บทที่ 263 กลับถึงเจียงหนาน

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 263 กลับถึงเจียงหนาน

ฆ่าเขาซะ?

คิ้วของมู่เฟิงกระตุกขึ้น

คำพูดนี้ฟังดูแล้ว แทบจะอกสั่นขวัญหาย

แต่ในความเป็นจริง มู่จงหยุนอยากฆ่ามู่เซิ่ง ได้ลงมือนานแล้ว และไม่ใช่ลงมือฆ่าเพียงครั้งเดียว แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลว เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง

“คุณพ่อ จะฆ่ามู่เซิ่งกับพ่อเขายังไง?” มู่เฟิงเปิดปากถาม

ฆ่ายังไง และฆ่าเมื่อไหร่

เรื่องนี้ มู่จงหยุนต้องไม่บอกมู่เฟิงอย่างแน่นอน เบาๆ “ฉันเรียกนายมาที่นี่เพราะกลัวว่านายจะอาฆาตแค้นเกินไป และไปหามู่เซิ่งเพื่อแก้แค้นทันที ฉันจะให้นายจำไว้ว่า มู่เซิ่งกับพ่อของเขา ต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นนายอย่าได้ถูกความแค้นบังตามากเกินไป”

“ท่านพ่อสั่งสอนถูกต้องแล้ว” มู่เฟิงก้มหัวลงและพูด

เหตุการณ์ในวันนี้ มู่เซิ่งภาคภูมิใจในตัวเองมาก จนเขาอยากจะฉีกมู่เซิ่งออกเป็นชิ้นๆในทันที

“ออกไปเถอะ ในช่วงระยะเวลานี้ พยายามอย่าไปสร้างปัญหากับมู่เซิ่ง ไม่ว่าเขาจะเรียกร้องอะไร แค่ฟังและทำตามเขาก็พอ” มู่จงหยุนโบกมือ

มู่เฟิงก้มหัวรับคำ และเดินออกจากห้องเงียบไปที่ประตู

หลังจากที่มู่เฟิงเดินจากไปเป็นเวลานาน มู่จงหยุนก็ค่อยๆ หยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมา นิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย สุดท้ายเสียงดังคลิก ถ้วยชาในมือของเขาก็แตกออกเป็นชิ้นๆ

ควบคมพลังได้ไม่ดี นี่คือเรื่องที่ไม่ได้ปรากฎออกมานานแล้ว แต่วันนี้ เขาตกตะลึงมากจริงๆ

สิ่งสำคัญคืออาการป่วยของมู่เฉินเทียน ตกลงหายได้อย่างไร

เรื่องนี้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ

แต่ว่า เขาไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะเป้าหมายต่อไปของเขา คือทำให้มู่เฉินเทียนกับลูกชายตาย!

แต่ว่าเรื่องแบบนี้ เร่งรีบไม่ได้

หลังจากประสบการณ์ครั้งนี้ มู่จงหยุนก็ได้พิจารณาตัวเอง รู้สึกว่าตนเองรีบร้อนเกินไป รีบร้อนที่จะฆ่ามู่เซิ่งเร็วไป ดังนั้นคนที่เขาส่งออกไปจึงทำงานล้มเหลว และคราวนี้ เป็นเพราะเขาอยากเป็นเจ้าบ้านของตระกูลมู่มากเกินไปที่ ดังนั้นจึงถูกมู่เซิ่งตบหน้าอย่างแรง และตอนนี้ การฆ่ามู่เฉินเทียนกับมู่เซิ่ง จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว

ดังนั้น เขาจะต้องมีความมั่นใจเต็มร้อยถึงจะลงมือได้

ทหารรับจ้าง?

ก่อนหน้านี้ล้มเหลวมาหลายครั้ง ตอนนี้เขาไม่สามารถพึ่งพาได้อีก และร่างกายของมู่เฉินเทียนก็ได้ฟื้นตัวแล้ว คาดว่าคงมีพลังความแข็งแกร่งของปามาจารย์บู๊อยู่ และลุงหรานที่อยู่เคียงข้างเขา ก็มีความแข็งแกร่งระดับนักเสวียนเช่นกัน

ดังนั้น หากต้องการฆ่ามู่เซิ่งกับมู่เฉินเทียนสองพ่อลูกนี้ จำเป็นต้องเชิญนักเสวียนมาอีกคน

