บทที่ 229 พรุ่งนี้จะออกเดินทางกันเมื่อใด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 229 พรุ่งนี้จะออกเดินทางกันเมื่อใด?

อาซือรู้ดีถ้าพี่ชายบอกว่าจะไปเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องไป การคัดค้านของผู้เป็นแม่ไม่มีประโยชน์อะไร ซึ่งนั่นทำให้ความทุกข์ภายในใจของเด็กน้อยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งได้ยินอาจื้อเอ่ยถึง ‘วันเกิด’ ความทุกข์ภายในใจจึงได้ระเบิดออกมา

เด็กชายทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ แม้แต่เหยาซูเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

อาจื้อรีบปลอบน้องสาวทันที “ใครบอกว่าข้าไม่มีของขวัญให้เจ้า? แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า แต่ของขวัญจะไม่มีวันขาดแน่นอน!”

อาซือร้องไห้พร้อมกับส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ! ท่านพี่ถึงที่โน้นแล้วก็ต้องเข้าเรียนในสำนักศึกษาทันที ไฉนเลยจะจำวันเกิดของข้าได้?”

อาจื้อรู้วิธีปลอบใจอาซือ เห็นได้ชัดว่าความกังวลคือนางกลัวว่าเมื่ออาจื้อเข้าไปในสำนักศึกษาแล้ว จะลืมเรื่องอื่น เด็กชายจึงเปลี่ยนความคิด และพูดปลอบว่า “วันเกิดของเจ้าคือวันที่แปดเดือนสี่มิใช่หรือ? พี่จำได้ จำได้ชัดเจนยิ่งกว่าวันเกิดของตัวเองเสียอีก เหตุใดจะลืมได้ลงคอเล่า”

อาซือยังคงร้องไห้ ในสมองได้ถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกที่เศร้าหมอง ไม่คิดว่าคำพูดของอาจื้อนั้นผิดปกติอะไร

กระทั่งเห็นอาจื้อพูดต่อว่า “เอาแบบนี้แล้วกัน ในวันที่แปดเดือนสี่ ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ใด พี่จะส่งของขวัญมาให้ถึงมือของเอ้อเป่า ตกลงไหม? พี่จะจดจำไว้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืม”

ไฉนเลยอาซือจะร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้ อาจื้อปลอบน้องอย่างอดทนอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดความรู้สึกของนางจึงค่อย ๆ สงบลง

เหยาซูยืนกอดอกอยู่ด้านข้างและตั้งใจพูดว่า “แม่ว่าในเมื่อต้าเป่าตัดสินใจแล้ว เอ้อเป่าก็ควรหยุดร้องไห้ เราจะไม่คิดถึงเขาแล้ว ต่อไปก็ให้เขาอดอยากปากแห้งอยู่ในเมืองเองละกัน!”

อาจื้อยิ้มเหยเก แม้แต่อาซือเองก็ยิ้มออกมา

หลินเหราอุ้มซานเป่าอยู่ด้านข้าง เห็นความสัมพันธ์โต้ตอบของพวกเขาแม่ลูก ก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่ปลอดภัยบางอย่าง

ในใจเกิดรู้สึกเสียดายที่เซี่ยเชียนดื้อดึง เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ทุกคนเข้าไปในห้อง แม้ปากของเหยาซูจะบ่นไม่มีความสุข แต่มือกลับเริ่มเก็บสัมภาระเตรียมตัวเข้าเมืองให้แก่อาจื้อ

ยามนี้ท้องฟ้าค่อย ๆ สาดแสงอบอุ่น แต่ยามราตรีในช่วงฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวจับใจ

เหยาซูเตรียมเสื้อผ้าที่ซักแล้วสองสามชุดให้กับอาจื้อ จากนั้นก็หารองเท้าออกมาอีกสองคู่ ใส่กระเป๋าไว้ด้วยกัน

เหยาซูเก็บข้าวของพลางพูดว่า “ถ้าของไม่พอก็ไปซื้อในเมืองเอาแล้วกัน โชคดีที่ครั้งนี้ท่านพ่อและท่านลุงไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขาช่วยเลือกของใช้ในชีวิตประจำวันแล้วค่อยกลับ”

อาจื้อพยักหน้าอย่างว่าง่าย

หลินเหราได้ยินแล้ว จึงเงยหน้ามองเหยาซูแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดสิ่งใดทั้งนั้น

การเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในครั้งนี้ อาจจะต้องอยู่ในเมืองต่อ

เพียงแต่เรื่องนี้เขายังไม่แน่ใจ เขาจึงไม่อยากทำให้เหยาซูเป็นกังวล

เหยาซูเก็บข้าวของเครื่องใช้ตลอดช่วงเช้า ไม่นานเหยาเอ้อหลางที่ออกไปซื้อเนื้อก็กลับมาในที่สุด

ตอนเที่ยงเหยาซูได้ห่อเกี๊ยวไส้เนื้อหมู ทำให้เด็ก ๆ ได้กินเกี๊ยวอย่างมีความสุข

เหยาเอ้อหลางกินไปสองชามใหญ่ หลังจากกินมื้อเที่ยงอิ่มแล้วก็นั่งลูบท้อง พูดอย่างพอใจว่า “ที่แท้ต่อให้ไม่ใช่วันปีใหม่ก็กินเกี๊ยวได้เหมือนกัน!”

