ตอนที่ 267 หม่าเถาจอมเจ้าเล่ห์

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 267 หม่าเถาจอมเจ้าเล่ห์

หลินม่ายสีหน้าตกตะลึง “ทำไมจะหย่าและต้องย้ายออกมาด้วยล่ะ? ไม่ย้ายออกมาก็จะหย่าไม่ได้เหรอ?”

“ก็หย่าไม่ได้จริงๆ นะ~” เถาจืออวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้มขื่น “และต่อให้ฉันพาฉีฉีย้ายออกมา ก็ยังไม่แน่ว่าจะหย่าได้หรอก”

“เป็นเพราะการขัดขวางของพ่อแม่คุณเหรอ?”

“พวกเขาเป็นปัจจัยส่วนน้อย แต่ฉันต้องมั่นใจเรื่องหนึ่ง ว่าพวกเขาจะขวางฉันไม่ได้”

เถาจืออวิ๋นรินน้ำเย็นส่งให้กับหลินม่าย “ประเด็นก็คือหม่าเถาน่ะต่อให้ตายก็ไม่ยอมให้หย่า”

หลินม่ายรับน้ำมาดื่มอึกหนึ่ง “คุณก็ไม่ต้องการที่จะอยู่กับเขาต่อไปแล้ว ถึงไม่หย่า คนสองคนผูกติดกันไปก็ไม่มีความหมายอะไร”

เถาจืออวิ๋นแค่นหัวเราะ “คนอื่นเขาไม่ได้ติดแบบนี้เสียหน่อย”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นคนที่ย้ายออมาก็ไม่ควรจะเป็นคุณสิ แต่เป็นสามีของคุณต่างที่ต้องย้ายออก บ้านพักสวัสดิการนั่นเป็นบ้านที่หน่วยงานจัดสรรให้คุณนะ!”

เถาจืออวิ๋นหัวเราะเยาะเย้ย “เธอคิดว่าเขาจะย้ายออกมาเหรอ? เขากลัวว่าย้ายออกมาแล้วการหย่าก็จะเป็นที่แน่นอน อย่างนั้นก็มีแต่ฉันต้องย้ายออกมาเอง จะได้ไม่ต้องเห็นเขาแล้วอยากจะอ้วก!”

หลินม่ายตกตะลึง “อย่างนั้นคุณก็ทิ้งบ้านให้เขาไปเปล่าๆ เลยไม่ใช่เหรอ?”

เถาจืออวิ๋นยิ้มเย็น “ฉันไม่ให้เขาเอาเปรียบหรอก ฉันจะยื่นขอลาออก

ขอแค่ฉันไม่ใช่พนักงานของโรงงานแล้ว ที่โรงงานก็ย่อมเอาห้องคืน ฉันจะรอดูว่าเขาจะดื้อดึงอยู่ที่บ้านนั้นยังไง!”

หลินม่ายอึ้ง “ค่าแลกเปลี่ยนมันจะมากเกินไปหรือเปล่า?”

ถึงแม้ว่าโรงงานในเครือของรัฐตอนนี้จะไม่ได้เจริญมากนัก มีโรงงานมากมายที่จ่ายให้แค่เงินเดือนเท่านั้น

เงินแค่นั้นกินไม่อิ่มแต่ก็ไม่หิวตาย ถึงยังไงก็เป็นหลักประกันอย่างหนึ่ง

นอกจากนี้หลังจากลาออกแล้ว บ้านเองก็หายไปด้วย นอกเสียจากว่าจะซื้อบ้านในอีกสิบปีข้างหน้า หลังจากนี้ก็จะไม่มีบ้านอยู่อาศัยอีกแล้ว

ในดวงตาของเถาจืออวิ๋นสาดประกายแสงอันเด็ดเดี่ยว “ขอแค่สามารถสลัดไอ้นั่นไปได้ ค่าแลกเปลี่ยนอะไรฉันก็ยอมจ่ายได้ทั้งนั้น!”

“แทนที่จะทำแบบนั้น คุณจัดฉากสร้างเรื่องวุ่นวาย บังคับให้เขาย้ายออกไปยังดีกว่า

ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณไปก่อกวนชีวิตเขาแล้ว เขายังกล้าทู่ซี้ไม่ยอมไสหัวไปอีก!”