แต่นักเสวียนมีค่ามากเหลือเกิน จะไปเชิญจากที่ไหน? ได้แต่หามาจากกลุ่มพันธมิตรนักเสวียน จ่ายค่าตอบแทนที่สูงเพื่อแลกเปลี่ยนนักเสวียนหนึ่งท่านมา เพื่อช่วยให้เขาข้ามพ้นวิกฤตนี้ไปได้

แต่ว่า จากการเข้าสู่กลุ่มพันธมิตรนักเสวียน จนเชิญนักเสวียนมาได้ นี่ก็ต้องเป็นเรื่องที่ใช้เวลายาวนาน แต่มู่จงหยุนสามารถรอได้ เพราะเขาจะไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้ ต้องฆ่ามู่เฉินเทียนกับลูกชายให้ได้ ไม่ให้เหลือซาก

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาหยิบกระดาษปากกาออกมาจากลิ้นชัก และเริ่มเขียนจดหมายถึงกลุ่มพันธมิตรนักเสวียน

ในระหว่างนี้ เป็นเพราะมือของเขาสั่นเลยเขียนตัวหนังสือผิดไปหนึ่งตัว เขารีบขีดฆ่าทิ้งแล้วเขียนใหม่ทันที เขียนจนถึงฉบับที่ห้า มู่จงหยุนถึงจะเขียนจดหมายเสร็จ

ช่วยไม่ได้

ฉากที่อยู่ในห้องประชุมของตระกูลมู่ ซึ่งทำให้เขาสะเทือนใจสุดๆ

หลังจากเขียนเสร็จ มู่จงหยุนก็ม้วนจดหมายลงในหลอดใส่ปากกาขนาดเล็ก จากนั้นเผาอำพันเพื่อปิดผนึกหลอดใส่ปากกา และสุดท้ายก็หยิบนกพิราบพาหะออกมา นำหลอดมัดกับนกพิราบ แล้วปล่อยนกพิราบออกจากบ้านไป

อีกด้านหนึ่ง

มู่เซิ่งกับมู่เฉินเทียนสองคน กำลังเดินเคียงข้างกันเข้าไปในห้องที่เพิ่งจะย้ายของออกจนว่างเปล่า

“ที่นี่ ต่อไปก็คือที่อยู่อาศัยของลูก” มู่เฉินเทียนยิ้มและตบไหล่มู่เซิ่ง “เจ้าบ้านตระกูลมู่ทีทักษะที่น่าทึ่งมาก การแสดงในวันนี้ พ่อรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมสุด”

มู่เซิ่งแสดงท่าทีพูดไม่ออก

พ่อ พ่อพูดดีๆไม่ได้เหรอ

“ฮ่าๆๆ นายไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้พ่ออัดอั้นตันใจแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมู่จงหยุนเยาะเย้ยพ่อที่หน้าประตูตระกูลมู่ ฉันอยากจะยืนขึ้นต่อยหน้าเขาทันที แต่ฉันก็อดกลั้นไว้ ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่มีฉากที่ทำให้เขาอับอายขายหน้าในวันนี้แล้ว”

มู่เฉินเทียนหัวเราะเสียงดัง

เรื่องที่เขาป่วย ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองเยียนจิงแทบรู้กันหมดแล้ว สามารถคาดเดาได้ หลังจากข่าวในวันนี้กระจายออกไปแล้ว ตระกูลในเมืองเยียนจิงเหล่านั้น จะตกตะลึงแค่ไหน

คนที่คอยซ้ำเติมไม่ใช่แค่ฉินโส่วหรานคนเดียว เหล่าสมาชิกที่มาจากตระกูลอิทธิพล และแม้แต่สมาชิกจำนวนมากจากตระกูลอันดับหนึ่ง ต่างพากันคิดร้ายต่อมู่เฉินเทียน เพราะพวกเขารู้สึกว่าเจ้าบ้านของตระกูลมู่คนนี้ได้ล้มลงแล้ว จะต้องเปลี่ยนเจ้าบ้านเป็นคนอื่นทันที ดังนั้นต่างก็มุ่งไปที่มู่จงหยุนหรือมู่คู่กันหมด

ด้วยเหตุนี้ ในการหาเสียงเพื่อสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้าน ของตระกูลมู่ นอกจากเหยาเผิงแล้ว คนอื่นแทบไม่มีใครให้ความช่วยเหลือมู่เซิ่งเลย