ในครอบครัวของเขาไม่เคยห่อเกี๊ยวนอกเหนือจากเทศกาลปีใหม่เลย เอ้อหลางจึงได้มีความคิดเช่นนี้

เหยาซูยิ้มหยอกเย้า “ประเดี๋ยวเอ้อหลางเช็ดโต๊ะเสีย งานนี้จำเป็นต้องใช้กำลังแขนมาก อาขอดูหน่อยสิว่าที่เจ้าพร่ำยิงธนูในช่วงนี้จะได้ฝึกกำลังแขนบ้างหรือไม่”

เหยาเอ้อหลางหัวเราะร่วนออกมา จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งหยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งมาเช็ดโต๊ะทั้งซ้ายและขวาอย่างขะมักเขม้น

เด็กชายขยับแขนทั้งสองข้างพร้อมกัน ไม่นานก็เหนื่อยจนเหงื่อผุดซึมออกมาเต็มใบหน้า อาซือที่มองดูอยู่ด้านข้าง ก็หัวเราะร่วนอย่างมีความสุข

หลังจากที่อาจื้อและหลินเหราล้างถ้วยชามเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องครัว ทุกคนล้อมเข้ามานั่งด้วยกันอีกครั้ง จากนั้นก็แทะเม็ดแตงไปพลางพูดคุยไปพลาง

เหยาเอ้อหลางจึงได้พูดด้วยความอิจฉาเป็นคนแรก “เมืองหลวงเชียวนะ! ตลอดชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยไปในเมืองหลวงเลยสักครั้ง! พี่ใหญ่ได้ตามลุงใหญ่ลงทิศใต้ไปแล้ว พรุ่งนี้อาจื้อก็จะต้องตามท่านอาเขยและท่านพ่อเข้าเมืองหลวงไปอีก เฮ้อ! เหลือเพียงข้าผู้เดียว ที่อุดอู้อยู่ในเมืองชิงถงเล็ก ๆ แห่งนี้…”

เขาเป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริง ชอบเล่นพิเรนทร์ หยอกล้อทุกคนให้หัวเราะอย่างมีความสุขเสมอ

เหยาซูจึงอดกลั้นพูดหยอกล้อไม่ได้ว่า “อาจื้อไปเมืองหลวง ก็เพื่อไปร่ำเรียน ถ้าเอ้อหลางอิจฉาเช่นนี้ละก็ สู้ตามไปด้วยกันเลยสิ คิดว่าในสำนักศึกษาก็น่าจะมีที่ว่างสักที่”

เมื่อเหยาเอ้อหลางได้ยินดังนั้น ก็รีบส่ายหัวดั่งกลองป้อกแป้กของเด็กทันที จากนั้นก็พูดเสียงดังว่า “ไม่ได้ขอรับ ไม่เอา! ไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่ไป…”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องเรียนทีไร เหยาเอ้อหลางก็เอาแต่ส่ายหน้าลูกเดียวทุกที “ข้าไม่เข้าใจผู้ที่เขียนตำราเหล่านั้นเลยจริง ๆ แค่อ่านให้ได้ทุกตัวอักษรก็ยากจะตายแล้ว นี่เล่นเอาตัวอักษรมากมายเหล่านั้นมาวางอัดแน่นอยู่ด้วยกัน! คนอ่านก็พากันตาลายไปหมด! ยากดั่งขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว!”

อาจื้อส่ายหน้า “พี่รองแค่ไม่ชอบเรียนหนังสือก็เท่านั้น ถ้าตัวอักษรทุกตัวในหนังสือกลายเป็นเป้าธนู วางอยู่ในป่าไม้ที่แน่นขนัด พี่รองก็คงจะขี่ม้าพุ่งตรงไปยิงธนู คงไม่รู้สึกว่าตาลายแน่นอน ตรงข้ามกลับทำอย่างกระตือรือร้นด้วยซ้ำ”

อาซือที่อยู่ด้านข้างได้พูดแทรกขึ้นว่า “พี่รองยังรู้จักคำว่า ‘ยากดั่งขึ้นสวรรค์’ เช่นนั้นแสดงว่าการเรียนหนังสือก็มีประโยชน์น่ะสิ”

