ตอนที่ 225 ฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือ ?
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเว่ยเว่ยกว้างกว่าเดิมทันที “ใช่ ข้าสัญญาไว้ว่าจะคืนโรงงานแปรรูปให้หมู่บ้านปีหน้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าโรงงานแปรรูปนี้ข้าได้เงินปันผลสามในสิบส่วน ! ด้านช่องทางจัดจำหน่ายก็ต้องให้ข้าเป็นผู้ติดต่อ เจ้าคิดว่า…หากข้าไปพูดกับผู้ใหญ่บ้านว่าไม่รับซื้อจากทุกบ้าน เขาจะไม่เห็นแก่หน้าข้าหรือ ? ”
“เจ้า ! ” สีหน้าของหลิวเสี่ยวอิงเปลี่ยนไปทันที ริมฝีปากก็สั่นระริก “เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ! ตอนนี้เรากำลังพูดเรื่องที่เจ้ารังแกบัณฑิตเจียง เหตุใดเจ้าจึงโยงไปเรื่องอื่นเสียได้ ? ”
“ก็ข้าเป็นคนใจแคบ ถ้าไม่เข้ามาหาเรื่องข้าก่อน ข้าจะไม่ไปหาเรื่องใคร แต่ถ้ามาหาเรื่องก็จะเอาคืนเป็นสิบเท่า ! ” หลินเว่ยเว่ยสะบัดเท้าพร้อมทำหน้าเหมือนตัวร้ายในภาพยนตร์
ท่าทางกวนประสาทนี้ แม้ดูไม่เหมาะสมในสายตาของเจียงโม่หาน ทว่าดูน่ารักยิ่งกว่าอะไรดี เขามักกังวลว่าเด็กคนนี้จิตใจดีและอ่อนโยนเกินไปจนโดนคนอื่นรังแกหรือทำร้าย ดูจากตอนนี้แล้วนางก็คงไม่ใช่คนใจอ่อนหรือใจดีขนาดนั้น !
“เจ้า…บัณฑิตเจียงมองอยู่ เจ้าไม่กลัวเขารังเกียจหรือ ? ” หลิวเสี่ยวอิงเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง จริงสิ ! บัณฑิตเจียงคงเห็นความน่ารังเกียจของนางเด็กโง่แล้ว แม้บุตรสาวคนรองตระกูลหลินคิดจะกินผักกาดขาวพันธุ์ดีอย่างบัณฑิตเจียงก็ไม่มีทางสมปรารถนา !
หลินเว่ยเว่ยชี้มาที่จมูกของตนแล้วถามเจียงโม่หานว่า “ข้าเป็นคนอย่างไร บัณฑิตน้อยน่าจะรู้ดี ! พูดมาเถิด เจ้ารังเกียจข้าหรือไม่ ? ”
“จะรังเกียจได้อย่างไร ? เมื่อวานข้าไม่ได้พูดแล้วหรือ ? ข้าชอบเจ้า ! เจ้ายังจะถามข้าอีกกี่รอบ ? ” สำหรับพฤติกรรมของเด็กสาวเหล่านี้ เจียงโม่หานเบื่อหน่ายสุด ๆ พวกนางเอาแต่เดินตาม แอบมองและวิพากษ์วิจารณ์ เขาก็พยายามไม่สนใจ ทว่าตอนนี้มาหาเรื่องเด็กน้อยก็ถึงเวลาให้พวกนางตัดใจเสียที !
สำหรับการสารภาพรักอย่างกะทันหันนี้ หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าตั้งรับไม่ทันเล็กน้อย นางควรก้มหน้าเขินอายหรือเปล่า ? แต่แล้วในชั่วอึดใจต่อมานางก็พูดสิ่งที่ ‘น่าอาย’ จนแม้แต่ตัวเองก็รู้สึกขนลุกออกมา “คำพูดประโยคนี้ ไม่ว่าข้าจะฟังสักกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อ ! ”
“ว่าอย่างไรนะ ? ” หลิวเสี่ยวอิงตกตะลึง ทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนโดนฟ้าผ่า ทว่านางจะเชื่อแต่ ‘ความจริง’ เท่านั้น นางจึงหันไปมองเจียงโม่หานด้วยความเจ็บปวด “บัณฑิตเจียง พวกเรามีคนมากขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวนางหรอก ! เจ้าต้องโดนข่มขู่แน่นอน พวกเราไปทวงความยุติธรรมกันที่บ้านตระกูลหลินเถิด ! ”
ซุนเอ้อร์หยาซึ่งอยู่ข้างกายก็กระตุกชายเสื้อนางอีกครั้ง หลิวเสี่ยวอิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะเอาแต่ดึงเสื้อข้าทำไม มีอะไรก็พูดมาสิ ! ไม่ต้องกลัวบุตรสาวคนรองตระกูลหลิน ! ”
ซุนเอ้อร์หยาพูดเบา ๆ “เมื่อครู่…บัณฑิตเจียงหมายความว่า…บุตรสาวคนรองตระกูลหลินเป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา ! ”
ไม่ว่าใครได้ยินคนอื่นว่าร้ายคู่หมั้นของตนก็ต้องไม่สบอารมณ์ทั้งนั้น เข้าใจแล้วว่าเหตุใดบัณฑิตเจียงจึงทำหน้าบึ้ง !
