บทที่ 262 เจ้าบ้านแห่งตระกลูมู่

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 262 เจ้าบ้านแห่งตระกลูมู่

“ฮ่าๆๆๆ……”

มู่เฉินเทียนหัวเราะเสียงดังออกมา

เสียงนั้นดังไปทั่วห้องประชุมตระกูลมู่และดังก้องอยู่ในหูของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์

มู่ปู้ มู่คู่และคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึง แม้แต่มู่เฉินเทียน มู่เฟิงและคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึงจนยืนนิ่ง อ้าปากตาค้าง รู้เพียงว่าสมองว่างเปล่า

ไม่น่าเลย

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเทียนป่วยหนักและเป็นอัมพาต เป็นง่อยที่แม้แต่นิ้วก็ยังขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่ดูท่าทางในตอนนี้ของเขาแล้ว มีร่องรอยของการเป็นอัมพาตตรงไหนล่ะ?

ตอนนี้ ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามของมู่เฉินเทียน แม้จะบอกว่าเขาสามารถฆ่าวัวได้ด้วยหมัดเดียว ก็ไม่สงสัยเลย

“ฮ่าๆๆ ลูกเอ๋ย นายแน่มาก!”

มู่เฉินเทียนยิ้มกว้างและพูดว่า แผนเล่ห์เหลี่ยมของการแกล้งป่วยเหล่านี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่เซิ่งเป็นคนบอกเขาเอง แต่คิดไม่ถึงว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้ เขาตะคอกเสียงดังและลักษณะที่ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ซึ่งมันทำให้ทุกคนตกตะลึง

สิ่งนี้ยิ่งทำให้มู่เฉินเทียน ชื่นชมลูกชายของเขามากขึ้น

ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายของพ่อ

ต่อไปตระกูลมู่มอบให้ลูกดูแล พ่อก็วางใจแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของมู่เฉินเทียนก็กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา และเซ็นสัญญาที่อยู่บนโต๊ะจนหมด

“ต่อจากนี้ไป ตระกูลมู่ จะอยู่ภายใต้การดูแลของมู่เซิ่งลูกชายของผม”

“สัญญาและข้อตกลงทั้งหมดนี้ ผมได้โอนเป็นชื่อของมู่เซิ่งหมดแล้ว เวลานี้ มู่เซิ่งก็คือเจ้าบ้านตระกูลมู่!”

เจ้าบ้านคนใหม่!

“ต่อจากนี้ไป ตระกูลมู่จะอยู่ภายใต้การนำพาของมู่เซิ่ง จากสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองเยียนจิง เปลี่ยนเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองเยียนจิง! และคาดว่า มีความหวังที่จะได้ก้าวเข้าสู่ตระกูลอิทธิพลสันโดษ!”

เสียงของมู่เฉินเทียน เสียงดังฟังมาก

ทุกคนได้ยิน ถึงขั้นอดไม่ได้ต้องปิดหู

ทันใดนั้น สมาชิกของตระกูลมู่เหล่านั้นก็เหมือนกับหมดอาลัยตายอยาก คุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็พูดขึ้นพร้อมกัน “คารวะเจ้าบ้านตระกูลมู่ คารวะเจ้าบ้านตระกูลมู่”

พวกเขาทั้งหมดต่างคุกเข่าลงไปในทิศทางของมู่เซิ่ง

จริงๆคือมู่จงหยุนได้แทรกซึมเข้าไปในตระกูลมู่ เกือบทำให้ทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งเขา แต่ว่า นี่ก็มีที่มาที่ไป สำหรับเรื่องแรกมีอยู่ว่ามู่เฉินเทียนเป็นอัมพาต มู่จงหยุนได้แย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน พวกเขาจึงพายเรือตามน้ำ และทำงานให้กับมู่จงหยุน

คนเหล่านี้ที่ได้แต่มองอยู่ข้างๆ ส่วนใหญ่ทำงานให้กับมู่จงหยุน

แต่ตอนนี้ มู่เฉินเทียนไม่เพียงไม่ล้ม แต่เขากลับแปลงร่าง และปรากฏตัวอย่างสง่างามต่อหน้าผู้คน ซึ่งทำให้ในใจของสมาชิกตระกูลมู่เหล่านั้นรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด

พวกเขาไม่กล้าเชื่อฟังคำสั่งของมู่จงหยุนอีกต่อไป หากมู่เฉินเทียนยังมีแผนอีก พวกเขาจะทำอย่างไร?

