บทที่ 96 ที่บ้านมีเด็กน่ารัก

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 96 ที่บ้านมีเด็กน่ารัก
มองดูท้องฟ้า ตอนนี้น่าจะเที่ยงแล้ว นางเลยให้สวีฉางหลินพาเสี่ยวไน่เปาไปเก็บหญ้าเนเปียร์แคระกับเบนทอร์ไนท์จากด้านนอก ส่วนตัวนางเองเข้าครัว ไปเตรียมอาหารให้ทุกคนกิน

ล้างมือ เช็ดมือให้แห้งสะอาด มองดูวัตถุดิบในบ้าน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มลงมือกับมันฝรั่ง

นางเลือกมันฝรั่งลูกใหญ่มาสองลูก ปอกเปลือกออก และวางลงบนเขียง ใช้มีดปังตอสับเป็นชิ้นๆ วางลงในหม้อ ใส่น้ำ จุดเตา ค่อยๆต้มอย่างไม่ปิดฝาหม้อ

อาศัยจังหวะนี้ นางไปห้องโถง หยิบหัวหอมที่เอากลับมาก่อนหน้านี้ ล้างให้สะอาด สับพร้อมกับกระเทียมให้ละเอียด วางไว้ข้างๆรอใช้

พอเห็นมันฝรั่งสุกได้ที่แล้ว นางก็ตักมันฝรั่งขึ้นมาจากน้ำเดือด มาวางไว้ด้านข้าง ล้างหม้อ เช็ดให้แห้ง และใส่น้ำมันลงไป รอจนน้ำมันร้อนได้ที่แล้ว ก็ใส่มันฝรั่งที่บีบน้ำออกแล้วลงหม้อ จากนั้นใส่กระเทียมเข้าไป ผัดด้วยกัน

ตอนมันฝรั่งสีเหลืองทองอร่าม มีกลิ่นหอมออกมา คราวนี้นางใส่ผงพริก หลังจากผัดมันฝรั่งกับพริกจนเกลี่ยทั่วกันแล้ว ค่อยโรยผงยี่หร่า บวกกับเกลือและหัวหอม ผัดให้ทั่วกันก็วางไว้อีกข้าง

ก่อนหน้านี้ตอนไปหาหญ้าเนเปียร์แคระ ก็พบยี่หร่า ตอนนั้นนางก็เลยเอากลับมาไม่น้อย ผึ่งแดดให้แห้งและบดเป็นผง ช่วงนี้ทำอาหารนางชอบใส่ไปเล็กน้อย มันหอมมาก

“ผงยี่หร่านี่ไม่เลวจริงๆ บางทีอาจจะได้ทำเป็นเครื่องปรุงรสไปขายให้ไป๋ยี่เซวียนอีกครั้ง?” โจวกุ้ยหลานพึมพำออกมา และทำหัวไชเท้าย่างอีกอย่าง นางหยิบผักกาดขาวและแป้งทอดที่ทุกคนกินไม่หมดมาผัดด้วยกัน สุดท้ายทำน้ำแกงมันฝรั่งไข่

ทำอาหารเสร็จแล้ว นางก็เริ่มหุงข้าว

พอทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ นางค่อยๆยกอาหารแต่ละอย่างออกไปวางบนโต๊ะในห้องโถงด้านนอก

พอออกจากบ้าน มองไป เห็นสองพ่อลูกอยู่ห่างจากบ้านไปไม่ไกล นางเลยยืนตะโกนหน้าประตูว่า “กลับมากินข้าวได้แล้ว!”

สองพ่อลูกแบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้ พอได้ยินนางเรียก ต่างรีบลุกขึ้น เดินกลับบ้าน

ตะกร้าที่เสี่ยวไน่เปาแบกใหญ่เกินไป เขาเลยลากพื้นมาแทน สวีฉางหลินช่วยหิ้วอยู่ข้างหลังเขาขึ้นมาไม่น้อย เขารู้สึกว่าไม่หนักขาแล้ว เลยรีบวิ่งกลับบ้าน

โจวกุ้ยหลานตกใจรีบบอก “ช้าหน่อย!”