เถาจืออวิ๋นได้ยินคำพูดของหลินม่าย ก็แสดงสีหน้าเหมือนมวนท้องออกมา “นั่นมัน… กระดากใจมากเลยนี่นา~”

หลินม่ายรู้ว่าเธอรักศักดิ์ศรี แต่เรื่องแบบนี้หากยอมหักไม่ยอมงอ คนที่เสียเปรียบก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น

“ก็จะหย่าร้างกันไปอยู่แล้ว เธอยังจะไปสนใจอะไรนักหนา!”

เถาจืออวิ๋นพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “แต่… แต่ยังไงก็อย่าทะเลาะกันให้น่าเกลียดเกินไป ให้คนอื่นเห็นเป็นเรื่องตลกเลย”

การหย่าร้างกันก็ให้คนอื่นเห็นเป็นเรื่องตลกแล้ว แต่เถาจืออวิ๋นกลับมองเรื่องนี้ไม่ออก หลินม่ายเองก็หมดคำจะพูด

เธอชี้แนะให้เถาจืออวิ๋นแล้ว จะฟังหรือไม่ฟังก็เป็นเรื่องของเธอแล้ว หลินม่ายเองก็จะไม่พูดให้มากความ

เธอควักเงินสองปึกออกมาจากตัว “เงินปึกนี้เป็นเงินค่าเสื้อผ้าที่พวกนั้นที่ฉันซื้อคุณ เงินปึกนี้คือค่าที่คุณทำชุดยูนิฟอร์มให้ฉัน คุณลองนับดูว่าจำนวนถูกต้องหรือเปล่า”

เถาจืออวิ๋นรับเงินสองปึกนั้นมาแล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “ไม่ต้องนับหรอก กับเธอฉันยังต้องกังวลอีกเหรอ?”

“แม้เป็นพี่น้องแท้ๆ เรื่องเงินทองก็ยังต้องชัดเจน คุณนับดูสักหน่อยเถอะ”

ด้วยความความดื้อดึงของหลินม่าย เถาจืออวิ๋นจึงนับเงินดูรอบหนึ่ง แม้แต่เฟินเดียวก็ไม่ขาดและไม่เกิน

เธอถาม “ชุดยูนิฟอร์มพวกนั้นเธอดูแล้วหรือยัง พอใจไหม?”

หลินม่ายพยักหน้า “พอใจ ชุดยูนิฟอร์มทำออกมาให้ความรู้สึกเหมือนโอตกูตูร์ทั้งนั้น ถ้าฉันยังไม่พอใจอีก งั้นฉันก็คงต้องไปสวรรค์แล้วล่ะ”

เถาจืออวิ๋นแย้มยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเธอฟังเข้าใจคำว่าโอตกูตูร์

เธอถามอย่างใคร่รู้ “เสื้อผ้าพวกนั้นเธอใช้เวลานานแค่ไหนถึงขายหมดเหรอ?”

หลินม่ายยื่นนิ้วมือหนึ่งนิ้วออกไป “ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง”

เถาจืออวิ๋นอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ “ทำไมเธอถึงเก่งขนาดนี้กัน ถึงได้ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงได้!

ทุกครั้งที่ฉันตั้งแผงขายเสื้อผ้า เหมือนกับขายขี้หมาอย่างไรอย่างนั้น ขายได้ชิ้นหนึ่งแทบจะจุดประทัดฉลองแล้ว!”

หลินม่ายพูดอย่างแทงใจดำ “ไม่ใช่เพราะฉันเก่งหรอก แต่เพราะคุณหน้าบางต่างหาก”

พวกเราก็ร่วมมือกันเสียเลยสิ คุณรับหน้าที่ทำเสื้อผ้า ฉันรับผิดชอบการขาย

เงินทุนฉันออกเองทั้งหมด เสื้อผ้าหนึ่งตัวให้ค่าแรงคุณสองหยวน คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว!” เถาจืออวิ๋นตอบตกลงด้วยรอยยิ้มทันที “อย่างช้าที่สุดฉันสามารถทำเสื้อผ้าหน้าร้อนได้วันละสิบตัว หนึ่งวันก็เอากำไรได้ 20 หยวนแล้ว!

