บทที่ 228 พี่ไม่รักษาคำพูด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 228 พี่ไม่รักษาคำพูด

อาซือเป็นหลานสาวของพี่สาว การที่ทั้งสองคนมีส่วนคล้ายคลึงกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา

เสียงของเซี่ยเชียนยังคงเย็นเยือกราวกับหิมะบนยอดภูเขา ทว่าในยามที่อยู่ต่อหน้าอาซือ ในใจกลับไม่ได้เย็นชาและต้องใช้ความอดทนเหมือนที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น

เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านย่าของเจ้า… มีนามว่า เซี่ยเหยา”

เมื่อเอ่ยถึงเซี่ยเหยา แววตาของเซี่ยเชียนก็เหมือนล่องลอยออกไปไกลแสนไกล ไกลยิ่งกว่าภูเขาและทะเลสาบ เวิ้งว้างยิ่งกว่ามหาสมุทรและผืนนภา

“ข้ามีอายุไล่เลี่ยกับพี่สาว นางมักจะเป็นเด็กหญิงที่รู้ความและเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสมาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ท่านพ่อและท่านแม่มีข้า พี่สาวก็หมั่นคอยดูแลข้า เติบโตมากับข้า”

อาซือฟังดังนั้นก็อดพูดไม่ได้ว่า “ข้าเองก็มักจะอยู่เป็นเพื่อนซานเป่า เช่นนี้ท่านย่าและท่านปู่เซี่ยก็เหมือนกับข้าและซานเป่าหรือเจ้าคะ?”

สีหน้าของเซี่ยเชียนพลันอ่อนโยนลง จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง”

เขาพูดต่อว่า “สมัยที่ยังเด็กข้าซุกซนมาก ข้ามีความทรงจำและการตระหนักรับรู้ตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อมักจะเข้มงวดกับข้าเสมอ แต่กลับรักและเอ็นดูพี่สาวมาก ไม่เคยขอให้นางทำอะไร ข้าไม่ชอบเรียกนางว่าพี่ จึงมักเรียกนางว่าอาเหยา นับถือนางเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทที่สุดของข้า”

อาซือไม่ได้อยากให้เซี่ยเชียนบรรยายอดีตของตัวเองเพียงลำพัง จึงพูดคุยกับเขาว่า “ท่านย่าเป็นเด็กผู้หญิง ก็ต้องได้รับการเอ็นดู แต่ท่านปู่เซี่ยไม่เหมือนกัน ท่านเหมือนกับท่านพี่ ท่านพ่อและท่านแม่มักให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย คาดหวังกับเขาค่อนข้างมากเจ้าค่ะ”

นางอายุยังน้อยนักแต่กลับมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังปลอบใจเซี่ยเชียนอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน

เหยาซูลูบศีรษะของอาซือเพื่อให้กำลังใจนาง เซี่ยเชียนเองก็ยิ้มบาง ๆ

เขาจึงเล่าเรื่องของเซี่ยเหยาต่อ “อาเหยาชอบแต่งบทกวีและวาดภาพตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนในใจของนางจะมีความรู้สึกที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนนับไม่ถ้วน สามารถร่ายเรียงออกมาเป็นบทกวีซึ่งอัดแน่นอยู่ที่ปลายพู่กัน บทกวีเมื่อครั้งที่นางอายุเก้าขวบ ได้สร้างความน่าอัศจรรย์ไปทั่วทุกหนแห่ง ชื่อเสียงของสตรีผู้รอบรู้ตระกูลเซี่ยได้เลื่องลือไปจนถึงเมืองหลวง เพียงแต่ต่อมาตระกูลเซี่ยกลับประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภาพวาดและบทกวีของอาเหยาล้วนถูกทำลายสิ้น”

ยิ่งฟังดวงตาของอาซือก็ยิ่งเปล่งประกาย กระทั่งฟังมาจนถึงช่วงกลางตอน เด็กน้อยพลันแสดงสีหน้าขมขื่น ดวงตาฉายแววหม่นหมองลงมากทีเดียว

เซี่ยเชียนจึงพูดขึ้นอีกว่า “ต่อมาพี่สาวก็พาข้าหนีตาย นางในตอนนั้นไม่ใช่เพื่อนเล่นในสายตาของข้าอีกต่อไป… นางคือพี่สาว คือแม่ คือที่พึ่งพิง และครอบครัวเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ของข้า”