แต่ครั้งนี้ มู่เซิ่งชนะการเลือกตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้าน คนกลุ่มนี้จะตกใจขนาดไหน และตัวสั่นขนาดไหน

พูดตามตรง มู่เฉินเทียนรู้สึกชอบและสะใจกับความรู้สึกของการได้ฉีกหน้าคนอื่นแบบนี้

“ลูกพ่อ ลำบากลูกแล้ว” มู่เฉินเทียนเปิดปากพูด “จากนี้ไปตระกูลมู่ ก็ต้องพึ่งพาลูกดูแลจัดการแล้วนะ”

มู่เซิ่งพูด “คุณพ่อ ตอนนี้ผมยังอยู่ที่เมืองเยียนจิงไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมของตระกูลมู่ ยังต้องพึ่งพาคุณพ่อเป็นคนดูแลจัดการ ดังนั้นบ้านหลังนี้ คุณพ่ออยู่ไปก่อน”

มู่เฉินเทียนตกตะลึง “ลูก ลูกจะกลับไปแล้วเหรอ”

“ใช่ครับ ผมจะกลับไปแล้ว” มู่เซิ่งพยักหน้า แม้ว่าเมืองเยียนจิงจะดี แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่นาน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้เจอเจียงหว่านภรรยาของเขามานานมาก อยากจะรีบกลับไปพบหน้า

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นลูกก็กลับไปเถอะ” มู่เฉินเทียนพยักหน้า โดยไม่ได้เหนี่ยวรั้ง “แต่ลูกเอ๋ย ลูกรีบพาลูกสะใภ้กลับมาเยี่ยมพ่อนะ แม้ว่าจะกลับมาไม่ได้ ก็อุ้มหลานชายกลับมาสักคน พ่อก็สามารถมีความสุขในบั้นปลายชีวิตแล้ว”

“หลานชาย?”

มู่เซิ่งตกตะลึง แก้มแดงระเรื่อๆเผยออกมาซึ่งน้อยนักที่จะมี

เรื่องอย่างนั้นยังไร้วี่แววจะสำเร็จ จะมีหลานเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร

มู่เซิ่งอยู่ที่ตระกูลมู่อีกหนึ่งวัน ก่อนที่จะบินกลับไป

ในช่วงสองวันนี้ คนในตระกูลมู่ทั้งหมดให้ความเคารพต่อเขามาก แม้แต่มู่เฟิงเห็นเขา ก็ยังเรียกเขาว่าเจ้าบ้านด้วยความเคารพ นี่ทำให้มู่เซิ่งยากจะเข้าใจได้ มู่เฟิงเวลานี้ควรเกลียดเขามากถึงจะถูก เป็นไปได้ไงที่ทั้งเคารพและเรียกเขาว่าเจ้าบ้านตระกูลมู่?

เรื่องนี้น่าจะมีอะไรแปลกๆแอบแฝงอยู่แน่

ดังนั้นเขาจึงกำชับคุณพ่อ ให้ระมัดระวังไว้บ้าง แล้วจึงบินกลับเมืองเจียงหนาน

หลังจากกลับถึงบ้าน เพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาของมู่เซิ่ง เจียงหว่านได้จัดโต๊ะอาหารขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เพื่อต้อนรับมู่เซิ่ง จ้าวหลินแม่ยายของมู่เซิ่งไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่มู่เซิ่งเห็นสีหน้าของเจียงหว่านดูเหมือนจะมีความกังวลอยู่เล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังกังวลเรื่องบางสิ่งอยู่

มู่เซิ่งถามเจียงหว่าน แต่เจียงหว่านก็ไม่พูด เธอแค่บอกว่าที่บริษัทยังมีบางอย่างที่ต้องทำ หลังจากทานอาหารเย็นและพูดคุยกับมู่เซิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็รีบร้อนกลับไปที่บริษัท

เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้น เขาจึงเรียกท่านหลงออกมา อยากถามดูว่าตกลงเจียงหว่านกังวลอะไรกันแน่

สถานที่นัดกับท่านหลงเป็นบาร์ชื่อบาร์ชิงชี

บาร์แห่งนี้อยู่ใกล้ใจกลางเมืองมาก มู่เซิ่งเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง

“ดูเหมือนกิจการบาร์แห่งนี้จะไปได้ดี”

มู่เซิ่งนั่งอยู่ในบาร์ พบว่าที่บาร์มีลูกค้านั่งกันเกือบเต็ม ณ ตอนนี้เป็นเวลาเพียงสองทุ่มครึ่ง คนนั่งในบาร์เกือบเต็มแล้ว ยังไม่ดึกมากก็มาบาร์กันแล้ว ค่อนข้างหายากจริงๆ

“คุณค่ะ คุณมาคนเดียวเหรอคะ?”

