บทที่ 101ใช้เงินก็เป็นงานแรงกายเหมือนกัน

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

คุณยายเห็นของเหล่านั้นที่สวีฉางหลินหิ้วอยู่ในมือ ในใจจึงคาดเดาว่าพวกนางต้องจัดงานมงคลแน่ ดังนั้นจึงลดราคาจากที่ขายปกตินิดหน่อย “หัวหอมจินละสองอีแปะ เจ้าจะเอาสักกี่จิน?”

สองอีแปะ? แบบนี้ก็ลดราคาขนมหัวไชเท้าของได้ไปไม่น้อย

ครั้นโบกมือใหญ่ “เอาสักสิบจินแล้วกัน”

คุณยายดีอกดีใจรับคำทีหนึ่ง หยิบตาชั่งชั่งสิบจิน แล้วใช้กระดาษน้ำมันห่อก่อนจะส่งให้นาง

โจวกุ้ยหลานจ่ายเงิน พอรับมาแล้วก็วางไว้ในตะกร้าของสวีฉางหลิน

เมื่อหันมาก็เห็นตะกร้าใบใหญ่ที่สวีฉางหลินถืออยู่สองมือเต็มหมดแล้ว ซื้ออีกจะหิ้วไม่ไหว ดังนั้นจึงได้แต่กลับไปก่อน

“วันนี้ซื้อได้เท่านี้แล้ว เอาไว้พวกเราค่อยมาซื้อใหม่เถอะ”

กล่าวจบก็รู้สึกเสียดายนิดๆ

สวีฉางหลินที่อยู่ข้างหลังตัวแข็ง ในใจสะดุ้งมากกว่าเดิม

ความสามารถในการใช้เงินของภรรยาตัวน้อยคล้ายว่าจะอยู่เหนือความคาดคิดของเขาอีก…

ถ้าเอาของที่นางซื้อในวันนี้ทั้งหมดไว้บนตัวเขา น่ากลัวว่าเขาคงต้องถูกทับแบนแน่แล้ว…

โจวกุ้ยหลานรู้สึกสบายทั้งกายและใจ สุขสันต์จนออกนอกหน้า

ที่แท้การได้ซื้อๆๆ ตามอัธยาศัยก็รู้สึกดีเช่นนี้นี่เอง!

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ของที่นางซื้อยังโยนให้สวีฉางหลินถือไว้ได้อีกด้วย นางแค่ถือเงินโปรยตามรายทางก็พอ!

ชาติที่แล้วนางมักจินตนาการว่าผู้ชายในอนาคตจะช่วยถือของตามนางจ่ายตลาดอยู่ข้างหลัง คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเป็นจริงแล้ว

ไอ้หยา มีความสุขจังเลย!

โจวกุ้ยหลานเจียนจะเหยียดยิ้มไปถึงหูแล้ว

ไม่ได้ ต้องตั้งใจหาเงิน ต่อไปยังต้องซื้อๆๆ อีก!

เมื่อพวกเขากลับถึงร้านขายธันยพืช พอวางของทั้งหมดลง ก็แทบทำเอาเถ้าแก่ร้านต้องตะลึงไปเลยทีเดียว

ของที่พวกเขาซื้อแทบยัดจนเต็มร้านของเขาแล้ว!

“รบกวนช่วยข้าเอาของพวกนี้ของเถ้าแก่วางบนเกวียนเถอะ พวกเราจะกลับไปแล้วล่ะ” โจวกุ้ยหลานยิ้มตาหยีพลางเอ่ย

พอเถ้าแก่ท่านนั้นถูกโจวกุ้ยหลานเตือนอย่างนี้แล้วจึงคิดได้ “ได้ๆๆ ข้าจะให้เด็กๆ เอาขึ้นเกวียนเดี๋ยวนี้”

กล่าวจบก็หันไปสั่งกับลูกจ้างที่อยู่ข้างหลัง “ช่วยกันขนของเร็วเข้า”

ลูกจ้างเหล่านั้นขานรับอย่างรู้งานทีหนึ่ง จากนั้นก็บรรจุของขึ้นเกวียนที่อยู่ข้างหลังอย่างขยันขันแข็ง สวีฉางหลินก็ขนของไปไว้ข้างหลังอย่างว่องไวด้วย