เพราะฉะนั้นตอนนี้ ถ้ามู่เฉินเทียนบอกซ้าย พวกเขาก็ต้องไปทางซ้าย ถ้ามู่เฉินเทียนบอกขวา พวกเขาก็ต้องมองไปทางขวา สำหรับคำสั่งของเจ้าบ้านคนนี้ ไม่กล้ามีความคิดที่จะขัดคำสั่งแม้แต่น้อย

……

อีกด้านหนึ่ง

มู่ปู้กับมู่คู่และคนอื่นๆ ยังคงอยู่ในสภาพตกตะลึงงง

มู่เฉินเทียนหายจากอาการป่วยแล้วเหรอ?

เขาหายตั้งแต่เมื่อไหร่? !

คนที่ตกใจที่สุดก็คือมู่ปู้ เพราะลงหมากแล้วถูกมู่เซิ่งปราบปราม และยังให้เขาคุกเข่าขอโทษด้วย ความรู้สึกนี้เหมือนกับถูกมีดแทงที่หัวใจ จากนั้น ในที่ระหว่างที่ตระกูลมู่แข่งขันการคัดเลือกตำแหน่งเจ้าบ้าน มู่เฟิงก็ยังใช้ผลกำไรจากสองหมื่นล้าน ปราบปรามเขา ความรู้สึกนี้ ทำให้เขาตกจากสวรรค์ลงมาสู่นรกในทันที

แต่ยังไม่จบ

ในช่วงเวลานี้ มู่เซิ่งลุกขึ้นมา ได้เอากำไรสามแสนห้าหมื่นล้านออกมาอย่างน่าตกใจ เป็นไปตามที่คิดๆไว้ชนะเป็นอันดับหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย เดิมทีคิดว่าคงจบลงแค่นี้ แต่ใครจะรู้ว่า มู่เฉินเทียนตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน เกือบทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ขวัญหนีดีฝ่อหัวใจแทบหยุดเต้น

เรื่องราวเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆเช่นนี้ ตื่นเต้นยิ่งกว่าการนั่งรถไฟเหาะเสียอีก ทำให้มู่ปู้ ตะลึงงันไปหมด

เขาถึงขั้นมึนงง จนถึงขั้นไม่สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของความประหลาดใจแล้ว

แม้ว่าในเวลานี้ จะบอกว่ามู่เซิ่งกลายเป็นนักเสวียน เขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว

มู่จงหยุนลุกขึ้นจากพื้น เสื้อผ้าที่ยุ่งรุงรังไม่ได้จัดให้เป็นระเบียบ ชี้ไปที่มู่เฉินเทียน และอุทานว่า “มู่เฉินเทียน แกไม่ได้ป่วยเลย แกวางแผนร้าย?”

“ฮ่าๆ ใครบอกว่าฉันไม่ป่วย ฉันป่วยจริงๆ และป่วยหนักด้วย” มู่เฉินเทียนกลับไปนั่งบนรถเข็นเหมือนเดิม พลางหัวเราะเสียงดัง

“แก แก……”

มู่จงหยุนในปากรู้สึกหวานขึ้นมา ถึงกลับเป็นเลือดทะลักออกมาจากปาก

เขาแทบอยากจะชี้หน้ามู่เฉินเทียนแล้วตะโกนด่า ป่วยบ้าบออะไร แม่งเอ้ยแกยังหลอกไม่พออีกเหรอ?”

