บทที่ 351 สั่นสะเทือน
บทที่ 351 สั่นสะเทือน
ถ้าฉู่เหินจากไปทั้งอย่างนี้ พวกเขาร้อยกว่าคนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? พอคิดถึงตรงนี้คนนับร้อยก็วิ่งไปหาฉู่เหิน แต่ไม่มีใครหยิบอาวุธไปด้วย ทุกคนต่างชกด้วยมือเปล่า พวกเขาจะต่อยฉู่เหินสักหมัดแล้วค่อยว่ากัน!
ทุกคนรู้ว่าถ้าฉู่เหินได้หนังสือรับรองตัวตน สถานะของฉู่เหินก็จะเปลี่ยนไปแล้วพวกเขาจะไม่มีโอกาศได้ชกหน้าฉู่เหินอีกเลย เพราะงั้นชกก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แน่นอนส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าฉู่เหินอวดดีเกินไป เห็นได้ชัดเลยว่าฉู่เหินมีวรยุทธสูงส่ง แล้วจะซ่อนพลังตัวเองไว้ทำพระแสงอะไร พวกเขาไม่เชื่อว่า ฉู่เหินเพิ่มพลังเองขึ้นระหว่างต่อสู้ ดังนั้นในสายตาของพวกเขา ฉู่เหินจะต้องเป็นพวกเก็บง่ำพลังวรยุทธเอาไว้ เป็นพวกที่น่ารังเกียจมากที่สุด
เดิมทีฉู่เหินไม่คิดจะเสวนากับคนเหล่านี้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าร้อยกว่าคนนี้จะเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา พอเห็นแบบนี้เขาก็รู้สึกโกรธมาก เขารู้ว่าอาศัยพลังของตัวเองในตอนนี้ ไม่สามารถต่อกรกับคนนับร้อยได้เลย
อย่างไรเขาก็มี สองมือสองเท้า ไหนเลยจะสู้คนนับร้อยได้ ยิ่งกว่านั้นวรยุทธของเขาก็ไม่ได้สูงส่งอะไร พลังเขาคนเดียวจะชนะคนนับร้อยแพ้มันเป็นไปไม่ได้เลย
ในเมื่อคนเหล่านี้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ฉู่เหินก็จะไม่ออมมือ เขาเตรียมที่จะสั่งสอนบทเรียนที่ยากจะลืมเลือนแก่เจ้าพวกบ้านี่ จากนั้นเขาก็สะบัดมือแล้วพัดวิเศษก็ปรากฏออกมาในมือของเขา ตั้งแต่ที่เขาเลือนขั้นพลังเป็นผู้พิชิตดาราจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยใช้มันเลย ตอนที่เขาหยิบพัดนี้ออกมาทั่วทั้งร่างก็เปล่งแสงออกมารอบตัว!
หลังจากที่วรยุทธของเขาสูงขึ้น พัดวิเศษก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ตอนนี้พัดวิเศษมองผ่าน ๆ แล้วเหมือนของวิเศษระดับ 5 แสงที่มันเปล่งออกมาดูก็รู้ว่าเป็นของดี ยิ่งฉู่เหินเอาพลังดวงดาวใส่ลงไปพัดวิเศษนี้ก็ยิ่งทรงพลังขึ้นอีกหลายเท่า
ขณะที่ฉู่เหินใส่พลังดวงดาวลงในพัดวิเศษ ฉับพลันพัดวิเศษก็เริ่มเปล่งประกายแสงเจิดจ้า แสงคล้ายกับแสงจันทร์วูบวาบจนน่ากลัว! ถึงกับทำให้ท้องฟ้าคล้ายจะเปลี่ยนสี จากเดิมที่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกแต่เมื่อพัดวิเศษส่องแสงออกมาถึงกับทำให้มองเห็นได้ไกลถึงหลายร้อยเมตร
เมื่อเห็นภาพที่อหังการขนาดนี้ก็ทำให้คนร้อยกว่าคนรู้สึกจิตใจสั่นไหวไปตาม ๆ กัน พวกเขาคิดทันทีว่าฉู่เหินมีความสามารถจริง ๆ อยู่ขั้นไหนกัน? อาศัยวรยุทธของพวกเขาเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะฉู่เหิน เข้าไปตรง ๆ แบบนี้ก็เหมือนกับการรนหาที่ตาย แต่พวกเขาไม่ได้อยากตายและไม่ได้ลงมือจริงจังอะไรขนาดนั้น
ฉู่เหินไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ เพียงแค่ต้องการสู้กับเขาพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่พอฉู่เหินเห็นคนเป็นร้อยพุ่งเข้ามา เขาก็คิดว่าพวกนี้อับอายแค้นใจจนเกิดโทสะคิดจะเอาชีวิตเขา เมื่อเป็นแบบนี้จะให้เขานั่งรอความตายได้อย่างไร พลังดวงดาวในร่างกายถ่ายทอดไปยังพัดวิเศษอย่างบ้าคลั่งส่งผลให้พัดวิเศษเปล่งแสงออกมารอบทิศ สว่างไปหลายร้อยเมตร!
