บทที่ 100 ซื้อซื้อซื้อ2

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

อีกอย่างพุทราเคลือบน้ำตาลมีน้ำตาลมากเกินไป จะมากินอย่างนี้ไม่ได้ ไม่งั้นฟันของเจ้าก้อนน้อยคงไม่เหลือแน่

อยากกิน แต่ท่านแม่บอกไม่ได้แล้ว ก็ไม่อาจกินได้แล้ว

เจ้าก้อนน้อยคิด จากนั้นกินพุทราเคลือบน้ำตาลไปอีกหนึ่งคำ

ตอนที่สามคนพ่อแม่ลูกผ่านแผงขนมเปี๊ยะ โจวกุ้ยหลานได้กลิ่นหอมมาก เลยเข้าไปซื้อขนมเปี๊ยะสามอัน สามคนพ่อแม่ลูกคนละอัน และเดินไปกินไป

หลังจากกินขนมเปี๊ยะเสร็จ ทั้งหมดก็ไปร้านผ้าอีก ครั้งนี้โจวกุ้ยหลานซื้อเนื้อผ้าห่มมาห้าชิ้นเลย ผ้าฝ้ายละเอียดอีกห้าพับ อีกทั้งยังคนละสีกัน หนึ่งพับในนั้นจงใจเลือกสีแดงสด อยากจะเอาให้โจวต้าไห่ใช้ตอนแต่งงาน

“เถ้าแก่ ที่นี่ท่านมีผ้าแดงที่ใช้ตอนแต่งงานหรือไม่?” โจวกุ้ยหลานซื้อสิ่งที่ตนอยากได้เสร็จแล้ว ก็ถามเขา

เถ้าแก่ผู้นั้นลูบเคราแพะของตน พลางยิ้มฮี่ๆบอก “มีมีมี ท่านต้องการเท่าไหร่รึ?”

“ให้ข้าดูก่อนแล้วกัน” โจวกุ้ยหลานเอ่ยปากถาม

เถ้าแก่นั่นรีบยอบตัวลงไป หยิบผ้าสีแดงออกมาพับหนึ่งยื่นมาให้โจวกุ้ยหลาน พลางยิ้มบอก “ฮูหยิน นี่เป็นผ้าไหมชั้นดี หากฮูหยินต้องการ ผ้าพับนี้ข้าให้ราคาแค่สามตำลึงเท่านั้น”

สามตำลึง?!

“เถ้าแก่ ท่านล้อข้าเล่นกระมัง? พวกข้าเป็นชาวนา จะมีเงินมากมายเยี่ยงนั้นมาซื้อผ้าดีขนาดนี้ได้อย่างไร?” โจวกุ้ยหลานยิ้มเจ้าเล่ห์ย้อนถามกลับไป

เถ้าแก่รีบบอก “ฮูหยิน นี่เป็นผ้าไหมชั้นดี ลองลูบดูสิ สบายเพียงใด หากนำมาใช้ในงานแต่งงาน เหมาะสมที่สุดแล้ว!”

ดูท่านายจะซื้อผ้ามากเกินไป ทำให้เถ้าแก่นี่คิดว่านายเป็นเนื้ออันโอชะละ

โจวกุ้ยหลานแอบบ่นในใจ พลางว่า “ไม่ต้องหรอก ทั้งตัวข้าไม่มีเงินมากเพียงนั้น ท่านเอาผ้าอย่างอื่นให้ข้าดูเถอะ”

เห็นนางยืนยันหนักแน่น เถ้าแก่ก็หมดหนทาง ได้แต่หยิบผ้าฝ้ายสีแดง มาบอกโจวกุ้ยหลานว่า “ฮูหยินว่าผืนนี้เป็นอย่างไร?”

โจวกุ้ยหลานลูบดู ลื่นผิวดีอยู่ เลยถาม “พับนี้ราคาเท่าไหร่?”