เมื่อเหยาเอ้อหลางได้พูดคุยเรื่องขี่ม้ายิงธนูกับพวกเขาอีกครั้ง ได้พูดถึงกิจกรรมที่ตัวเองชอบ จู่ ๆ ก็ร่าเริงคึกคักทันตา

เหยาซูฟังเด็ก ๆ ถกเถียงกันอย่างเจื้อยแจ้วด้วยรอยยิ้ม พลางพูดกับหลินเหราว่า “ท่านกับพี่รองจะไปกี่วันหรือ? สองสามวันนี้คงต้องให้เอ้อหลางมาเล่นกับอาซือที่บ้าน แต่เกรงว่าคงไม่พ้นสองวันก็น่าจะทนไม่ไหว”

หลินเหราส่ายหน้า และพูดเสียงต่ำว่า “วันกลับยังไม่แน่นอน”

เหยาซูถอนหายใจออกมาเพื่อแสดงออกว่าเข้าใจ และถามว่า “ก่อนหน้านั้นแม้แต่สัญญาณเล็กน้อยก็ไม่มี เหตุใดครั้งนี้ถึงได้มีพระราชโองการลงมากะทันหัน บอกให้ท่านและพี่รองเข้าเมืองไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้กัน? แบบนี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ…”

ในยุคสมัยนี้ นอกจากจะต้องเข้าราชสำนักไปว่าราชกิจทุกวันแล้ว ยังมีขุนนางท้องถิ่นบางคนที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลินเหราที่เป็นแค่คนที่ดำรงตำแหน่งนายกองผู้หนึ่ง และเหยาเฉาที่ไม่ได้ดำรงหน้าที่เป็นขุนนางแม้แต่น้อย

หลินเหราส่ายหน้าเพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจ หลังจากลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งว่า “อาจเป็นเพราะตระกูลเซี่ยก็ได้”

เหยาซูตื่นตกใจ “ตระกูลเซี่ย?”

หลินเหราวิเคราะห์ออกมา “ตระกูลเซี่ยถูกใส่ร้ายป้ายสีจนต้องตายยกตระกูล จวบจนตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่มีผลกระทบ ท่านลุงเข้าราชสำนักไปไม่กี่วัน ก็ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น มันอาจจะไม่ใช่การชดเชย ถ้าฝ่าบาทรู้เบื้องหลังของข้า จึงเรียกไปเข้าเฝ้าก็อาจจะเป็นไปได้”

เหยาซูครุ่นคิดตามอย่างละเอียด รู้สึกว่าที่หลินเหราพูดนั้นก็มีเหตุผลไม่น้อย

การวิเคราะห์ของหลินเหรานั้นไม่ผิด การเลื่อนตำแหน่งของตระกูลเซี่ยในตอนนี้ แรกเริ่มสุดมั่นใจได้เลยว่าเป็นความคิดที่อยากชดเชยให้แก่ตระกูลเซี่ย

แม้ว่าเซี่ยเชียนจะไม่ปรารถนา และไม่อยากได้ความมั่งคั่งหรือยศถาบรรดาศักดิ์ใด แต่เรื่องที่ฝ่าบาทมอบหมายให้เขากลับสามารถทำได้สำเร็จลุล่วง แม้แต่เพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างไม่พอใจ ก็ยังทำมันออกมาได้อย่างราบรื่น

ประกอบกับฐานะที่สะอาดของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับการแบ่งพรรคแบ่งพวก นอกจากฝ่าบาทจะพึ่งพาในเรื่องของการบริหารรัฐบาลแล้ว ก็ยังไว้วางใจมากถึงขั้นยกเซี่ยเชียนเป็นคนสนิทของตัวเองไปเลยทีเดียว

บัดนี้เมื่อได้ยินว่าเซี่ยเชียนตามหาสายเลือดตระกูลเซี่ยที่หายสาบสูญไปก่อนหน้านั้นเจอที่เมืองชิงถง องค์จักรพรรดิจึงใช้โอกาสจากเรื่องการปราบโจรในเมืองชิงถง เชิญเข้ามารับการยกย่องคุณงามความดีและเรียกตัวหลินเหราเข้าพบ

ดูสิว่าหลินเหราผู้มีศักดิ์เป็นหลานของเซี่ยเชียนคนนี้ จะเป็นคนอย่างไร

จักรพรรดิร่างประโยคเดียวในพระราชโองการเพียงชั่ววูบ แต่เหยาซูกลับต้องเตรียมตัวให้ทั้งสองคนไปกว่าครึ่งวัน

นางไม่เคยมีประสบการณ์ กลับรู้ว่าเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ไม่จำเป็นต้องตระเตรียม แค่เอ่ยถามหลินเหราว่า “ถึงพระราชวังแล้ว ยามที่ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ใส่เป็นปกติหรือ?”

