ตอนที่ 303 ฮึกเหิม

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 303 ฮึกเหิม

หลังจากองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ออกจากวังหลวง เขาก็มุ่งตรงไปยังจวนองค์ชายสอง

เมื่อผ่านการรายงาน เขาได้พบกับเสด็จพี่สองเซียวเฉิงเหวินที่ไม่ได้พบมาหลายเดือนในห้องตำรา

องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินสวมชุดสะอาด ปกคออ้ากว้างแสดงให้เห็นถึงความปล่อยตัว

เขากำลังดื่มสุรา บริเวณใต้คางของเขามีหนวดเคราขนาดสั้น สายตาเหม่อลอย ผมเผ้ากระเจิดกระเจิงเล็กน้อย เพียงแค่มองก็รู้ว่าเขาไม่ได้ดูแลตัวเอง

เซียวเฉิงอี้ตกตะลึงอย่างมาก

เขาไม่เคยเห็นสภาพอนาถของเสด็จพี่สองเช่นนี้มาก่อน

แต่ก่อนไม่ว่าพบเสด็จพี่สองเวลาใด ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามักจะสวมใส่เรียบร้อย ไม่ว่าเมื่อใดก็เป็นนายน้อยที่ประณีต

เสด็จพี่สองที่หมดความสะอาดสะอ้าน ปล่อยเนื้อปล่อยตัวในเวลานี้ลบภาพจำแต่ก่อนไปอย่างสิ้นเชิง

“เสด็จพี่สองเป็นอันใด”

เขากังวลอย่างมาก ภายในใจมีการคาดเดาต่างต่างนานา

องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “น้องสามมาแล้วหรือ นั่งลงเถิด!”

เซียวเฉิงอี้มองไปทางเฟ่ยกงกง

เฟ่ยกงกงส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความหมดหนทาง

ความหมายนั้นไม่จำเป็นต้องพูดออกมาด้วยวาจา

พวกเขาพยายามสุดความสามารถแล้ว ไม่มีผู้ใดเกลี้ยกล่อมองค์ชายสองได้

เซียวเฉิงอี้นั่งลงบนเก้าอี้ เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเหยือกสุราและจอกสุราออก โบกมือให้บ่าวรับใช้นำสิ่งของเหล่านี้ออกไป

เซียวเฉิงเหวินไม่ได้ห้ามปรามเขา เขากำลังมองขึ้นไปบนหลังคา ความคิดล่องลอยไปไกล

เซียวเฉิงอี้มองเขาอย่างระมัดระวัง “เสด็จพี่สอง เสด็จพี่มีเรื่องทุกข์ใจใดก็พูดออกมาดีกว่า ทุกคนจะได้ช่วยท่านได้”

“ข้าจะมีเรื่องทุกข์ใจใดกัน” เซียวเฉิงเหวินหันกลับมาจ้องมองเขา “เจ้าคิดว่าข้ามีเรื่องทุกข์ใจใด”

เซียวเฉิงอี้อ้าปากค้าง เขาเรียบเรียงคำพูดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าย่อมไม่รู้ว่าเสด็จพี่สองมีเรื่องทุกข์ใจใด แต่อยู่ดีๆ เหตุใดเสด็จพี่สองจึงกลายเป็นเช่นนี้”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ เขาวางจอกสุราลง “เจ้าดูสภาพข้าในเวลานี้ คิดว่าข้าตกต่ำใช่หรือไม่ เจ้าผิดแล้ว! ข้าแค่เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต ชีวิตที่ผ่านมาช่างน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน”

“แต่ร่างกายของเสด็จพี่สองไม่เป็นอันใดหรือ ข้าได้ยินคนด้านล่างบอกว่าเสด็จพี่สองล้มป่วย ร่างกายไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย”

“ฮ่าๆๆ…ข้าจงใจให้คนแพร่ข่าวออกไป หากไม่พูดเช่นนี้ ข้าจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร เพียงแค่บอกว่าข้าป่วย จะปิดประตูจวนไม่ต้อนรับแขกเพื่อพักรักษาร่างกายก็จะไม่มีผู้ใดมารบกวน”

เซียวเฉิงเหวินจ้องมองน้องสามเซียวเฉิงอี้อย่างรู้ทัน “แต่ว่าข้ายังต้อบขอบใจเจ้าที่มาเยี่ยมข้า”

เซียวเฉิงอี้ยิ้มอย่างเก้อเขิน “อย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้อง ข้าไม่ได้มาเยี่ยมเสด็จพี่สองเป็นเวลานานแล้ว เสด็จพี่สองไม่ถือสาข้าก็พอ”

เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้วยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ายุ่ง แต่ละวันต้องร่ำเรียนวิธีการจัดการเรื่องของบ้านเมืองอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ”

