บทที่ 253 หยุดแค่นี้เถอะ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“พักสิคะ งั้นนัทธีคุณ……”

วารุณียังพูดไม่จบ ก็เห็นนัทธีเดินไปที่ห้องเธอ

วารุณีตะลึงและหลังจากได้สติคืนมา ก็รีบตามไป“นัทธี คุณจะนอนห้องฉันเหรอ?”

นัทธีนั่งลงไปที่เตียงเธอ“ไม่ได้เหรอ?”

วารุณีอ้าปาก อยากพูดว่าไม่ได้สิ แต่เผชิญหน้ากับสายตาที่ลึกซึ้งของเขาแล้ว คำพูดจากนั้นจู่ๆก็พูดไม่ออก

ช่างเถอะ เขาอยากนอนก็นอนเถอะ

ยังไงก็คบกันแล้ว และเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว บอกว่าไม่ให้เขานอน ต้องพูดว่าคงดูเสแสร้งไปหน่อย

ดังนั้นวารุณีถอนหายใจอย่างยอมจำนน เดินไปตรงหน้าตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ออกมาจากด้านในให้นัทธี“อาบน้ำเถอะ ฉันจะไปหาป้าส้ม เอาชุดนอนให้คุณ”

“โอเค”นัทธีรับผ้าขนหนู

วารุณีออกไปจากห้อง ไปคอนโดที่อยู่ตรงข้าม

หลังจากป้าส้มรู้ว่าเธอมาทำไม ก็รีบไปในห้องเสื้อผ้าของนัทธีเพื่อหาชุดนอน กับชุดสุภาพที่เขาจะสวมในวันพรุ่งนี้ เอามาให้วารุณี

วารุณีถือถุงเสื้อผ้าสองถุงกลับไป

หนึ่งชั่วโมงถัดมา เธอนอนลงบนเตียงอย่างกังวล ตัวแข็งทื่อ

นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่เธออยู่ในสถานการณ์ที่มีสติแบบนี้ แล้วนอนกับนัทธี ทำให้เธอรู้สึกไม่ชินอย่างมาก จนกระทั่งกังวลหน่อยๆ

นัทธีมองออก และรู้ว่าเธอต้องการปรับตัว ดังนั้นคืนนั้นจึงไม่ได้แตะต้องเธอ ได้แต่นอนกอดเธอ

ถึงจะเป็นแบบนี้ วารุณีก็ไม่ผ่อนคลายเท่าไหร่นัก จนกลางดึกก็ทนต่อความเพลียไม่ไหว ผล็อยหลับลงไป จนตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ก็แปดโมงเช้าแล้ว

วารุณีขยี้ผมที่ยุ่งออกมาจากห้องนอน เด็กทั้งสองคนกำลังนั่งกินอาหารเช้าที่โต๊ะทานข้าวกับนัทธี

มองเห็นเธอ เด็กทั้งสองก็โบกมือให้“หม่ามี๊ สวัสดีตอนเช้า!”

“สวัสดีตอนเช้าจ้ะ!”วารุณียิ้มอย่างอบอุ่นให้ลูกทั้งสอง จากนั้นมองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังเช็ดปากให้ไอริณ“สวัสดีตอนเช้าค่ะ”

นัทธีพยักหน้า“รีบไปล้างหน้าล้างตากินข้าวเช้าสิ”

“อือ”วารุณีตอบกลับ เดินไปที่ห้องน้ำ

แป๊บเดียว กินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองคนก็ส่งเด็กสองคนไปโรงเรียนอนุบาล

จนเด็กสองคนนั้นถูกคุณครูพาเข้าไปที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว จึงขึ้นรถใหม่อีกครั้ง

นัทธีคาดเข็มขัดนิรภัยไป ถามไปว่า“ต่อไปจะไปไหน สตูดิโอ?”

วารุณีลูบกระเป๋าของตัวเอง แล้วส่ายหน้า“ไม่ค่ะ ไปโรงพยาบาลก่อน”

ได้ยินดังนั้น นัทธีเข้าใจอะไรทันที มองไปที่กระเป๋าของเธอ“ได้ผมมาแล้วเหรอ?”

