ตอนที่ 295 แสงสีรุ้งปรากฏ
ไม่นานรถก็แล่นไปสุดถนน
ทุกคนลงจากรถ
มู่เถาเยาเงยหน้ามองไปไกล สุดขอบฟ้าเป็นภูเขาไฟหลายลูกกับธารน้ำแข็งที่ตระหง่านดุจก้อนเมฆ
ร้อนกับเย็นมาบรรจบกัน กลับไม่ทำให้รู้สึกแย่
“นึกไม่ถึงว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้อากาศกลับไม่แย่ เบื้องหน้าไม่มีสิ่งมีชีวิต เดิมทีหนูคิดว่าจะเลวร้ายเสียอีกค่ะ”
เย่ว์เลี่ยงยิ้มพูด “เขาเทพจันทราเป็นภูเขามหัศจรรย์ มีปรากฏการณ์หลายอย่างที่อธิบายไม่ได้”
มู่เถาเยาพยักหน้า
เย่ว์จือกวงมองน้องสาวสุดที่รัก “เสี่ยวเยาเยา…”
“แสงสีรุ้ง! ดูสิคะ เหนือธารน้ำแข็งมีวงแหวนสีรุ้งด้วย!” มู่เถาเยาตื่นเต้นดีใจจนพูดเสียงสูง
เธอไม่เคยเห็นวงแหวนที่สวยแบบนี้มาก่อน!
ต่อให้เป็นในหนังสือก็ไม่เคยเห็นบรรยายถึงวงแหวนสีรุ้งประเภทนี้เลย!
ทุกคนมองไปที่ธารน้ำแข็งทันที
วงแหวนสีรุ้งหลายวงซ้อนกัน ประกอบด้วยสีแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ คงอยู่แบบนี้ประมาณห้าถึงหกนาทีถึงจะค่อยๆ ไล่สีหายไปทีละชั้น
สามพ่อลูกตื่นเต้นจนแทบกระโดดโลดเต้น
นี่ก็คือลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งที่หัวหน้าเผ่าทุกคนต่างรอคอย!
ในบันทึกประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่า บรรพบุรุษรุ่นแรกพาคนในเผ่ามาตั้งรกรากบุกเบิกที่ร้างแห่งนี้ ก่อนที่บรรพบุรุษจะเสียชีวิตสวรรค์ได้ประทานลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้ง ต่อมาก็ไม่มีใครได้รับเกียรติแบบนี้อีก
ถึงแม้หัวหน้าเผ่าแต่ละรุ่นส่วนใหญ่จะโชคดีได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นแค่ลำแสงสีขาว คนละระดับกับลำแสงสีรุ้ง ก็เหมือนกับเอาบ้านกระท่อมไปเทียบกับพระราชวัง
ตอนนี้พอเสี่ยวเยาเยามาถึงก็มีลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งปรากฏ แค่คิดดูก็รู้ว่าหัวหน้าเผ่าในอนาคตคนนี้จะต้องยิ่งใหญ่กว่าบรรพบุรุษที่ก่อตั้งเผ่าหมาป่าพระจันทร์แน่นอน เพราะบรรพบุรุษขึ้นเขาเทพจันทราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายถึงได้รับเมตตาแบบนี้
มู่เถาเยายังไม่เคยอ่านประวัติเผ่าฉบับส่วนตัวของตระกูลเย่ว์ จึงไม่รู้ว่าวงแหวนสีรุ้งแบบนี้หมายถึงอะไร แค่คิดว่าเหมือนปรากฏการณ์หาชมยากทั่วไป
สามพ่อลูกดวงตาเป็นประกาย แม้แต่เย่ว์เลี่ยงก็ขอบตาเริ่มแดง
มู่เถาเยาถามด้วยความงุนงง “ทุกคนเป็นอะไรไปคะ”
หรือเพราะคนเผ่าหมาป่าพระจันทร์ไม่ชอบออกไปข้างนอกก็เลยตื่นเต้นปรากฏการณ์ที่พบได้ยากเป็นพิเศษเหรอ
เอ่อ…แต่คนตระกูลเย่ว์ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นโลกภายนอก จะเป็นเพราะสาเหตุนี้ได้ยังไง
มู่เถาเยาหยุดการคาดเดา
เย่ว์เลี่ยงเหลือบมองสามพ่อลูกที่กำลังสงบสติอารมณ์แล้วอธิบายหลานสาวที่ไม่เข้าใจว่า “เสี่ยวเยาเยา หลานจะเป็นหัวหน้าเผ่าที่เยี่ยมยอดที่สุดในประวัติศาสตร์เผ่าหมาป่าพระจันทร์”
“เรื่องในอนาคตจะไปหยั่งรู้ได้ยังไง ทำไมอาถึงพูดแบบนี้คะ” ชมกันเองเหรอ
เผ่าหมาป่าพระจันทร์ดีมากแล้ว เธอยังจะทำอะไรได้อีก ทำให้แต่ละประเทศในโลกกลายเป็นแบบเผ่าหมาป่าพระจันทร์เหรอ
เธอไม่เก่งถึงขั้นนั้นหรอกนะ!