แต่ในเวลานี้ ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงก็ไร้ประโยชน์แล้ว

มู่จงหยุนจ้องมองมู่เฉินเทียน จากนั้นก็มองไปที่มู่เซิ่ง เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก ตนเองถูกเขาหลอกใช้แล้ว ถูกวางแผนชั่วร้าย เมื่อเดือนที่แล้วในการประชุมตำแหน่งผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้าน พวกเขาก็ได้เริ่มเตรียมการกันแล้ว

พวกแกสองพ่อลูก แผนการช่างชั่วร้ายนัก

และในเวลานี้ มู่เฉินเทียนค่อยๆเอ่ยปากพูดว่า “คุณพี่ แม้ว่าพี่จะเป็นคุณพี่ของผม แต่ต่อจากนี้ ก็ควรทำตามกฎของตระกูลมู่ เพื่อปฏิบัติตามสัญญาของตระกูลมู่”

“ผู้อาวุโสมู่ ท่านคิดว่าไงล่ะ?”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปถามผู้อาวุโสมู่อีกครั้ง

ผู้อาวุโสมู่ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก กว่าจะตั้งสติได้ สายตาที่มองไปทางมู่จงหยุน มีทั้งความชื่นชมและตำหนิเล็กน้อย

มู่เฉินเทียนตัวดี ก่อนหน้านี้ฉันยังเคยไปเยี่ยมแกที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้ แม้แต่ฉันแกก็ยังหลอก

นายคิดแผนการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร แสร้งทำเป็นผู้อ่อนแอเพื่อเอาชนะภายหลัง นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้วมั้ง

ทำมู่จงหยุนตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เหลืออะไรเลย

วินาทีนี้ เมื่อผู้อาวุโสมู่มองไปทางมู่จงหยุน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจเช่นกัน

เฮ้อ น่าอนาถจริงๆ

อุตส่าห์วางแผนในตระกูลมู่ตั้งนาน ดึงคนเข้าร่วมจำนวนมาก ครั้งนี้ก็ถูกมู่เฉินเทียนพลิกกลับมา ที่สำคัญคือ สุดท้าย ทั้งหมดนี้เป็นการปูทางให้มู่เฉินเทียน

นี่เป็นดั่งคำที่ว่าจริงๆ ยิ่งยืนสูงแค่ไหน ตกลงมาก็ยิ่งน่าสมเพชเท่านั้น

แต่ว่า ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของตระกูลมู่ที่เป็นคนยุติธรรม เขาก็ต้องทำตามกฎ

ดังนั้นผู้อาวุโสมู่จึงพูดว่า “ผมขอประกาศ นับจากนี้มู่เซิ่งเป็นเจ้าบ้านคนใหม่ของตระกูลมู่ ตามกฎข้อบังคับของตระกูลมู่ ต่อไปบริษัททั้งหมดของตระกูลมู่ จะมอบให้กับมู่เซิ่งเป็นผู้บริหารจัดการทุกอย่าง และไม่แบ่งอายุและรุ่น ทุกคนก็ต้องเรียกว่าเจ้าบ้านตระกูลมู่!”

“มู่ปู้ มู่คู่ เซ็นชื่อมอบสัญญาหุ้นส่วนบริษัทของคุณเถอะ”

ผู้อาวุโสมู่พูด

มู่ปู้กับมู่คู่ลงนามในสัญญาด้วยสีหน้าบึ้งตึง หัวใจของมู่ปู้กำลังหลั่งเลือดอยู่ เมื่อเดือนที่แล้วเขาได้ใช้เส้นสายเบิกเงินเกินบัญชีเลยทำกำไรได้สี่หมื่นกว่าล้าน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนสินสอดแต่งงานของมู่เซิ่งไปแล้ว

“ยังมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้ทำ?” หลังจากมู่เซิ่งเก็บสัญญาเรียบร้อย แคะหูแล้วถาม