อาซือนิ่งงันไปในทันที เด็กน้อยอ้าปากกว้าง และโพล่งถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดเล่าเจ้าคะ? เหตุใดต้องหนีตาย ในครอบครัวของปู่เซี่ยเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”

หลินเหราเงียบสนิท เหยาซูเงยหน้าขึ้น แม้แต่อาจื้อเองก็ถึงกับผึ่งหูเพื่อรอฟัง

เซี่ยเชียนกลับแสดงสีหน้าปกติ น้ำเสียงยังคงราบเรียบ พูดกับอาซือโดยไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างใด “จักรพรรดิพระองค์ก่อนสืบเจอบทกวีเชิงต่อต้านจากในตระกูลเซี่ย และจดหมายที่ท่านพ่อติดต่อกับพวกศัตรูที่บรรพบุรุษตระกูลเซี่ยให้ที่พักพิง หลีกเลี่ยงไม่ให้ครอบครัวต้องรับโทษประหารชีวิต ท่านพ่อและคนใกล้ชิดถูกตัดหัว ส่วนคนอื่น ๆ ในตระกูลเซี่ยถูกเนรเทศ พี่สาวจึงพาข้าหนีออกมา”

ดวงตาของอาซือค่อย ๆ เบิกกว้าง เพราะตื่นตกใจจนพูดไม่ออก

นางไม่เชื่อว่าคนที่มีน้ำใจกว้างขวางเช่นนี้อย่างท่านปู่เซี่ย จะมีครอบครัวที่ชังชาติขายชาติให้แก่ศัตรู

ผ่านไปชั่วครู่ เด็กหญิงจึงได้พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “บท… บกวีเชิงต่อต้าน? แล้ว แล้วก็จดหมายติดต่อกับศัตรู…. ล้วนเป็นเรื่องเท็จใช่หรือไม่? จะเป็นไปได้อย่างไร? ท่านปู่เซี่ยเจ้าคะ?”

แม้ว่าเซี่ยเชียนจะถูกอาจื้อและอาซือเรียกขานว่าท่านปู่ แต่ความจริงแล้วเขายังดูอ่อนเยาว์มากทีเดียว อายุมากกว่าหลินเหราแค่แปดปีเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ายังอ่อนเยาว์มาก

อาซือนับถือเขาเหมือนกับท่านพ่อและลุงรอง เป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือและอยากเข้าใกล้อย่างอดไม่ได้ แค่ได้ยินเขาเล่าว่าต้องหนีตายตั้งแต่วัยเยาว์ก็ทำให้รู้สึกแย่พอแรงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งตระกูลเซี่ยต้องโดนลงโทษ ผู้เป็นพ่อก็ต้องถูกตัดหัว!

นางทั้งรู้สึกแย่ทั้งร้อนใจ

กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนส่ายหน้า และพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “คนตระกูลเซี่ยเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน แต่มันเป็นเพียงการใส่ร้ายของข้าราชสำนักเท่านั้น ตอนนี้ตระกูลเซี่ยกลับมาสงบสุขแล้ว ชื่อเสียงสกปรกและความอัปยศในอดีตล้วนถูกทำลายหมดสิ้น”

อาซือยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “แม้ว่าจะกลับมาสงบสุข แต่คนที่ตายจากไปมันเอากลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว…”

ทุกคนตกสู่ความเงียบงัน

เซี่ยเชียนเคยย้อนกลับไปยังสถานที่ที่ถูกเนรเทศเพื่อตามหาเงาของตระกูลเซี่ยที่หลงเหลืออยู่ ทว่าคว้าน้ำเหลวตลอดหลายปีที่ผ่านมา

กลุ่มการเมืองในราชสำนักต่างตั้งตนเป็นใหญ่ คนที่ลากตระกูลเซี่ยให้ตกต่ำในยามนั้นไม่คิดจะปล่อยลูกหลานของตระกูลเซี่ยให้เหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเซี่ยเหยาถึงเลือกที่จะพาน้องชายวัยเยาว์หนีตาย

ถ้าสองพี่น้องเลือกที่จะตามไปยังที่ที่โดนเนรเทศ เกรงว่าความหวังอันริบหรี่ของตระกูลเซี่ยก็คงไม่มีเหลือ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสิบปี เซี่ยเชียนกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปแล้ว เขาพูดกับอาซือว่า “คนตายได้ตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องนึกถึงอีก”

ดูเหมือนอาซือจะไม่เข้าใจคำพูดของเซี่ยเชียน จึงเงยหน้าถามเขา “แต่ท่านปู่เซี่ยก็ยังคะนึงหาพี่สาวมาตลอดไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

เซี่ยเชียนนิ่งเงียบไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าเบา ๆ โดยไม่พูดสิ่งใดอีก

เมื่อเหยาซูเห็นดังนั้น จึงพูดกับอาซือด้วยเสียงเบาว่า “เอาล่ะ เรื่องที่เจ้าอยากรู้ท่านปู่เซี่ยก็บอกเจ้าหมดแล้ว เอ้อเป่าไปช่วยแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ซานเป่า ดีหรือไม่?”