ทางด้านสวีฉางหลินก็กลัวว่าตนเองจะทำเสี่ยวไน่เปาล้มตาม เลยวิ่งตามความเร็วของเขา

สองพ่อลูกรีบวิ่งกลับมา โจวกุ้ยหลานรีบเอาผ้าเช็ดหน้าให้เสี่ยวไน่เปา

วิ่งมาขนาดนี้ ตอนนี้หน้าผากของหัวเสี่ยวไน่เปาเต็มไปด้วยเหงื่อ

เสี่ยวไน่เป่าเงยหน้าขึ้น ยอมให้ท่านแม่เช็ดหน้าให้ เขาดีใจมาก

สวีฉางหลินถอดตะกร้าของเสี่ยวไน่เป่าลงมา และเอาตะกร้าที่หลังตนมาวางรวมกันไว้ที่หน้าประตู และจัดแจงปัดฝุ่นที่ตัวตนเอง และถึงเดินมาหาโจวกุ้ยหลาน

หลังจากเช็ดเหงื่อให้เสี่ยวไน่เปาเสร็จ โจวกุ้ยหลานลูบหัวเสี่ยวไน่เปาแผ่วเบา พลางว่า “เอาล่ะ ไปล้างมือกินข้าวได้!”

พอได้ยินท่านแม่พูดเช่นนั้น เสี่ยวไน่เปารีบวิ่งไปทางบ่อน้ำทันที

โจวกุ้หลานกำลังจะหมุนตัว สวีฉางหลินดึงมือนางไว้ทันที

“ทำอะไรน่ะ?”

“ยังไม่ได้ช่วยข้าเช็ดเหงื่อเลย!” สวีฉางหลินพูดอย่างจริงจัง

ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาแน่วแน่ของเขา โจวกุ้ยหลานต้องรู้สึกว่าเขากำลังทำลามกใส่นางแน่

โจวกุ้ยหลานยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนให้เขา “อ้ะ ผ้าเช็ดหน้าให้เจ้า เจ้าเช็ดเองเถอะ”

“ไม่ได้ เจ้าต้องช่วยข้าเช็ด”

เมื่อครู่นางช่วยเช็ดให้ลูกชายแล้ว ในฐานะเมียของเขา ก็ต้องช่วยเขาเช็ดด้วย

“นี่เป็นหน้าที่เมียของเจ้า”

กลัวโจวกุ้ยหลานปฏิเสธ เขาสำทับเพิ่มอีกคำ

โจวกุ้ยหลานอยากเอามือตบสวีฉางหลินให้ตายจริงๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ชอบพูดอะไรอย่างนี้หน้าตาเฉยนะ?

สามีภรรยาคู่อื่นถ้าไม่ใช่อยู่กันปรองดองดี ก็รักใคร่กลมเกลียว สนิทสนมหวานใส่กันมันน่าฟัง แต่วิธีการของผู้ชายคนนี้คือเย้าหยอกนางด้วยสีหน้าจริงจัง

ถ้าคนอื่นมายืนมองไกลๆ คงคิดว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันแน่ๆ

โจวกุ้ยหลานหน่ายใจ ได้แต่เขย่งปลายเท้า ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อให้เขา

สวีฉางหลินวางมือไว้ที่เอวนาง พลางออกแรงอุ้มนางขึ้นมา

จู่ๆร่างกายก็เสียศูนย์ โจวกุ้ยหลานร้องอุทานอย่างตกใจ จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างตนแนบชิดกับร่างสวีฉางหลิน

“เจ้าทำอะไรน่ะ?”

โจวกุ้ยหลานลงเสียงหนัก

“กลัวเจ้าเช็ดไม่ถึง” สวีฉางหลินกลับตอบออกมาหน้าตาเฉย

“กลัวเจ้าเลยจริงๆ เช็ดอย่างนี้จะเหนื่อยแค่ไหนกัน เจ้าเช็ดเองก็เสร็จแล้ว” โจวกุ้ยหลานบ่นกระปอดกระแปด พลางหยิบผ้าช่วยเขาเช็ด

คงเพราะปกติสวีฉางหลินทำงานมากพอแล้ว เขาเลยไม่มีเหงื่อเท่าไหร่

แต่ในเมื่อช่วยเขาเช็ดแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เช็ดอย่างละเอียด

“สามีภรรยามิควรเป็นเช่นนี้รึ?” สวีฉางหลินย้อนถาม

พอได้ยินคำพนี้ โจวกุ้ยหลานก็เลิกคิ้วถาม “เจ้าเข้าใจเรื่องสามีภรรยาดีรึ?”