“มู่เซิ่ง สัญญาเราก็เซ็นแล้ว นายอย่ารังแกกันมากเกินไป!” มู่ปู้อดไม่ได้ที่จะตระโกนด่า

“ความหมายของนายคือต้องการที่จะต่อต้านกฎของตระกูลมู่สินะ?” มู่เซิ่งยิ้มแหย่ๆ

ในเวลานี้ หากมู่ปู้กล้าต่อต้านจริงๆ ไม่ต้องให้เขาเอ่ยปาก ผู้อาวุโสมู่ก็คงออกหน้ากำจัดด้วยตนเองแล้ว

ท่ามกลางตระกูลอิทธิพล การมีศึกภายในเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใครมองข้ามกฎของตระกูล นี่คือรากฐานของตระกูลอิทธิพลที่สามารถดำรงอยู่ได้ยาวนานต่อไป

มู่ปู้หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด

หลังจากที่เขากลายเป็นคุณชายของตระกูลมู่ สิบกว่าปีที่ผ่านมา อยู่ดีกินดีใช้ชีวิตหรูหรา ไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูแบบนี้?

หากมู่เซิ่งกลายเป็นเจ้าบ้านของตระกูลมู่ งั้นต่อไปชีวิตการเป็นอยู่ของเขา คงต้องถูกกดจนเงยหน้าไม่ขึ้นแน่

แต่ว่า……เขายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?

มู่ปู้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ มีเส้นเลือดฝอย เขาโกรธแค้นสุดๆ กำมือทั้งสองข้าง และตะโกนบอกมู่เซิ่ง “ขอคารวะเจ้าบ้านตระกูลมู่!”

“ขอคารวะเจ้าบ้านตระกูลมู่!” แม้แต่มู่คู่ก็ตะโกนพูดด้วยความโกรธแค้นเช่นกัน

ในเวลาเช่นนี้ เขาได้แต่ทน เพราะพวกเขาทนไม่ได้หากชีวิตประจำวันไม่ได้อยู่ในตระกูลมู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น คงทุกข์ทรมานยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาอีก

“ขอคารวะเจ้าบ้านแห่งตระกูลมู่!” มู่เฟิงก็ตะโกนประโยคนี้กับมู่เซิ่งภายใต้สายตาที่ข่มขู่ของมู่จงหยุน

ถือเสียว่าเหมือนถูกสุนัขกัด หลับตาลงลืมตาขึ้นก็ผ่านไปแล้ว

“จริงสิ หลังจากได้เป็นเจ้าบ้านแล้ว ก็ควรจะอาศัยอยู่ในที่พักของเจ้าบ้านด้วยใช่ไหม?” มู่เซิ่งพูดอย่างไม่แยแส และพูดต่อ

ใช่

เดิมทีเจ้าบ้านทุกรุ่นของตระกูลมู่ ทุกคนก็มีห้องของตัวเอง ซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในตระกูลมู่ แต่เนื่องจากมู่เฉินเทียนป่วย ดังนั้นจึงอยู่ในโรงพยาบาลตลอดเวลา และห้องนี้ก็ถูกมู่จงหยุนครอบครอง

“ผม ผม แม่ง”มู่เฟิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ โกรธจนคิ้วของเขาสั่นระริก

คุณยังไม่จบไม่สิ้นเหรอ?

คุณต้องการจะกำจัดให้สิ้นซากเช่นนี้จริงๆเหรอ?