หลินเหราเห็นนางยุ่งตัวเป็นเกลียว จึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น เสื้อผ้าที่ต้องสวมใส่ ทางวังหลวงได้ส่งมาให้ล่วงหน้าแล้ว”

เหยาซูตะโกนอย่างไม่พอใจ “ท่านก็รู้ว่าคนในวังจะส่งให้! เขาเดินทางมาถึงที่นี่ เราไม่คิดจะแสดงน้ำใจหน่อยหรือไร?”

หลินเหราเพิ่งพบว่าเหยาซูหยิบก้อนเงินที่แตกหักแล้วขนาดเล็กออกมาจากในตู้ และใส่เข้าไปในถุงเงิน

หญิงสาวใส่พลางบ่นอุบอิบว่า “ด้านนี้พี่รองไหลลื่นยิ่งกว่าท่านแน่นอน ข้าเตรียมไว้ให้พวกท่านคนละส่วน และเตรียมไว้ในถุงเงินหลายใบ ถ้าอาเหราไม่รู้ว่าควรต้องให้เมื่อใด ก็แล้วแต่พี่รองแล้วกัน”

เหยาซูเป็นภรรยาที่มักเป็นห่วงเมื่อยามที่สามีต้องออกนอกบ้านเสมอ กำชับตรงนี้ที เตือนตรงนั้นที

เดิมทีเหลินเหราคิดว่าตัวเองจะต้องเบื่อหน่ายกับการตักเตือนที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นเหยาซู ได้เห็นใบหน้าที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความจริงจัง ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเพราะเรื่องที่ตัวเองต้องเข้าเมืองหลวง ก็รู้สึกว่าช่างน่ารักยิ่งนัก

สิ่งที่เหยาซูเอ่ยถึง หลินเหราล้วนรับปากทุกข้อ

กระทั่งในตอนสุดท้าย เหยาซูหมดคำพูด ได้แต่ทอดถอนใจ “สิ่งของที่ข้าเตรียมได้ก็มีแค่นี้… ว่ากันว่าอยู่ใกล้องค์จักรพรรดิก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ แม้จะพูดบอกว่าการเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นเกียรติอย่างยิ่งยวด แต่ใครเล่าจะแน่ใจ? ถึงตอนนั้นเกิดทำตรงไหนไม่ดีขึ้นมา กลายเป็นว่าทำให้พระองค์ทรงกริ้ว…”

ในที่สุดหลินเหราก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ สีหน้าของเขาดูผ่อนคลาย กลิ่นอายที่ดูบีบรัดตัวในอดีตได้จางหายไปหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแค่องค์ประกอบทั้งห้าที่ดูหล่อเหลาและลึกล้ำเท่านั้น ยามที่ยื่นเข้ามาใกล้เหยาซูกลับทำให้นางใจเต้นเร็วรัวราวกับจะทะลุออกมา

เห็น ๆ อยู่ว่าทั้งสองคนได้อยู่กินฉันสามีภรรยามานานขนาดนี้แล้ว เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน และรู้ความคิดภายในใจของอีกฝ่าย แต่เหยาซูก็ยังไม่สามารถต้านทานความรู้สึกของการถูกจ้องมองด้วยสายตาของหลินเหราได้สักครั้ง

หัวใจของนางเต้นดังอย่างฉุดไม่อยู่ พร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหลินเหราบนใบหน้าของเขาโดยไม่อาจละสายตาได้

หลินเหราเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แล้วยื่นมือไปกุมมือที่ยุ่งวุ่นวายอยู่นานของเหยาซูอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือที่เนียนละเอียดและขาวผ่องข้างนั้นถูกเขาลูบไล้อย่างเบามือ สัมผัสได้ถึงหัวใจที่ได้รับการเติมเต็ม

เขาพูดเสียงแหบแห้งว่า “เอาล่ะ หยุดกังวลได้แล้ว คงเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อีกสองวันข้าและพี่รองก็กลับมาแล้ว”

มือของเหยาซูถูกเขากระชับแน่นขึ้น ฝ่ามือของชายหนุ่มร้อนผ่าว สัมผัสจากหนังที่ตายด้านให้ความรู้สึกถึงความหยาบกร้าน แต่กลับไม่ได้บีบให้นางเจ็บแต่อย่างใด

หญิงสาวพยักหน้า และตอบรับเบา ๆ จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “พรุ่งนี้จะออกเดินทางกันเมื่อใด?”

………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ที่อาซูบ่นจู้จี้ก็เพราะเป็นห่วงน่ะนะ อาเหราก็ฟังใส่ใจไว้หน่อยแล้วกัน

ไปเมืองหลวงครั้งนี้กว่าจะกลับก็คงอีกนานเลย

ไหหม่า(海馬)