“ได้มาเมื่อวานตอนบ่ายค่ะ”วารุณีพูดด้วยรอยยิ้ม

นัทธีพยักหน้าเบาๆ“ผมไปกับคุณเอง”

พูดจบ เขาก็สตาร์ทรถ

หนึ่งชั่วโมงถัดมา ก็ถึงโรงพยาบาล

นัทธีพาวารุณี ไปที่ออฟฟิศของพิชิตโดยตรง

พิชิตมองพวกเขาที่จูงมือกัน ก็รู้สึกตกใจจนแว่นไหลลง“พวก……พวกคุณ……”

เขายืนขึ้นมา ชี้ไปที่มือของวารุณีกับนัทธี สักพักจึงพูดออกมาหมดทั้งประโยคว่า“พวกแกคบกันแล้ว?”

นัทธีเหลือบมองเขาอย่างไม่พอใจ ไม่ตอบ“พอแล้ว มาหาแกมาทำธุระอะไรหน่อยน่ะ”

พูดไป นัทธีก็พูดเป็นนัยให้วารุณี

วารุณีพยักหน้า เอามือออกมา เปิดกระเป๋าออก หยิบถุงกันน้ำสี่ใบออกมาจากด้านใน

นัทธีรับถุงกันน้ำในมือของเธอมา วางไว้บนโต๊ะพิชิต

พิชิตนั่งลงอีกครั้ง“นี่อะไรน่ะ?”

“เส้นผม”นัทธีจูงวารุณีไปตรงหน้าโซฟาอีกด้าน และนั่งลงไป

พิชิตกลอกตาใส่“ฉันรู้อยู่แล้วว่านี่คือเส้นผม ที่ฉันอยากรู้คือ นี่ผมของใคร?”

“เป็นของพวกพิชญาค่ะ”วารุณีพูด แล้วก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่สถานีโทรทัศน์ พูดสรุปออกไป

พิชิตฟังจบ ก็ดันแว่น ที่ปากก็บ่นอย่างประหลาดใจ“ตระกูลศรีสุขคําของพวกคุณนี่ช่างดราม่าในตระกูลจริงๆเลยนะ โอเค ผมจะช่วยคุณตรวจดีเอ็นเอ อีกครึ่งชั่วโมงมารับผลได้”

“ขอบคุณค่ะคุณหมอพิชิต”วารุณียืนขึ้นมา กำลังจะโค้งตัวให้เขา

นัทธีก็ดึงเธอกลับไปที่โซฟา จ้องพิชิตอย่างเย็นชาแล้วพูด“คุณขอบคุณเขาไปแล้ว”

ความหมายของประโยคนี้คือ บอกขอบคุณไปแล้ว ไม่ต้องโค้งตัวให้แล้ว

มุมปากพิชิตกระตุก รู้สึกแค่ว่าตัวเองผู้บริสุทธิ์มาก

ทั้งที่ไม่ใช่เขาที่ให้วารุณีโค้งคำนับแท้ๆ เรื่องอะไรนัทธีต้องทำท่าทางเหมือนเขาทำผิดด้วยล่ะ?

ได้ ยุ่งกับคู่รักนี้มากไม่ได้ งั้นเขาออกไปก็ได้แล้วนี่ใช่ไหม?

คิดไป พิชิตก็หยิบถุงเส้นผมสี่อันขึ้นมาจากโต๊ะออกไปจากออฟฟิศ

เขาไปได้ไม่เท่าไหร่ ด้านนอกออฟฟิศก็มีเสียงอ่อนแอและอบอุ่นเข้ามา“พิชิต นัทธีอยู่นี่ไหม?”

เป็นนวิยา!

วารุณีเม้มริมฝีปากแดงๆ มองไปที่ประตูทันที“นัทธี คุณนวิยามาน่ะ”

นัทธีสะกิดไหล่ของเธอเล็กน้อย“ผมไปเปิดประตูก่อน”

“โอเค คุณไปเถอะ”วารุณียิ้ม แล้วเห็นด้วย

แค่เปิดประตู เธอไม่หึงเพราะเรื่องแบบนี้ หลังจากเมื่อวานตกลงว่าจะคบกับนัทธีแล้ว เธอก็รู้ว่า จะต้องมีสักวันที่ต้องเผชิญหน้ากับนวิยา

ตอนนี้นวิยามาก็ดีเลย อยากพูดให้ชัดเจนพอดี ต่อไปนวิยาเห็นเธอกับนัทธีใกล้ชิดกันมากขึ้น จะได้ไม่รู้สึกรับไม่ได้มากขึ้น ถึงแม้ตอนนี้นวิยาก็รับไม่ได้เท่าไหร่นัก แต่สู้เจ็บปวดแป๊บเดียวดีกว่าเจ็บปวดอย่างยาวนาน

กำลังคิดอยู่นั้น นัทธีก็เปิดประตูแล้ว

นวิยาสวมชุดคนไข้ เดินเข้ามาภายใต้การประคองของพยาบาล

แต่พอเข้ามา เธอเห็นวารุณีในออฟฟิศ รอยยิ้มที่ใบหน้าก็แข็งทื่อทันที“คุณวารุณี คุณก็อยู่เหรอคะ?”

