำให้เสี่ยวเทียนดีไหม” โจวกุ้ยหลานยิ้มหวานพูดล่อใจเจ้าก้อนน้อย

ทันทีที่ได้ยินว่าของอร่อย ดวงตาเจ้าก้อนน้อยก็เป็นประกายทันที

อาหารที่ท่านแม่ทำน่ะอร่อย เขาชอบ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาจึงพยักหน้าหนัก “อื้ม!”

โจวกุ้ยหลานยิ้มหวานแล้วช่วยเลือกผักกาดขาวในตะกร้าต่อไป ในใจก็คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

หลายวันมานี้จัดเก็บพวกผักจนเกือบเสร็จแล้ว เมื่อนางทำเสร็จและพอมีเวลาจะต้องเตรียมพวกขนมไว้ในบ้านให้เจ้าก้อนน้อยกิน

สวีฉางหลินก็เข้ามาช่วยสองแม่ลูกเลือกผักกาดขาวด้วย

สามคนพ่อแม่ลูกช่วยกันไม่นานก็เลือกผักให้เสร็จ