เซียวเฉิงอี้ก้มหน้ายิ้ม แม้เขาจะแอบได้ใจ แต่สีหน้าของเขากลับแสดงออกถึงความเก้อเขิน

“ข้าโง่เขลา ทุกอย่างต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ ดังนั้นจึงยุ่งไปบ้าง”

เซียวเฉิงเหวินจ้องมองเขา “เรื่องทางตะวันตกเฉียงเหนือใกล้จะจัดการได้แล้วหรือไม่”

เซียวเฉิงอี้ผงะไป จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “พี่สองพักรักษาตัว แต่ยังไม่ลืมสนใจเรื่องของบ้านเมือง เสด็จพี่วางใจ เรื่องทางตะวันตกเฉียงเหนือใกล้จะจัดการได้แล้ว”

เซียวเฉิงเหวินหมุนจอกสุราเล่น ราวกับบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็เหมือนกับจงใจพูดให้เซียวเฉิงอี้ฟัง

“โจรกบฏ ซื่อหม่าโต่วไม่ใช่ภัยคุกคามที่ต้องกังวล วิกฤตอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเสมอ ตราบใดที่ยอมจำนน ย่อมจะเกิดผลที่ร้ายแรงตามมา”

เซียวเฉิงอี้หัวเราะ “เสด็จพี่สองกำลังกังวลอีกแล้ว ท่านพักรักษาตัวให้ดีเถิด เรื่องของราชสำนักมีข้ากับขุนนางทั้งหลาย ไม่ต้องรบกวนเสด็จพี่สองต้องเหนื่อยใจ”

เซียวเฉิงเหวินก้มหน้ายิ้ม ภายในดวงตามีแต่ความเสียดสีที่ไม่อาจสลายหายไป “เจ้าไปเถิด! ข้าสบายดี ยังไม่ตายในเวลานี้”

“เสด็จพี่จะออกไปผ่อนคลายจิตใจหรือไม่ อากาศร้อน ไปพักในเรือนพักตากอากาศในหุบเขาสักพักดีหรือไม่”

“เจ้ารู้ว่าข้าไม่ชอบอยู่ในเขา แมลงมาก เจ้าวางใจ ข้าไม่รบกวนเจ้า”

“เสด็จพี่สองกังวลเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

เซียวเฉิงเหวินมองเขาด้วยรอยยิ้มรู้ทัน เขาตบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย “น้องสาม ข้ายินดีกับเจ้าด้วยใจจริง นอกจากนี้ เจ้าไม่สามารถเรียกร้องข้าได้มากกว่านี้ เดิมทีร่างกายของข้าก็อ่อนแออยู่แล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี”

เซียวเฉิงอี้กระอักกระอ่วนอย่างมาก เขาอ้าปากค้าง สุดท้ายก็เหลือเพียงเสียงถอนหายใจ

“เสด็จพี่สองพักรักษาตัวให้ดี ข้าขอตัวก่อน! มีสิ่งใดต้องการ เสด็จพี่สองให้คนไปหาข้าก็พอ”

“เฟ่ยกงกงส่งองค์ชายสามแทนข้าที”

“พ่ะย่ะค่ะ! องค์ชายสาม เชิญทางนี้!”

หลังจากส่งองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้แล้ว เฟ่ยกงกงก็กลับมาข้างกายเซียวเฉิงเหวินอีกครั้ง

เมื่อเห็นเขากำลังดื่มสุราอีกครั้งก็อดพูดไม่ได้ “องค์ชายทรงเสวยสุราน้อยลงหน่อยพ่ะย่ะค่ะ พระอาการเพิ่งดีขึ้น ไม่อาจทำร้ายพระวรกายเช่นนี้ได้”

“ไม่สำคัญ! ข้ายังไม่ตายในเวลานี้!”

“พระองค์ทรงพูดเช่นนี้ได้อย่างไร กว่าจะรักษาพระอาการให้ดีขึ้นได้ไม่ง่าย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พระองค์จะไม่เสียดายหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เฮอะๆ …”

เซียวเฉิงเหวินวางจอกสุราลงตามคำเกลี้ยกล่อม

“ส่งคนออกไปแล้ว?”