รอจนพวกเขาจัดเก็บเรียบร้อย ตะวันก็คล้อยจะลับแล้ว

สิ่งของทั้งหมดวางกองเรียงรายจนเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ เกวียนแทบจะวางไม่ลง

หนึ่งครอบครัวสามคนจึงได้แต่นั่งกันอยู่ตามขอบๆ ริมๆ ลูกจ้างนั่งอยู่บนกระสอบธันยพืชขับเกวียน

รอจนพวกเขาถึงหมู่บ้านต้าสือ ฟ้าก็มืดสนิท

เกวียนที่ถูกปกคลุมจนดำถึงตีนเขา หลังจากพวกเขาเอาของลงแล้ว โจวกุ้ยหลานก็อยู่เฝ้าของกับเจ้าก้อนน้อย ส่วนสวีฉางหลินกับลูกจ้างก็เทียวไปเทียวมาขนของขึ้นบนเขา

ยามนี้ บ้านเรือนต่างสว่างไสวด้วยแสงไฟ บ้างเข้านอนพักผ่อนแล้ว ไม่มีใครเห็นว่าพวกเขาขนของเหล่านี้เข้าบ้าน โจวกุ้ยหลานเองก็วางใจไม่น้อยเช่นกัน

เจ้าก้อนน้อยพิงโจวกุ้ยหลาน ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว โจวกุ้ยหลานกอดพลางตบหลังเขา ปลอบประโลมให้เขาหลับ

กระทั่งขนของเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ล้วงเงินห้าอีแปะที่เตรียมไว้แต่แรกให้ลูกจ้าง “รบกวนแล้ว”

ลูกจ้างตะขิดตะขวงไม่กล้ารับอยู่บ้าง “ฮูหยิน เถ้าแก่พวกเรารับเงินแล้ว…”

“นั่นให้เถ้าแก่ นี่ให้เจ้า ซื้อบะหมี่กินระหว่างทางเถอะ” โจวกุ้ยหลานอธิบาย

ลูกจ้างพลันกระจ่าง รับเงินห้าอีแปะมาด้วยความซาบซึ้งแล้วจึงขี่เกวียนจากไป

สวีฉางหลินยื่นมือรับเจ้าก้อนน้อยจากมือโจวกุ้ยหลาน เอ่ย “ไปเถอะ”

โจวกุ้ยหลานไม่ปล่อย “เขาเหนื่อยเพิ่งหลับไป เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันเหมือนกัน ข้ากอดเองเถอะ”

ก่อนหน้านี้ซื้อของก็เป็นสวีฉางหลินถือทั้งหมด เมื่อครู่ขนของเยอะแยะขนาดนั้นก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว นางหักใจไม่ลง

“ข้าไม่เหนื่อย” สวีฉางหลินกล่าวและยื่นมืออุ้มเจ้าก้อนน้อยไป

โจวกุ้ยหลานกลัวว่าหากยื้อยุดจะทำให้เจ้าก้อนน้อยตื่น คิดว่าขึ้นเขาก็พักผ่อนได้แล้วจึงปล่อยมือ

ทั้งสองขึ้นเขาอันมืดมิด โดยมีสวีฉางหลินเดินอยู่ข้างหน้า คอยหักกิ่งไม้ที่อยู่ข้างทางตลอดทางให้ จึงทำให้โจวกุ้ยหลานที่อยู่ข้างหลังเดินสะดวกขึ้นมาก

เมื่อทั้งสองกลับเข้าบ้านก็จุดตะเกียงน้ำมัน จากนั้นโจวกุ้ยหลานถึงเห็นว่าห้องโถงมีของวางอยู่เต็มไปหมด

นางละอายใจนิดๆ เหมือนว่าวันนี้จะซื้อของเยอะเกินไปจริงๆ

สวีฉางหลินพาเจ้าก้อนน้อยเข้าไปวางในห้อง ส่วนโจวกุ้ยหลานก็สาวเท้าไปห้องครัว ก่อฟืนต้มน้ำ ส่วนตัวเองก็เอาอาหารไก่ไปให้ไก่กับนกกระทา

เมื่อถึงจุดที่ให้อาหารเมื่อก่อนหน้า ก็พบว่าพวกมันรออยู่ที่นี่กันแล้ว พอเห็นนางมาก็เข้ามาห้อมล้อม