วารุณีลุกขึ้นแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม“คุณนวิยา”

นวิยาโบกมือ สื่อว่าให้พยาบาลออกไปก่อน

พยาบาลพยักหน้า หันกลับออกไป แล้วปิดประตูของออฟฟิศ

นัทธีประคองนวิยาไปตรงหน้าโซฟาตรงข้ามวารุณี แล้วขมวดคิ้วลง“คุณไม่อยู่พักผ่อนที่ห้องคนไข้ดีๆล่ะ มาที่นี่ทำไม?”

นวิยาคว้าแขนของเขาไว้ ค่อยๆนั่งลงไป“ฉันได้ยินพยาบาลบอกว่าคุณมา ดังนั้นเลยอยากมาเจอคุณ ฉันไม่เห็นคุณตั้งหลายวันแล้ว”

“ช่วงนี้ผมยุ่งมาก”นัทธีสะบัดมือของเธอออกเบาๆ ถอยหลังสองก้าวกลับไปด้านข้างวารุณี ดึงมือของวารุณีมานั่งลงไป

นวิยามองการกระทำของทั้งสองคน ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกกว้าง“นัทธี คุณกับคุณวารุณี พวกคุณ……”

“พวกเราคบกันแล้ว”นัทธีบีบมือของวารุณี

วารุณีพยักหน้ายิ้มๆ

ความเลือดฝาดที่ใบหน้าของนวิยาหายไปทันที ไม่ยอมเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ส่ายหน้าบ่นพึมพำ“ไม่ ไม่มีทาง พวกคุณจะ……”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆเธอก็กลอกตาขึ้น ล้มลงไปที่โซฟา หมดสติไป

การเปลี่ยนแปลงนี้ เอาทำวารุณีกับนัทธีต่างตกใจ

“นวิยา!”นัทธีสะบัดมือของวารุณีออกทันที รีบไปดูอาการของนวิยา ทั้งกลอกตา ทั้งวูบไป

วารุณีมองมือข้างนั้นของตัวเองที่ถูกเขาสะบัดออก และมองสภาพที่เขารู้สึกร้อนรนและกังวลเพื่อนวิยาอีกครั้ง ถึงแม้จะเข้าใจ แต่ในใจก็ยังรู้สึกแย่หน่อยๆ

สุดท้าย นวิยาก็ยังไม่ฟื้น ถูกส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน

วารุณีกับนัทธียืนอยู่ด้านนอกห้องฉุกเฉิน

คิ้วของนัทธีขมวดแน่นมองไฟสีแดงที่ส่องอยู่บนห้องฉุกเฉิน ริมฝีปากบางๆ เม้มลงเป็นเส้นตรง

“ไม่ต้องห่วง คุณนวิยาต้องไม่เป็นอะไรแน่”วารุณีรู้ว่าเขาเป็นห่วงนวิยามาก หลังจากสายตานั้นหม่นลงไป จับมือของเขาไว้ ที่มุมปากฝืนยิ้มออกไปให้ แล้วพูดปลอบใจ

นัทธีหันไปมองเธอ สายตาลึกซึ้งนั้น ไม่พูดอะไร

ใบหน้าของวารุณีก็ดูแข็งทื่อขึ้นมา

นี่เขาหมายความว่าอย่างไร ไม่เชื่อเธอแล้ว?

หรือว่า เขากำลังโทษที่เธอปรากฏตัว จนทำให้นวิยาเป็นลมหมดสติไป?

วารุณีกัดริมฝีปาก ปล่อยมือออก เดินไปด้านข้าง เว้นระยะห่างกับนัทธี พูดนิ่งๆ“ประธานนัทธี คุณนวิยาได้รับการกระตุ้นขนหมดสติไป เพราะว่าพวกเราคบกัน ไม่งั้นพวกเราหยุดแค่นี้เถอะค่ะ”

“คุณพูดอะไร?”นัทธีหรี่ตาลง สายตาที่คมกริบมองไปที่หน้าเธอ