กลิ่นอายความน่ากลัวแพร่กระจายออกไปทั่วบริเวณ ไม่ต้องพูดถึงร้อยคนที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นเลย แม้แต่ห้องโถงใหญ่ของเจ้าเมืองเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น จนเขาไม่สามารถนั่งรออยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป ว่าแล้วเจ้าเมืองก็รีบลุกออกมาทันที
ตอนนี้เจ้าเมืองรู้สึกเสียใจมากที่ตัวเองให้ทหารออกไปต้อนรับชายหนุ่ม เขาน่าจะออกไปเองมากกว่า เขารู้ดีว่าคนในจวนนับร้อยนั้นน่าตีให้ตายนัก คนพวกนี้กำลังเป็นวัยกำลังเลือดร้อน พูดไม่เข้าหูเล็กน้อยก็ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามคนพวกนี้เป็นความหวังของเมืองโบราณในอนาตค ถ้าเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาจะทำยังไง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้เจ้าเมืองก็รีบเร่งความเร็ว พริบตาเดียวเขาก็มาถึงกลางลาน ในจุดที่เขายืนอยู่นั้นเขาเห็นคนเป็นร้อยยืนอยู่ไกล ๆ เขาคาดไม่ถึงว่าพวกมันทุกคนจะเข้าไปโจมตีฉู่เหิน แต่เรื่องนี้ยังไม่ทำให้เขาอกสั้นขวัญแขวนพอ ฉากต่อมาถึงกลับทำให้เขาตะลึงจนอ้าปากค้างไปเลย
เขาเห็นว่าฉู่เหินถือพัดวิเศษยาวขนาดหนึ่งเมตรอยู่ในมือ พัดวิเศษเปล่งแสงสว่างแวววาวกระแทกดวงตา แค่เห็นจิตใจก็รู้สึกสั่นสะเทือน ถ้าพลังมหาศาลนี้โดนร่างของทั้งร้อยคนนี้ ผลลัพท์ต้องไม่อาจประเมินได้แน่ ๆ
ในตอนที่พัดวิเศษของฉู่เหินถูกเติมพลังจนเต็ม เจ้าเมืองก็เห็นว่าฉู่เหินคล้ายจะเตรียมโจมตีแล้ว เขาไม่กล้าว่าถ้าคนร้อยกว่าคนนั้นโดนเข้าไปจะเป็นอย่างไร เขาจึงตะโกนออกมาเสียงดังมาจะยืนอยู่ไกล ๆ
“น้อยชายโปรดหยุดมือเถิด เจ้าจะฆ่าคนพวกนี้ไม่ได้นะ” หลังสิ้นเสียง เขาก็เอาร่างตัวเองมาบังกลุ่มคนนับร้อยเอาไว้ และสร้างเกราะป้องกันขนาดใหญ่เอาไว้
ในขณะเดียวฉู่เหินก็รวบรวมพลังสำเร็จและปล่อยมันออกมา แต่ว่าในตอนที่ปล่อยออกไปนั้น ฉู่เหินผ่อนพลังเอาไว้หลายส่วนหนึ่ง เพราะเขาได้ยินประโยคที่เจ้าเมืองพูดเมื่อครู่ จึงได้เก็บพลังส่วนหนึ่งได้ทันเวลา ไม่งั้นความรุนแรงคงมากกว่านี้เยอะ
ตอนนี้ทั่วพื้นฟ้าสว่างวาบพร้อมเสียงสั่นสะเทือนดังสนั่น เสียงดังราวกับเป็นเสียงของสายฟ้าฟาด เมื่อทุกคนเห็นพลังทำลายล้างอันสั่นสะเทือนฟ้าดินแล้วจิตใจก็คล้ายจะสั่นสะเทือนไปตาม ๆ กันไม่ต้องรอให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ สายฟ้าก็ฟาดลงดังเปรี้ยงปร้างชนเข้ากับเกราะป้องกัน