และก็ไม่มีความคิดที่น่ากลัวแบบนั้นด้วย!
โลกสงบสุข ผู้คนเท่าเทียม แบบนี้ไม่ดีเหรอ
หากไม่ใช่เพราะมีเสด็จแม่อยู่ ต่อให้นับญาติแล้ว เธอก็ไม่มีทางไปแบกรับภาระหน้าที่ของเผ่าหมาป่าพระจันทร์
อย่างไรเสียความปรารถนาของเธอก่อนหน้านี้ก็คือ หลังจากพาพวกอาจารย์ไปเที่ยวรอบโลกแล้วก็จะไปเป็นอาจารย์ เป็นชาวบ้านที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวน
มือใหญ่ของเย่ว์หลั่งวางบนศีรษะของมู่เถาเยาแล้วขยี้เบาๆ “ลูกพ่อ พอลูกมาถึงก็ได้อาบลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้ง ลูกเป็นคนที่สวรรค์เลือก”
“…งั้นอากับคุณปู่ไม่เคยเห็นมาก่อนเหรอคะ”
เย่ว์เลี่ยงมองลูกสาวในชาติที่แล้วหลานสาวในชาตินี้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ในประวัติศาสตร์ของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ มีเพียงหัวหน้าเผ่าคนแรกเท่านั้นที่ได้รับเมตตาถูกประทานลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งตอนมาที่เขาเทพจันทราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย หลานเป็นคนที่สอง”
“คนแรกเหรอคะ ไหนว่าพวกเรามีบันทึกประวัติศาสตร์ถึงแค่ห้าพันปี”
“ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งเป็นคำบอกเล่าที่หัวหน้าเผ่าคนก่อนจะเล่าให้หัวหน้าเผ่าคนใหม่ฟังต่อๆ กันมา มีแค่คนตระกูลเย่ว์ที่รู้ ไม่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์”
มู่เถาเยา “…ไม่กลัวบ้างเหรอคะว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด…จนไม่ทันได้เล่า”
‘เหตุการณ์ไม่คาดคิด’ ในชาติที่แล้วมีเยอะมาก
แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดในชาตินี้ที่เธอว่าก็มีความหมายตามตัวอักษร อย่างเช่นตายในภัยพิบัติธรรมชาติหรือภัยที่เกิดจากมนุษย์ ไม่ใช่ ‘การลอบฆ่า’ แบบในชาติที่แล้ว
เย่ว์เลี่ยงยิ้มพูด “เสี่ยวเยาเยา หัวหน้าเผ่าแต่ละรุ่นในประวัติศาสตร์ของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ล้วนแก่ตาย ต่อให้ป่วยก็ไม่มีทางจากไปอย่างกะทันหัน”
มู่เถาเยาตอบอ๋อเพื่อบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่กลับแอบอิจฉาเผ่าหมาป่าพระจันทร์อยู่ในใจบราวนี่ออนไลน์
นี่เป็นเผ่าที่สวรรค์เมตตามากจริงๆ
ก็ไม่แปลกที่เมื่อก่อนในเผ่าจะเข้มงวดแต่กับคนข้างนอก หละหลวมกันเองภายใน
อืม แบบนั้นการที่เธอหายตัวไปตอนเด็กก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่เพราะความแค้น
บางทีอาจเหมือนที่อาจารย์สามพูดไว้จริงๆ แค้นเพราะรักอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า
มู่เถาเยามองเย่ว์หลั่งอย่างไม่รู้ตัว