“พับนี้สี่ร้อยเหวิน”

โจวกุ้ยหลานตัดราคาอีกครั้งว่า “ข้าซื้อของไม่น้อยแล้ว เถ้าแก่ให้ถูกอีกหน่อยเถอะ สามร้อยเหวินข้าก็เอาแล้ว”

“มิได้ดอก! ข้าเอาเข้ามาก็สามร้อยกว่าเหวินแล้ว ถ้าขายในราคาสามร้อยเหวินข้าก็ขาดทุนสิ”

“ไม่ได้จริง ข้าก็ไม่ทำให้เถ้าแก่ลำบากใจละ หากขายได้ข้าก็จะเอา ขายไม่ได้ก็ช่างเถอะ รบกวนรวบผ้าพวกนี้ให้ข้าด้วย ข้าจะเอาไปเลย”

โจวกุ้ยหลานก็ไม่อยากเสียเวลาที่นี่แล้ว ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว นางยังอยากรีบกลับบ้านอยู่นะ

เถ้าแก่นั่นไม่คิดว่าโจวกุ้ยหลานจะหนักแน่นขนาดนี้ เลยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พลางว่า “ข้าเห็นว่าฮูหยินเป็นลูกค้าประจำถึงให้ท่านดอก นี่ก็มิได้หาเงิน ฮูหยินอย่าเอาไปพูดนะ มิเช่นนั้นผู้อื่นก็มาบอกราคานี้ ข้าก็มิอาจทำการค้าได้แล้ว”

ท่าทางลำบากใจ คนไม่รู้คงคิดว่าเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ

โจวกุ้ยหลานรับคำ และเห็นคนในร้านข้างๆช่วยรวบผ้าเข้าด้วยกัน นางกอดไว้ในอ้อมแขน และพาสามีกับลูกตนกลับไป

พอซื้อของเหล่านี้เสร็จ สองตำลึงเงินหนึ่งเฉียนก็ใช้ไปแล้ว

ทางหลับไปโจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าสวีฉางหลินกำลังมองสำรวจนางเลยถามเขา “ทำไมรึ?”

“ทำไมไม่ซื้อผ้าดีพับนั้น?” สวีฉางหลินถามออกมาตรงๆ

ในใจเขา เมียตนเป็นคนชอบซื้อของมาก ซื้อของแต่ละทีก็มักจะซื้อของดีตลอด

“พี่ชายข้าแต่งงานครั้งเดียว เสื้อผ้าก็ใส่แค่วันเดียว ซื้อดีเยี่ยงนั้นทำไมกัน?” โจวกุ้ยหลานอธิบายอย่างชัดเจน “อีกอย่าง นั่นน่ะผ้าไหมนะ คนไม่ทำงานถึงใส่กัน พวกเราเป็นคนทำงาน กระแทกนิดเดียวก็ขาดแล้ว ถึงเวลานั้นจะปวดใจสักเพียงไหน?”

ยังมีอีกอย่างที่โจวกุ้ยหลานไม่ได้พูดคือ ถ้าให้เหล่าไท่ไท่รู้ว่านางซื้อผ้าไหม คงให้นางเอามาคืนแน่…

ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…

สวีฉางหลินเข้าใจแล้ว

วินาทีต่อมา โจวกุ้ยหลานก็รู้แล้วว่าเขาถามอย่างนี้ทำไม เลยเลิกคิ้วถามว่า “ในใจเจ้าข้าเป็นสตรีที่สุรุ่ยสุร่ายกระมัง?”

“อืม” สวีฉางหลินรับคำ

โจวกุ้ยหลานกัดฟัน อยากจะหยิกเขาสักหมับ จากนั้นก็ได้ยินเขาบอกว่า “เจ้าใช้เงินของข้าได้ตามสบาย”

ไอ้โหย!

หัวใจของนาง!

โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าคำพูดนี้กระแทกใจนางอย่างแรง

สวีฉางหลินนี้สามารถยั่วหยอกล้อนางได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ฟ้ามืดแล้ว พวกเรารีบไปซื้ออย่างอื่นเถอะ” โจวกุ้ยหลานไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ เลยบอกออกมา และดึงเจ้าก้อนน้อยเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เสี่ยวไน่เปาวิ่งตามโจวกุ้ยหลานอย่างว่าง่าย

สวีฉางหลินถือตะกร้าเดินตามหลังพวกเขาไปติดๆ

โจวกุ้ยหลานยิ่งเอาใหญ่ ซื้อเครื่องปรุงต่างๆอย่างละหนึ่งห่อใหญ่ และซื้อน้ำส้มสายชูมายี่สิบจิน ซีอิ๊วต่างๆก็ซื้อซื้อซื้อ

จนสุดท้าย เถ้าแก่ร้านของชำเห็นพวกเขาเป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งโชคลาภเลยทีเดียว