“ว่าอย่างไรนะ ? ว่าที่คู่หมั้น ! จะเป็นไปได้อย่างไร ? บัณฑิตเจียงไม่มีทางชอบผู้หญิงป่าเถื่อนอย่างนางหรอก ! ” หลิวเสี่ยวอิงเหมือนไก่ที่โดนบีบคอ นางพูดเสียงแหลมและสีหน้าไม่อยากเชื่อ !
ใบหน้าของเด็กสาวคนอื่นก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับว่าอาลัยอาวรณ์ความรักที่ยังไม่ทันมาถึงก็ต้องสูญเสียไปแล้วของตน
หลังจากหลิวเสี่ยวอิงตกตะลึงไปพักหนึ่งแล้วก็ใช้สายตาน่าสงสารมองเจียงโม่หาน “บัณฑิตเจียง จะต้องไม่ใช่ความปรารถนาของเจ้าจริงหรือไม่ ? ต้องเป็นเพราะแม่เฝิงบังคับเจ้าใช่หรือไม่ ? ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้น ! บัณฑิตเจียง แม้คำพูดของพ่อแม่จะเหมือนคำพูดแม่สื่อ แต่เจ้าเองก็สามารถแสดงความไม่พอใจเพื่อเรื่องใหญ่ที่จะอยู่กับตนไปชั่วชีวิตได้…”
“พอแล้ว ! ” เจียงโม่หานพูดแทรก ดวงตาคู่งามหันมามองหลิวเสี่ยวอิงด้วยความดูแคลน “เจ้าฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือ ? ข้าชอบหลินเว่ยเว่ย เรื่องหมั้นหมาย ข้าก็เป็นฝ่ายพูดเอง ! ถ้าใครยังกล้านินทานางอีกแม้แต่คนเดียวก็อย่าหาว่าข้าทำตัวหยาบคาย ! ”
หลังพูดจบ เขาก็เริ่มจับมือหลินเว่ยเว่ยก่อนต่อหน้าสตรีเหล่านั้นแล้วเดินออกไปทางหน้าหมู่บ้านด้วยความโกรธ !
หลินเว่ยเว่ยทำหน้าปลาบปลื้ม “ว้าว ! บัณฑิตน้อย เมื่อครู่เจ้าหล่อมากเลย ! ระเบิดพลังของแฟนหนุ่มสุดขีด ! เหมือนว่าหัวใจดวงน้อยๆ ของข้ามีกวางวิ่งชนกันไปมาเลยล่ะ ! ”
เจียงโม่หานลูบเส้นผมของนางแล้วพูดว่า “คราวหน้าหากใครกล้านินทาเจ้าอีกก็พาไปหาพ่อแม่พวกนาง ! ให้พ่อแม่สั่งสอนลูกสาว ! จะปล่อยให้พวกนางเอาแต่กินดีอยู่ดีแล้วเนรคุณเจ้าไม่ได้ ! ”
ระหว่างที่ศีรษะของหลินเว่ยเว่ยโดนลูบ นางก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม ! ข้าเชื่อฟังเจ้า ! ”
เจียงโม่หานยิ้ม “เจ้าเป็นเด็กดีเช่นนี้ อย่างไรข้าก็รู้สึกไม่ชิน ! ”
“เพราะข้าโดนความสุขที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้มึนศีรษะ ตัวข้าที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าในเวลานี้คือคนไร้สมองจึงเป็นธรรมดาที่จะเชื่อฟังเจ้า ! ” หลินเว่ยเว่ยอยากพูดว่าใบหน้าแสนอบอุ่นของบัณฑิตหนุ่มผู้แสนเย็นชาก็หาดูยากเช่นกัน นางอยากให้มันคงอยู่นานกว่านี้
รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงโม่หานดูชัดเจนขึ้นทันที “แค่นี้ก็รู้สึกว่ามีความสุขแล้วหรือ ? ความต้องการของเจ้าต่ำเหลือเกิน ! ตอนนี้ข้าเริ่มกังวลแล้วสิ…”