เด็กหญิงพยักหน้า แล้วเดินตามอาซูไปอีกด้าน

เซี่ยเชียนและหลินเหรายังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ส่วนอาจื้อไปยกน้ำร้อนมาชงชาจากในครัว

หลินเหรามองลูกชายแวบหนึ่ง นัยน์ตาที่ลึกล้ำแฝงไปด้วยความชื่นชม ก่อนจะหันกลับไปพูดกับเซี่ยเชียนว่า “เมื่อสองสามวันก่อนข้าได้ปรึกษากับอาซูแล้ว เรื่องการเข้าเรียนของอาจื้อ พวกเราคิดว่าจะให้เขาไปเรียนในเมืองหลวงขอรับ”

ปกติแล้วเวลาที่ทั้งสองคนจะหารือกันมักจะชอบเข้าประเด็นโดยตรง ซึ่งเซี่ยเชียนจะชอบพูดรวบรัดตัดตอนรวดเร็ว เขาแค่พยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ตามนี้ การเข้าเมืองหลวงครานี้ ก็ให้อาจื้อตามไปด้วยเสียเลย”

หลินเหรามองอาจื้อแวบหนึ่ง ครั้นเห็นเขาไม่ได้แสดงความคิดเห็น จึงพยักหน้า

การเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้กะทันหันเกินไป เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน ถ้าอาจื้อตามไปด้วย คงต้องคุยกับเหยาซูให้ดี ๆ มิเช่นนั้นนางคงตัดใจปล่อยเขาไปไม่ได้แน่นอน

กระทั่งได้ยินอาจื้อเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านปู่เซี่ย ข้าตามท่านไปในเมืองได้ใช่หรือไม่ขอรับ?”

เซี่ยเชียนพยักหน้า “ได้แน่นอน”

พวกเขาสามคนล้วนไม่ใช่ผู้ที่จะผัดวันประกันพรุ่ง ในเมื่อตัดสินใจว่าจะไปเมืองหลวง อาจื้อก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

เขามีชีวิตที่เป็นอิสระ คิด ๆ ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงเงยหน้ามองเซี่ยเชียน และพูดอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไปกล่าวลาท่านแม่และเพื่อน”

เซี่ยเชียนจิบชาหนึ่งคำ จากนั้นก็วางจอกชาลง “ตกลง”

เซี่ยเชียนมีเวลาอยู่ในบ้านตระกูลหลินไม่มากนัก เขาจึงเอ่ยถามถึงบทเรียนของอาจื้อเพียงสั้น ๆ และอยู่รอดูซานเป่าของหลินเหรา ก่อนจะจากไป

ทุกคนออกมาส่งเซี่ยเชียนหน้าประตู หลินเหราเสนอตัวจะพาเขาไปส่งที่โรงเตี๊ยม แต่กลับถูกเซี่ยเชียนปฏิเสธ

ชายหนุ่มยืนอยู่ใต้ต้นหลิวสูงใหญ่หน้าลานบ้าน ความรู้สึกทั่วทั้งร่างกายได้หลอมละลายไปกับอากาศในช่วงฤดูวสันต์ เหมือนกับต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุมานานนับร้อยปีต้นนี้ ไร้ซึ่งความเศร้าโศก ไร้ซึ่งความปีติยินดี

เขาพูดเสียงราบเรียบว่า “ไม่ต้องไปส่งหรอก ข้าจำทางได้”

พูดจบเซี่ยเชียนก็ควบม้า ไม่พูดสิ่งใดให้มากความ จากนั้นบังคับม้าจากไปทันที

หลังจากส่งเซี่ยเชียนแล้ว เหยาซูก็ทอดถอนใจ และพูดกับหลินเหราว่า “ครั้งที่แล้วที่ได้ยินท่านบอกว่าเขาไม่เป็นที่รักใคร่ ข้าก็คิดว่าเป็นเพราะนิสัยเย็นชา พอมาวันนี้… เฮ้อ ชายหนุ่มผู้โดดเดี่ยว น่าจะแต่งงาน มีลูกสักคน ค่อย ๆ ใช้ชีวิตกันไปมิดีกว่าหรือ?”