เย่ว์หลั่งไม่สังเกตเห็นว่าในดวงตาลูกสาวเจือไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงพูดอย่างอารมณ์ดี “ลูกพ่อ ลูกก็คือคนที่สวรรค์ประทานชะตาลิขิตไว้ ไม่รู้ว่าปู่กับย่าของลูกได้เห็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งหรือเปล่า แต่พวกเขาต้องดีใจและภูมิใจในตัวลูกแน่นอน”
ตรงตำหนักพระจันทร์มองไม่เห็นเขาเทพจันทรา ข้อแรกเป็นเพราะไกลกันมาก ข้อสองเป็นเพราะหมู่อาคารของตำหนักพระจันทร์ไม่ถือว่าสูง ด้านนอกมีภูเขากับตึกที่สูงกว่าตำหนักพระจันทร์บังไว้
แต่ลำแสงศักดิ์สิทธิ์อยู่สุดขอบฟ้า ไม่ว่าจะมองจากทิศทางไหน ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอแค่เงยหน้ามองก็เห็นได้ ก็แค่จะบังเอิญเห็นหรือไม่เท่านั้น
คงอยู่นานขนาดนั้น คนที่เห็นต้องไม่น้อยแน่นอน
บรรดาคนตระกูลเย่ว์ต่างภาคภูมิใจมาก
เย่ว์หลั่งยิ้มตาหวานพลางพูด “ลูกพ่อ เดี๋ยวออกไปอย่าลืมบอกแม่นะ แม่จะได้ดีใจด้วย”
“…ค่ะ”
เย่ว์เลี่ยงยกมือลูบผมยาวดำขลับของหลานสาว “ไว้หลานเสร็จธุระทั้งหมดของหลานแล้วอาจะยกตำแหน่งให้นะ”
“…อาคะ หนูมีเรื่องที่อยากทำมากมาย ต้องใช้เวลาเยอะ คงไม่ในเร็ววันแน่นอนค่ะ”
อันที่จริงเธอก็อยากรับช่วงต่อให้เร็ว อาจะได้ปลดภาระสักที แต่ก่อนที่จะมานับญาติกับคนตระกูลเย่ว์เธอก็ได้วางแผนเรื่องที่อยากทำไว้ล่วงหน้าสิบปีแล้ว
แต่เธอก็เร่งจัดการหรือตัดทิ้งบางเรื่องได้ ย่นระยะเวลาเหลือเจ็ดแปดปีอะไรแบบนี้
พอคิดว่าเยี่ยนหังจะต้องมา เธอก็แทบอยากรับภาระมาจากอาทันที แบบนี้อาจะได้ไปทุ่มเทให้เยี่ยนหัง ชดเชยความเสียดายในชาติที่แล้ว
“ไม่เป็นไร รอหลานจัดการธุระเสร็จหมด อากับพ่อแม่พี่ชายของหลานจะช่วยเอง หลานไม่ใช่ตัวคนเดียวนะ”
สามพ่อลูกพากันพยักหน้า
พวกเขาทนเห็นลูกสาว/น้องสาวเหนื่อยไม่ได้จริงๆ
เย่ว์หลั่ง “ลูกพ่อ ลูกค่อยๆ เติบโต พวกเราไม่รีบ ชีวิตควรทำอะไรก็ทำไป เป็นหัวหน้าเผ่านะ ไม่ได้ให้ใช้แรงงาน”
มู่เถาเยาหลุดหัวเราะออกมา
เมื่อชาติที่แล้วเธอก็ใช้แรงงานไม่ใช่เหรอ
ถ้าไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดของพวกเธอพี่น้องกับครอบครัวฝั่งยาย เธอก็ไม่อยากแย่งชิงตำแหน่งที่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนใต้หล้าหรอก
เย่ว์เลี่ยงมองหลานสาวหัวเราะ เข้าใจความคิดทันที เธอทั้งดีใจและเสียใจ
ดีใจที่ชาตินี้ได้เป็น ‘จักรพรรดินี’ เหมือนกัน แต่ไม่มีศึกในวัง ไม่มีอันตรายที่พร้อมจะปลิดชีพได้ตลอดเวลา ไม่ต้องระแวงคนในครอบครัว
เสียใจที่เมื่อชาติก่อนเธอไม่ได้ปกป้องลูกสาวกับลูกชายให้ดี ทำให้ลูกๆ ทั้งสองต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแผนชั่วและการถูกปองร้ายทุกวัน
รู้สึกผิดและละอายใจ
“อืม เรื่องอนาคตไว้ค่อยว่ากันค่ะ พวกเราเข้าไปกันก่อน จะได้ไม่ออกมาเย็นให้คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายและก็แขกต้องรอกินข้าวเย็น”
ทุกคนต่างพยักหน้า หยิบเสื้อกันหนาวของตัวเองแล้วเดินไป