อันที่จริง ถ้าหลังจากที่เขาได้เป็นเจ้าบ้านตระกูลมู่แล้ว วิธีที่เขาจะจัดการมู่เซิ่ง มีมากมาย แต่ตอนนี้ถูกเขาถูกปฏิบัติเช่นนี้ ถูกไล่ออกจากที่พักที่เคยอยู่อาศัย ทำให้ในใจของมู่เฟิงไม่สามารถยอมรับได้

“ใช่ พรุ่งนี้พวกเราก็จะย้ายบ้านและยกห้องให้เจ้าบ้านตระกูลมู่” มู่จงหยุนก้มหน้าลงโบกมือแล้วพูดกับมู่เซิ่ง

“ไม่ คืนนี้ผมก็จะเข้าพักแล้ว” มู่เซิ่งพูดปฏิเสธ

มู่จงหยุนกำหมัดแน่นจนมีเสียงกระดูกดังก๊อกแก๊ก จากนั้นเขาก็ระงับไว้แล้วพูดตะคอกไปว่า “ได้ ผมจะย้ายคืนนี้”

พูดจบ เขาพามู่เฟิงสองคนออกจากห้องกประชุมของตระกูลมู่โดยไม่หันกลับมามอง

ถ้าเขาอยู่ต่อไป คาดว่าต้องอับอายจนไม่มีที่ซุกหัวแน่

หลังจากกลับมาถึงห้อง ก็มีแม่บ้านเริ่มเก็บข้าวของในห้องแล้ว ซึ่งทำให้มู่จงหยุนรู้สึกถึงจิตใจมนุษย์ที่ไม่มีความจริงใจ หลายวันก่อน คนในตระกูลมู่ไม่มีใครกล้าแตะต้องสิ่งของของเขา นับประสาอะไรกับตอนนี้ เดินไปเดินมา ทั้งหมดดูเหมือนกำลังจัดการกับเศษขยะ

“คุณพ่อ พวกเราจะเป็นแบบนี้จริงๆเหรอ?ลูกไม่ยอม!” มู่เฟิงพูดด้วยความโกรธและเงยหน้าขึ้นมองมู่จงหยุน

ความแค้นที่ตัดแขน และความอาฆาตแค้นที่ชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน ตั้งนานแล้วที่เขาไม่สามารถอยู่ร่วมโลกเดียวกับมู่เซิ่ง

ร่างกายของมู่จงหยุนสั่นเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาพามู่เฟิงเดินไปที่ประตูและเดินเข้าไปในห้องที่เงียบสงบ

“คุณพ่อ เราจะปล่อยให้มู่เซิ่งทำเรื่องชั่วช้าอย่างนี้จริงๆเหรอ? ลูกไม่ยอม!” มู่เฟิงยังคงพูดคำเดิมด้วยความโกรธแค้น

“นั่ง”

มู่จงหยุนชี้ไปที่เก้าอี้ มู่เฟิงมีเจตนาฆ่าที่น่ากลัว แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก และนั่งลงบนที่นั่งของเขา

ในห้องที่เงียบสงบมีน้ำที่กำลังเดือด ใบชาที่วางอยู่เรียบร้อย มู่จงหยุนรินชาให้ตัวเองและมู่เฟิงหนึ่งแก้ว และในไม่ช้า ไอร้อนก็กระจายออกมาไปทั่วห้องที่เงียบสงบ

ชาบนโต๊ะเดือดจนเกือบจะล้นออกมา มู่เฟิงคว้าด้วยมือซ้าย ทำหน้าตาบูดบึ้งบู้บี้ที่น่ารังเกียจแล้วดื่มชาลงไป

หลังจากผ่านไปนาน เมื่อรู้ว่าความร้อนได้หายไป มู่เฟิงถึงจะเปิดปากถามเสียงแหบแห้ง “ท่านพ่อ เราจะทำอย่างไรต่อไป?”

“ตอนนี้มู่เซิ่งกลายเป็นเจ้าบ้าน และมู่เฉินเทียนก็แทบไม่ได้ป่วยเลย ตระกูลมู่ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่เซิ่งพ่อลูก หากเราต้องการเป็นเจ้าบ้านของตระกูลมู่อีกครั้ง มีแต่ต้องฆ่าเขาเท่านั้น”

มู่จงหยุนเติมชาจนเต็ม และพูดอย่างช้าๆ