นางไม่เคยสอนเขาเรื่องพวกนี้ ท่าทางเคร่งขรึมของเขานั่นไม่มีทางเรียนรู้เองเป็น งั้นแสดงว่าผู้หญิงคนก่อนของเขาสอนมารึ?”

“กับคนอื่นข้าไม่เข้าใจ แต่กับเจ้าข้าเข้าใจ”

สวีฉางหลินรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเมียเป็นหลุมพราง เลยพูดเบี่ยงประเด็นไป

โห ประจบเก่งเสียด้วย!

โจวกุ้ยหลานในใจรู้สึกดีละ สมองครุ่นคิดถึงป้ายหวานชื่นใส่กันพวกนั้นในอินเทอร์เน็ตเมื่อชาติก่อน หนึ่งในนั้นมีคำพูดหนึ่งบอกว่า การเอาตัวรอดขอชีวิตของผู้ชายตรงไปตรงมา หรือว่าเขาจะเข้าใจอันนี้ด้วย?

“ข้ายังรู้อีกว่าจะจูบเจ้าเช่นไร” สวีฉางหลินเห็นเมียตนสีหน้าดีขึ้นหน่อย เข้าใจว่าเขาหลบหลีกหลุมพราง และมาเย้าหยอกนางอีก

โจวกุ้ยหลานโดนเขาทำจนหน้าแดงก่ำ ยกมือขึ้นผลักเขาหนึ่งที “รีบวางข้าลงเร็ว อีกเดี๋ยวเสี่ยวไน่เปามาเห็นเข้าจะดูไม่ดี”

“ข้าอุ้มเมียข้าเป็นเรื่องถูกต้องที่สุด ถ้าเขาไม่ชอบ ก็ไปหาเมียมาอุ้มเองได้” สวีฉางหลินตอบอย่างสมเหตุสมผล

เมียยังเบานัก แต่มีเนื้อมีหนังกว่าเมื่อสองเดือนก่อนมากนัก และอ่อนนุ่มขึ้นไม่น้อย

พอคิดอย่างนั้น เขาเอื้อมมือไปคว้าหมับเอวโจวกุ้ยหลาน อืม เอวยังผอมอยู่ ต้องเลี้ยงดีๆอีก

โจวกุ้ยหลานอยากจะย้อนเขา เอวตนเองก็โดนเขาคว้าหมับเข้าให้ นางคันเอวมาก ยื่นมือไปหยิกแขนเขา

น่าเสียดายที่แขนเขาแข็งนัก นางหยิบเนื้อขึ้นมาไม่ได้เลย

“เจ้าทำให้ข้าคัน รีบวางข้าลงเร็ว ไม่งั้นข้าจะโกรธแล้วนะ!” โจวกุ้ยหลานแกล้งทำเสียงดุ

สวีฉางหลินเห็นเมียถลึงตาใส่ตน รู้ว่านางโกรธแล้วจริงๆ ถึงได้วางเมียลงพื้นอย่างอิดออด

พอเท้าลงพื้น โจวกุ้ยหลานรีบถอยไปข้างหลังหลายก้าว เพื่อป้องกันเขาทำอะไรนางอีก

“รีบไปล้างมือมากินข้าวได้แล้ว” โจวกุ้ยหลานกำชับบอก ส่วนตัวนางเองเดินไปทางห้องครัว

พอเปิดฝาหม้อออกดู ข้าวหุงสุกพอดี ก้นหม้อยังมีข้าวก้นหม้ออยู่

นางตักข้าวขึ้นมา จากนั้นใส่น้ำลงไปในหม้อ และผัดข้าวก้นหม้อให้ร่วน ใส่เกลือ ปิดฝาหม้อต้มต่อไป

รออีกครู่ เปิดฝาหม้อ ใช้ไม้พายตักข้าวคนเล็กน้อย กลิ่นหอมของโจ๊กข้าวก้นหม้อนั่นก็ออกมา

เสี่ยวไน่เปาล้างมือเสร็จก็มาย่อตัวลงข้างเตา พอได้กลิ่นหอมในหม้อ เขาสูดกลิ่นหอมเข้าปอด

พอเห็นท่าทางอย่างนั้นของเขา โจวกุ้ยหลานอดยิ้มไม่ได้

ไอ้หยา ที่บ้านมีเด็กน่ารักตัวน้อยๆนี่มันไม่เหมือนกันจริงๆนะ