“พ่ะย่ะค่ะ! องค์ชายสามยังทรงกำชับกระหม่อม ให้ดูแลพระองค์ให้ดี อย่าให้พระองค์ทรงดื่มสุรามาก พระองค์เองก็ควรปล่อยวาง แผ่นดินที่กว้างใหญ่ พวกเขาอยากจะทำอย่างไรก็ปล่อยไปเถิด สุดท้ายแล้วก็ยังต้องให้พระองค์เป็นผู้กอบกู้สถานการณ์”

“เจ้ามองว่าข้ามีความสามารถเกินไปแล้ว! เมื่อถึงเวลานั้นจริง ข้าเองก็คงหมดหนทาง ดูเถิด แผ่นดินนี้จะวุ่นวายขึ้นในไม่ช้า”

พูดจบ เซียวเฉิงเหวินก็จะดื่มสุราอีก

เฟ่ยกงกงหยิบจอกสุราออกไปก่อนด้วยความว่องไว

เซียวเฉิงเหวินไม่ได้ดื่มสุรา อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก

เขาเตะเก้าอี้เล็กไปหนึ่งที “เจ้าว่า ข้าไม่ดื่มสุรายังจะทำสิ่งใดได้”

เฟ่ยกงกงรีบพูด “กระหม่อมไปเชิญคุณหนูมา”

“อย่าไป! ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา กลัวนางจะเหม็น เฮ้อ…”

เขากำลังมองดูสถานการณ์ผุพังไปในทางที่แย่ที่สุด แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะเปลี่ยนแปลง

ไม่มีผู้ใดยอมฟังเขา

เสด็จพ่อไม่ทรงฟังเขา เสด็จแม่ไม่ทรงฟังเขา

นอกจากนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องจะบ่อนทำลายแผ่นดินต้าเว่ย

เขาจะทำอย่างไรได้

ดื่มสุราเถิด!

ดื่มจนมึนเมา ดื่มจนไม่ต้องรับรู้สิ่งใด

ไม่แน่ว่าหลังจากตื่นขึ้นมา แผ่นดินจะเปลี่ยนไปแล้ว

เฟ่ยกงกงสงสารอย่างมากเมื่อเห็นองค์ชายสองเศร้าซึมเช่นนี้ เขาแอบซับน้ำตา

เซียวเฉิงเหวินชี้เขาพลันหัวเราะ “เฟ่ยกงกง เจ้าร้องไห้อันใดกัน ข้ายังไม่ร้อง เจ้าร้องอันใด ถึงแม้ฟ้าจะถล่มลงมา ยังมีข้าต้านเอาไว้ เจ้ายังคงกินดื่มได้เหมือนเคย”

“อย่างน้อยพระองค์ก็ทรงรักษาพระวรกาย รอวันที่ฟ้าถล่มลงมา พระองค์จึงจะสามารถแบกรับเอาไว้ได้ มิฉะนั้น หากพระองค์ทรงทำร้ายร่างกายเช่นนี้ รอจนวันที่ฟ้าถล่มลงมา พระองค์ก็ไม่อาจลงจากเตียงได้แล้ว จะแบกรับไว้อย่างไร ฮูหยินและคุณหนูต่างยังหวังพึ่งพระองค์”

“ฮ่าๆๆ เจ้าพูดมีเหตุผล! แต่ถึงแม้วันใดข้าตายแล้ว ฮูหยินและคุณหนูยังสามารถพึ่งพาตระกูลเยียน มีองค์หญิงจู้หยาง มีเยียนอวิ๋นเกอ พวกนางสามารถปกป้องพวกนางสองแม่ลูกได้”

“คำพูดของพระองค์ช่างทำให้คนหนาวใจ ความปลอดภัยของภรรยาและบุตรตนเองยังต้องหวังพึ่งตระกูลของภรรยา พระองค์ไม่รู้สึกละอายหรือ”

“เจ้าบ่าวรับใช้นี้…เอาเถิด เอาเถิด ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่ว่าเจ้านับวันยิ่งอาจหาญ ดูท่าทางข้าจะเมตตาเจ้ามากเกินไป”

เฟ่ยกงกงเช็ดน้ำตา “พระองค์ไม่อยากเมตตากระหม่อมก็รีบฮึกเหิมขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้น กระหม่อมจะยอมเป็นวัวเป็นควาย แม้จะต้องสละชีวิตก็ยินดี”

“เจ้าพูดมากเหลือเกิน! ข้าอยู่มานานเพียงนี้แล้ว ยังไม่ให้ข้าปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่กี่วันอีกหรือ เอาแต่จริงจังทั้งวัน เจ้าไม่กลัวข้าบ้าคลั่งขึ้นมาสักวันหรือ”

เฟ่ยกงกงอ้าปาก “แต่พระองค์ก็ล้อเล่นกับร่างกายไม่ได้ กระหม่อมยกกระจกเข้ามาให้พระองค์ดูสภาพเวลานี้ของตนเองดีหรือไม่”

“ไม่ดู ไม่ดู มีสิ่งใดน่าดูกัน”

ชายหนุ่มรูปงามผู้อ่อนแอกลายเป็นชายหนุ่มที่สกปรก ความแตกต่างมากเกินไป ถึงแม้จะเป็นตัวของเซียวเฉิงเหวินเองก็ไม่ยินดีที่จะเห็นสภาพของตนเองในเวลานี้