โจวกุ้ยหลานไปร้านเมล็ดข้าวพันธุ์ ซื้อข้าวมาอีกสองร้อยจิน ข้าวเหนียวหนึ่งร้อยจิน แป้งขาวหนึ่งร้อยจิน น้ำมันสิบจิน

เถ้าแก่ร้านข้าวเหนียวนั่นยังนึกว่าพวกเขามาหาซื้อของให้โรงเตี๊ยมที่ไหน คอยเลียบเคียงถามพวกเขาตลอด สุดท้ายถึงรู้ว่าเป็นคนธรรมดา

ของพวกนี้แบกกลับไปไม่ไหวหรอก โจวกุ้ยหลานเลยตกลงกับเถ้าแก่ว่า “เถ้าแก่ พวกท่านมีรถวัวลากหรือไม่? ข้าสามารถออกเงินจ้างให้พวกท่านส่งข้ากลับบ้านได้นะ”

อย่างแรกต้องการตีสนิทโจวกุ้ยหลาน สองเพื่อหาเงินมากขึ้น เถ้าแก่จึงรับปากในทันที

“ถ้าให้ส่งไปหมู่บ้านต้าสือคิดเท่าไหร่รึ?” สายตาเถ้าแก่กลอกไปมา เงียบอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยปากว่า “ไปส่งถึงบ้าน ต้องจ่ายสามสิบอีแปะ”

โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดในใจ ถึงจะแพงกว่าของเหล่าหม่าโถวไม่น้อย แต่คิดๆดู ของมากมายขนาดนี้ ถ้าให้เหล่าหม่าโถวส่งกลับไป พวกเขาต้องโดนหัวขโมยจ้องตาเป็นมันแน่ เลยรับปากทันที

“ตกลง พวกข้ายังต้องไปซื้อของอีก จะวางของพวกนี้ไว้ที่นี่ก่อน อีกเดี๋ยวพวกข้าซื้อเสร็จแล้วกลับมา” โจวกุ้ยหลานวางผ้าพับในมือตนลงมา

เถ้าแก่ก็คุยดี รับปากในทันที

โจวกุ้ยหลานพาสวีฉางหลินกับเจ้าก้อนน้อยออกมา และไปดูดอกฝ้าย หลังจากทำการเปรียบเทียบเทียบหลายเจ้า สุดท้ายเลยเลือก หนึ่งในร้านเหล่านั้นที่ดูแล้วไม่เลว ราคาก็เหมาะสม

ดอกฝ้ายนี่ดี หนึ่งจินต้องจ่ายยี่สิบอีแปะ

โจวกุ้ยหลานสะบัดมือฟึบ ก็ซื้อดอกฝ้ายไปหนึ่งร้อยจินเลยทีเดียว

เถ้าแก่รีบเรียกคนในร้านมาช่วยชั่งเรียบร้อยแล้วจัดหีบห่อหมด และส่งไปที่ร้านเมล็ดข้าวพันธุ์ก่อนหน้านี้

จากนั้นก็รีบรุดไปซื้อผักอีก พอเห็นผักที่อยากกินก็ซื้อ นี่มีเห็ดหูหนูด้วย? ซื้อสี่จิน เห็ดหอมแห้ง? ซื้อห้าจิน เอ๋ ที่นี่มีพุทราแดงด้วย? แถมยังตากแห้งแล้ว? เอามาเลยห้าจิน! วอลนัท?เกาลัด? เอามาอย่างละสองจิน!

สวีฉางหลินเดินตามหลังเมียตนเอง ของในมือเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาแอบถอนหายใจถึงความเร็วในการซื้อของของเมียตน และเดินตามหลังเงียบๆ

โจวกุ้ยหลานซื้อของพวกนี้ไปพลาง ก็ยัดของกินในปากเจ้าก้อนน้อยไปพลาง ปากของเสี่ยวไน่เปาไม่ได้หยุดเลย

พอถึงตอนท้าย นางเห็นแม่เฒ่าคนหนึ่งกำลังขายหัวหอม ดวงตาก็เป็นประกาย รีบพุ่งเข้าไป พลางย่อตัวลงมองดูหัวหอมนั้น พลางยิ้มถามแม่เฒ่าว่า “ยาย หัวหอมขายอย่างไรรึ?”