โชคดีที่เกราะป้องกันถูกสร้างขึ้นมาทันเวลา แต่มันสร้างมาแบบเร่งรีบ ทำให้เกราะป้องกันไม่สามารถต้านทานพลังโจมตีขนาดนี้ไหว เกราะป้องกันกำลังจะถล่มลงมา หลังจากที่เห็นแบบนี้เจ้าเมืองก็ออกคำสั่งในทุกคนส่งพลังมาช่วยเกราะป้องกัน คนกว่าร้อยคนก็เข้าใจและส่งพลังดวงดาวเสริมให้เกราะป้องกันนั้น
หลังจากที่เกราะป้องกันได้รับพลังดวงดาวมาเติมเต็ม ฉับพลันแสงก็สว่างวาบเหนือท้องฟ้า สายฟ้าด้านบนคล้ายกับถูกรอบล้อมด้วยอะไรสักอย่าง แต่พลังของฉู่เหินไม่ได้สลายไปไหม กลับยิ่งเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าพลังมีแต่จะเพิ่มขึ้นอย่างนี้ ทุกคนก็พากันใจสั่นพวกเขาไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใจที่ไปท้าทายฉู่เหินเข้า
เปรี้ยง ๆ
เสียงสายฟ้าดังในหูของพวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยไอพลังดวงดาว
เป็นภาพที่งดงามราวกับอยู่บนสวรรค์ แต่น่าเสียที่ตอนนี้พวกเขาใจจดจ่อกับการรักษาชีวิตเอาไว้ ไม่มีใครน่าสนความงดงามที่เกิดขึ้น ตอนนี้ทุกคนโคจรพลังของตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าถ้าเกราะป้องกันจะถูกเมื่อไรชีวิตของพวกเขาก็จะหายไปตามกัน
หลังจากที่ฉู่เหินโจมตีออกไป เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างเหมือนกัน แต่เขาหยุดอะไรไม่ได้แล้ว อีกอย่างเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพลังมันถึงเพิ่มขึ้นได้ มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เพราะก่อนหน้านี้เขาเก็บพลังดวงดาวกลับมาส่วนหนึ่งแล้ว ดังนั้นพลังก็ต้องอ่อนพลังลงสิ ไม่ใช่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้
แต่ไม่ว่าตอนนี้เขาจะมีความคิดเห็นอย่างไร คนเหล่านี้ล้วนกำลังตกอยู่ในอันตราย มองไปบนท้องฟ้าก็จะเห็นสายฟ้าหลายสายฟาดใส่เกราะป้องกันอย่างบ้าคลั่ง จิตใจของฉู่เหินเริ่มสั่นไหว เขารู้ว่าถ้าพลังขนาดนี้ยังโจมตีต่อไปอีกล่ะก็ อีกไม่กี่นาทีเกรงว่าร้อยคนตรงหน้าจะต้องถูกสายฟ้าผ่าตายเป็นแน่
เดิมทีฉู่เหินแค่จะสั่งสอนบทเรียนพวกเขาเสียหน่อย ไม่คิดจะเอาชีวิตพวกเขา ถึงคนเหล่านี้จะสมควรโดนเสียบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเอาชีวิต ฉู่เหินกลอกตาอย่างใช้ความคิด เขาพอจะคิดวิธีช่วยได้ 2 วิธี!