เขายังคงอยากดื่มสุรา

เฟ่ยกงกงห้ามไม่ให้เขาดื่ม เขาก็แอบดื่ม

เฟ่ยกงกงออกคำสั่งให้นำสุราทั้งหมดภายในจวนเก็บเข้าคลัง กุญแจอยู่ที่เขาเพียงผู้เดียว

เขาไม่เชื่อว่าองค์ชายสองจะขโมยกุญแจไปจากเขาได้

เซียวเฉิงเหวิน “…”

เอาเถิด ไม่มีสุรา เขาก็ดื่มชา

น้ำชาก็รสชาติดีไม่น้อย

เมื่อเห็นเขาไม่ดื่มสุราอีก เยียนอวิ๋นฉีจึงแอบโล่งใจ

“องค์ชายสองทรงซึมเศร้าระยะเวลาหนึ่งก็พอแล้ว ถึงเวลาฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว”

เซียวเฉิงเหวินถือถ้วยชาส่ายหัวไปมา

“ชีวิตในเวลานี้ดีไม่น้อย เหตุใดจึงต้องฮึกเหิม ฮูหยินเลียนแบบข้า ดื่มด่ำกับชีวิตเสียดีกว่า”

เยียนอวิ๋นฉีส่งเสียงไม่พอใจ “หม่อมฉันกังวลแทบตายอยู่แล้ว จะดื่มด่ำกับชีวิตได้อย่างไร”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างเข้าใจ “เจ้าวางใจเถิด ท่านพ่อตาปลอดภัย ราชสำนักไม่มีทางทำอันใดเขา”

เยียนอวิ๋นฉีลังเลเล็กน้อย ถามด้วยความระมัดระวัง “พระองค์ทรงไม่พอพระทัยต่อท่านพ่ออย่างมากใช่หรือไม่”

“เจ้าพอใจเขาอย่างนั้นหรือ”

“ไม่เหมือนกัน!” เยียนอวิ๋นฉีพูดอย่างหนักแน่น

เซียวเฉิงเหวินวางถ้วยชาลง “ข้าไม่ได้ไม่พอใจท่านโหวกว่างหนิงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่มีอคติต่อเขา เขาเป็นแม่ทัพของราชวงศ์ต้าเว่ย เฝ้ารักษาชายแดนของต้าเว่ยอย่างสุดความสามารถ”

เยียนอวิ๋นฉีจ้องมองเขา “องค์ชายทรงหมายความว่า ท่านพ่อเฝ้าระวังชายแดนจึงเป็นแม่ทัพที่ดีของราชวงศ์ต้าเว่ย หากเขามีความเห็นแก่ตัวเพียงเล็กน้อยก็คือการถือครองกองกำลังตั้งตนเป็นใหญ่หรือ”

พูดจบ นางก็ส่ายหน้าหัวเราะเยาะตนเอง

“องค์ชายไม่เคยเสด็จไปยังชายแดน ไม่รู้ชายแดนลำบากเพียงใด ทรัพยากรขาดแคลน สิ่งของต่างๆ ล้วนต้องขนมาจากพื้นที่อื่น เงินและเสบียงที่ราชสำนักแจกจ่ายลงไปไม่สามารถเลี้ยงกองกำลังได้ถึงหนึ่งในสามด้วยซ้ำ จะทำอย่างไรได้กัน หากแม่ทัพไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่หาผลประโยชน์ หม่อมฉันสามารถบอกได้ว่าชายแดนต้าเว่ยคงไม่มีทหารที่สามารถสู้รบได้นานแล้ว องค์ชายจะทรงมองแต่ข้อเสียไม่ได้ ควรมองด้านอื่นด้วย”

“เรื่องที่เจ้าพูดนั้น ข้ารู้ดี เพียงแต่ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถเจรจาต่อรองได้ มีเพียงการครอบครองกองกำลังส่วนตัว บังคับราชสำนัก”

เยียนอวิ๋นฉีเลิกคิ้วยิ้ม “หากองค์ชายทรงอยู่ในตำแหน่งของแม่ทัพ องค์ชายจะทรงทำอย่างไร”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “ข้าจะโหดร้ายยิ่งกว่าท่านโหวกว่างหนิงสิบเท่า ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อกับราชสำนัก อยากทำสิ่งใดก็ทำ ไม่จำเป็นต้องเห็นราชสำนักอยู่ในสายตา”

เยียนอวิ๋นฉีอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดต่ออย่างไร

“แต่ข้าไม่ใช่แม่ทัพชายแดน ข้าเป็นองค์ชาย จุดยืนแตกต่างกัน เจ้าไม่สามารถตำหนิข้าได้”

“แต่องค์ชายก็ไม่ควรตำหนิท่านพ่อ!”

“อวิ๋นฉี บางครั้งจุดยืนของเจ้าก็ช่างประหลาดเสียจริง”

“หม่อมฉันเพียงแค่พูดจากใจ”