ในเวลานี้ บริกรที่แต่งตัวสวยงามเดินเข้ามาพร้อมยิ้มหวาน และพามู่เซิ่งเข้าไปด้านใน “คุณค่ะ ร้านเรามีเหล้าสาเก ไวน์หวาน ยังมีเหล้าเหมาไถ และเครื่องดื่มอื่นๆ เรียนถามท่านต้องการดื่มแบบไหนคะ”

พนักงานเสิร์ฟดูก็รู้ว่าเป็นนักศึกษาที่ยังเรียนอยู่ หน้าตาสวยงาม หลังจากจ้องมองมู่เซิ่งแล้ว ก็รีบแจ้งรายการเครื่องดื่มราคาแพงทั้งหมดในร้านทันที

มู่เซิ่งชำเลืองมองเธอ ก็เห็นบนป้ายชื่อเขียนว่าหวังลี่สองตัว นี่น่าจะเป็นชื่อพนักงานเสิร์ฟ สำหรับท่าทีของบริกรที่เร่งเร้าให้เขาสั่งเครื่องดื่มโดยเร็ว มู่เซิ่งก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

“คุณค่ะ คุณต้องการดื่มอะไรคะ?” หวังลี่เห็นว่ามู่เซิ่งชักช้าไม่ตอบสักที ก็เลยเร่งด้วยความรำคาญ

“ขอน้ำเปล่าสักแก้วก่อนนะ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งกำลังมา ไม่รีบ” มู่เซิ่งพูด

“ดื่มแต่น้ำเปล่า?” หวังลี่ผงะ สายตาของเธอจับจ้องไปที่มู่เซิ่ง

อะไรกัน

ถามอยู่ตั้งนาน ที่แท้เป็นยากจนที่ไม่มีเงินแม้แต่จะดื่มเหล้า

“ไม่ได้เหรอ?” มู่เซิ่งย้อนถามด้วยรอยยิ้ม

“ได้ แม้ว่าคุณจะไม่ดื่มอะไรเลยก็ได้ แต่ว่าห้องวีไอพีของเราคิดเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละหนึ่งร้อยห้าสิบ” หวังลี่พูดอย่างเย็นชา

หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังกลับและเดินออกไปด้วยสีหน้ารังเกียจ แม้แต่น้ำเปล่าก็ขี้เกียจเทให้ บ่นไปด้วยเดินไปด้วย “ทำไมถึงเจอคนยากจนอีกแล้ว แม่งทำไมคืนนี้ถึงโชคร้ายขนาดนี้”

หลังจากนั้นไม่นาน มีหญิงสาวสวมแว่นตา และแต่งตัวสวยงามเดินเข้ามา ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เซิ่งและทำท่าทางกระโดดโลดเต้น และพูดว่า “คุณชายค่ะ น้ำเปล่าของคุณมาแล้ว วันนี้ต้องเที่ยวให้สนุกนะคะ”

“เสียงนี้มู่เซิ่งค่อนข้างคุ้นเคยมาก อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ถึงกับเป็นหวังซินเอ๋อคนที่เขารู้จัก  

“หวังซินเอ๋อ ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่” มู่เซิ่งถาม

หญิงสาวคนนั้นก็ผงะเช่นกัน ขยี้ตาของเธอด้วยความเหลือเชื่อ แล้วตะโกนเสียงดัง “พี่ พี่มู่?”

“เธอมาทำอะไรที่นี่? บาร์เป็นสถานที่ที่เด็กอย่างเธอมาได้เหรอ?” มู่เซิ่งพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง และพูดด้วยน้ำเสียงอบรมสั่งสอน

“อะไร เขาไม่เด็กแล้วนะ” หวังซินเอ๋อยืดอก และพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “อีกอย่าง เรามาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อสนุกนะ แต่เพื่อทำงานพาร์ทไทม์ พี่คิดว่าฉันชอบมาสถานที่ที่วุ่นวายเช่นนี้เหรอ?”

“พวกเรา?”

มู่เซิ่งเมื่อได้ยินเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะผงะ

“ฉู่อีอีก็มาที่นี่ด้วยเหรอ?”