หลินเหรารู้ความหมายของเหยาซู

สำหรับคนภายนอก เขามักจะมีนิสัยเย็นชา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหยาซูและพวกเด็ก ๆ กลับไม่ได้มีสีหน้าที่เย็นชาเช่นนั้น

หลินเหราไม่รู้ว่าจะปลอบใจเหยาซูอย่างไรจึงพูดได้แค่ว่า “ท่านน้าก็เป็นท่านน้า เขามีชีวิตรอดมาได้หลายปีแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”

อาจื้อที่อยู่ข้างกายจึงพูดขึ้นว่า “ท่านปู่เซี่ยเป็นคนดี ต่อไปข้าจะอยู่ข้างกายเขาเองขอรับ”

เหยาซูตะลึงงัน ไม่เข้าใจความหมายของอาจื้อ

หลินเหราจึงอธิบายว่า “เมื่อครู่ท่านน้าบอกว่าพรุ่งนี้จะพาอาจื้อเข้าเมืองหลวงด้วย”

เหยาซูเบิกตากว้างทันใด และพูดด้วยความแปลกใจ “เหตุใดเร็วเพียงนี้? อาจื้ออายุยังน้อยอยู่นะ…”

หลินเหราส่ายหน้า แม้แต่อาจื้อเองก็ยกยิ้ม จากนั้นก็พูดกับเหยาซูว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ! ควรต้องออกไปร่ำเรียนได้แล้ว! ท่านอาอวี๋รู้ตัวอักษรทั้งหมดตั้งแต่หกขวบ จึงได้เข้าเรียนในสำนักศึกษา ถ้าข้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะไปกราบเป็นลูกศิษย์เขา ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านอาอวี๋สอบชุนเว่ย*[1] จะเป็นอย่างไรบ้าง”

บัณฑิตต่างถิ่นที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง โดยส่วนใหญ่จะรอประกาศผลคัดเลือกอยู่ในเมือง อวี๋จือสอบเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อสองสามวันก่อน เขาส่งจดหมายมาหาหลินเหราเล่าชีวิตในช่วงนี้ของตัวเอง

ครั้นเห็นเขาเอ่ยถึงอวี๋จือ เหยาซูก็พูดแค่ว่า “ท่านอาอวี๋ของเจ้าเข้าไปในสำนักศึกษานานแล้ว เพราะอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาจิ้งหยางเป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลอวี๋ … ลูกหลานย่อมห่างบ้านไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา”

อาซือยืนฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่อีกด้าน ในใจกำลังครุ่นคิดว่าหากพี่ชายเข้าเมืองหลวง นางจะไม่ได้เจอเขาอีกนานเป็นแน่

คิดได้เช่นนี้ ดวงตาของนางก็พลันแดงก่ำ

กระทั่งได้ยินอาจื้อพูดกับเหยาซูว่า “ท่านแม่ ผ่านวันเกิดไปข้าก็จะอายุแปดขวบเต็มแล้ว ไม่ใช่เด็กอีกแล้วขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ตามท่านปู่เซี่ยไป ท่านยังไม่วางใจอีกหรือ?”

วันเกิดของอาจื้อคือวันที่ห้าเดือนห้า เขาเกิดในเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนแล้ว

เหยาซูกำลังจะอ้าปาก แต่กลับได้ยินอาซือร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ท่านพี่คิดถึงแต่วันเกิดของตัวเอง ก่อนหน้านั้นพี่สัญญากับเอ้อเป่าแล้ว ว่าจะให้ของขวัญที่ดีที่สุดกับข้า! พี่ไม่รักษาคำพูด!”

………………………………………………………………………………………………..

[1] สอบชุนเว่ย เป็นการสอบขุนนางในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

สารจากผู้แปล

เรื่องของตระกูลเซี่ยช่างหดหู่จริง ๆ เลยค่ะ การถูกใส่ความโดยที่ตนไม่ผิดนี่เป็นอะไรที่อัปยศมากจริงๆ

อาจื้อลืมให้ของขวัญน้องสาวเหรอคะ

ไหหม่า(海馬)