“กังวลสิ่งใด ? ” ดวงตาเสี้ยวพระจันทร์คู่งามของหลินเว่ยเว่ยเผยให้เห็นความหลงใหล
เจียงโม่หานบีบจมูกของนาง “กังวลว่าตนจะแต่งผู้หญิงไม่มีสมองเข้าบ้าน ! พอถึงเวลานั้นเจ้าจะทำตัวเหมือนนกแก้ว ข้าพูดอะไรก็ทำตามหมด น่าเบื่อจะตาย ! ”
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้มอย่างโง่งม “ถ้าเช่นนั้น…แต่งกับผู้หญิงที่ชอบเกี้ยวพาเจ้าล่ะ ? ดีกว่าแต่งกับท่อนไม้ใช่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานแกล้งก้มหน้าครุ่นคิด หลินเว่ยเว่ยจึงเริ่มมุ่ยปากประท้วงด้วยความไม่พอใจ “ต้องคิดนานเพียงนี้เชียวหรือ ? เจ้าเริ่มรู้สึกคิดผิดแล้วใช่หรือไม่ ? แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเรายังไม่ได้หมั้นหมาย…”
เจียงโม่หานรีบปราม “ข้าคิดไว้แล้วว่าที่จริงเลี้ยงแมวชอบเหยียดอุ้งเท้ามาเกาเจ้าของเป็นครั้งคราวก็ไม่เจ็บอะไร แถมอุ้งเท้าเล็ก ๆ ก็นุ่มดีด้วย อืม ถือว่าดีใช้ได้ ! ”
“จู่ ๆ พูดเรื่องเลี้ยงแมวทำไม ?…อ้อ! เจ้าว่าข้าเป็นแมวที่ชอบเกาสินะ ? บัณฑิตน้อย เจ้าตายแน่ ! ” หลินเว่ยเว่ยยกกำปั้นขึ้นด้วยความโมโห
ฝ่ามือแสนอบอุ่นของเจียงโม่หานรีบจับมือน้อย ๆ ของนางเอาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไม ? เจ้าคิดจะใช้ความรุนแรงในครอบครัวแล้วหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยทำแก้มป่องเหมือนหาวจูหยีที่มีซาลาเปากลม ๆ อยู่ตรงสองแก้ม “ข้าจะฟ้องน้าเฝิง บอกว่าเจ้ารังแกข้า ! ”
“ใครรังแกเสี่ยวเว่ยของพวกเรา ? ” นางเฝิงเพิ่งหยิบผลไม้อบแห้งที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ ๆ มาทางนี้ก็บังเอิญได้ยินเข้าพอดีจึงถามอย่างขบขัน
หลินเว่ยเว่ยชิงฟ้องทันที “น้าเฝิง บัณฑิตน้อยรูปงามของท่านรังแกข้า เขาบอกว่าข้าเป็นลูกแมวและยังใส่ร้ายว่าข้าจะใช้ความรุนแรงอีก ! ”
นางเฝิงมองเด็กคู่นี้ด้วยรอยยิ้ม ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ…คุณหนู หากท่านอยู่ด้วยก็คงดีใจแทนหานเอ๋อร์เช่นกัน !
“เกินไปแล้วจริง ๆ เจ้าว่ามาเถิด เราจะลงโทษเขาอย่างไร ? ลงโทษให้เขาอดข้าวเที่ยง ลงโทษให้เขาไปยืนบนกำแพงหรือให้เขากินหมูผัดหน่อไม้ ? ”
เจียงโม่หานถึงขั้นพูดไม่ออก
ท่านแม่ ข้ายังเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านอยู่หรือไม่ ? ท่าทางเหมือนรอลงโทษข้าอยู่ตลอดเวลา นี่กำลังเล่นตลกอันใดกัน ? ยังมีเด็กน้อยอีกคน เจ้าทำหน้ามีความสุขเสียจริง ข้าโดนลงโทษอยู่ เจ้ามีความสุขขนาดนั้นเชียวหรือ ?