โจวกุ้ยหลานรีบโปรยอาหารไก่บนพื้น ให้พวกมันกินกันเอง จากนั้นก็ต้อนพวกมันเข้ารัง

เมื่อเสร็จสิ้น นางก็กลับห้องทางเหนือ ยัดฟืนให้เต็มแล้วถึงกลับห้องครัว พบว่าสวีฉางหลินกำลังก่อไฟอยู่

พอเห็นนางมา สวีฉางหลินก็ชี้ถังน้ำที่อยู่ข้างๆ “เตรียมน้ำไว้ให้เจ้าแล้ว”

โจวกุ้ยหลานไม่บอกปัด ยกน้ำไปอาบก่อน

หลังจากอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นสวีฉางหลินยกน้ำขึ้นอาบอยู่ข้างนอก

ราตรีมืดมิด นางเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ จึงกล่าว “เดี๋ยวเจ้าอาบน้ำเสร็จอย่าลืมปิดประตูล่ะ ข้าไปนอนก่อนแล้ว”

นางกล่าวพลางหาวหวอด

ได้ยินสวีฉางหลินรับคำแล้วนางจึงกลับห้องแล้วนอนลงบนเตียง

ไอ้หยา ใช้เงินก็เป็นงานใช้แรงกายเหมือนกันนะเนี่ย…

รอจนสวีฉางหลินเข้าห้อง ก็พบว่าภรรยาของตนหลับปุ๋ยแล้ว เขาจึงนอนลงบนเตียงของตัวเอง

วันนี้เหน็ดเหนื่อยเหลือเกินจริงๆ โจวกุ้ยหลานหลับสนิทปราศจากฝันตลอดคืน

วันรุ่งขึ้นกว่าตาลืมตา ตะวันก็ลอยสูงโด่งแล้ว

สวีฉางหลินหายไปไม่เห็นเงา โจวกุ้ยหลานจึงรีบตื่นนอน ดึงผ้าห่มบนตัวเจ้าก้อนน้อยก่อนจะรีบไปทำงาน

กว่าจะจัดการงานธุระในบ้านเสร็จก็ล่วงเลยมาถึงยามเที่ยงแล้ว

เจ้าก้อนน้อยวิ่งไปวิ่งมาอยู่ข้างหลังนางอย่างเป็นเด็กดี

โจวกุ้ยหลานมองดูสีของท้องนภา ตัดสินใจว่ากลางวันนี้จะทำของอร่อย

นางหยิบผักที่ซื้อเมื่อวาน เมื่อวานนางกวาดมาเรียบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัวก็ซื้อมาไม่น้อย ในบ้านมีมัน เช่นนั้นก็ทำมันฝรั่งตุ๋นเนื้อวัวสัน ผ้าขี้ริ้วเผ็ด แกงฟักกุ้ง สุดท้ายก็ทำข้าวเหนียวนึ่งเนื้อแดดก่อนก็แล้วกัน

เจ้าก้อนน้อยนั่งเผาฟืนอยู่ข้างๆ เตา วางฟืนเข้าไปหนึ่งท่อน จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมองหม้อตาเป็นมัน

โจวกุ้ยหลานนึกขัน คีบกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วหนึ่งอย่างเดินไปอยู่ข้างตัวเจ้าก้อนน้อย แล้วส่งเข้าปากของเขา

“มา ชิมให้แม่หน่อยสิ”

เจ้าก้อนน้อยอ้าปาก รับประทานอาหารที่ท่านแม่ขอเขาส่งมาให้

ความหอมที่อบอวลอยู่ในปากกระตุ้นต่อมรับรสของเขา เจ้าก้อนน้อยร้องได้เพียงเสียงเดียว “อร่อย!”

โจวกุ้ยหลานหัวเราะร่วนอย่างอดไม่อยู่ จากนั้นจึงวางกับข้าวที่ทำเสร็จไว้ในหม้อ ปิดฝารักษาอุณหภูมิ

อากาศหนาวมากขึ้นทุกที พอทำอาหารเสร็จก็เริ่มเย็น

“ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าไปทำอะไรสิน่า หายไปทั้งเช้าเลย” โจวกุ้ยหลานนั่งอยู่ข้างๆ เจ้าก้อนน้อย ช่วยเขายัดฟืนเข้าไปพลางบ่น