ต่อให้ลาออกจากงานแล้ว ชีวิตของพวกเราสองแม่ลูกก็ไม่มีปัญหา”

วกกลับมาที่ประเด็นนี้อีกครั้ง

หลินม่ายลังเลอยู่นาน รู้สึกว่าจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมเธอสักหน่อย

“ฉันว่า… อย่าลาออกง่ายๆ เลย ลาออกไปแล้ว สิ่งที่เสียไปไม่ใช่แค่งานกับบ้านพัก เงินบำนาญในอนาคตเองก็หายไปด้วย แก่ตัวไปแล้วจะทำยังไง?”

แม้จะบอกว่าตอนหนุ่มสาวสามารถเก็บเงินไว้ใช้ยามชรา แต่บางทีถ้าเกิดภัยธรรมชาติภัยมนุษย์ขึ้นมา เงินออมสะสมนี้ก็คงเก็บไว้ไม่อยู่

หากมีเงินบำนาญอยู่สักส่วนก็จะไม่มีเรื่องกลุ้มใจพวกนั้น

ถ้าคุณก็ลางานแบบไม่รับเงินเดือนไปเลย แบบนี้ก็สามารถรักษาเงินบำนาญเอาไว้ได้แล้ว

ส่วนบ้านพักนั้น คุณก็ให้เวลาตัวเองได้ใคร่ครวญอย่างน้อยสักปี

ถึงตอนนั้นถ้าไม่อยากเสียหน้าทะเลาะกับสามีของคุณจนต้องกลับมา

คุณก็ค่อยบอกกับโรงงานว่า คุณจะปล่อยห้องพัก ให้โรงงานเก็บคืนไป สามีของคุณก็กร่างกับโรงงานไม่ได้หรอก

อย่างนี้ค่าแลกเปลี่ยนจะไม่น้อยกว่าการลาออกหรอกเหรอ?”

เถาจืออวิ๋นครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า “อย่างนั้นเอาตามที่เธอว่าแล้วกัน”

หลินม่ายยังบอกเรื่องที่ตอนขายเสื้อผ้าคราวก่อน ถูกลูกค้ากดราคาเพราะไม่มียี่ห้อกับเธอ

เถาจืออวิ๋นพูด “เรื่องนี้ไม่ยากหรอก เดี๋ยวฉันไปที่ที่ทำงานแล้วหยิบป้ายยี่ห้อกลับมาสักมัดก็ได้แล้ว”

หลินม่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “เสื้อผ้าที่คุณทำสวยขนาดนั้น ใช้ยี่ห้อของที่ทำงาน มันจะไม่เป็นการโฆษณาให้พวกเขาหรอกเหรอ?

ทำไมฉันต้องไปโฆษณาให้พวกเขาด้วย?”

เถาจืออวิ๋นมองไปที่เธอ “ความหมายของเธอคือ…”

“ความหมายของฉันก็คือ ฉันอยากให้คุณช่วยฉันสืบสักหน่อย ว่าหน่วยงานของพวกคุณสั่งทำป้ายยี่ห้อจากที่ไหน ฉันเองก็ไปสั่งทำเหมือนกัน

ฉันกล้าบอกคุณเหมือนกัน ว่าฉันเป็นคนมีความทะเยอทะยาน ต่อไปฉันอยากเปิดโรงงานเสื้อผ้าสักแห่ง

ตอนนี้คือการอุ่นเครื่อง ขายเสื้อผ้าที่มีแบรนด์ยี่ห้อของตัวเอง เพื่อสะสมกระแสความนิยมของโรงงานเสื้อผ้าในอนาคตเอาไว้”

แม้คำว่า “กระแสความนิยม” จะเป็นศัพท์ที่เถาจืออวิ๋นเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่อย่างไรเธอก็เป็นคนมีวัฒนธรรม จึงฟังความหมายของคำศัพท์นี้ออก

เธอพยักหน้าตอบ “ได้สิ ฉันจะเข้าไปสืบในโรงงานทุกวัน จากนั้นจะบอกเธอว่าสั่งทำป้ายยี่ห้อจากที่ไหน”

เมื่อคุยหารือกันเสร็จ หลินม่ายก็ลุกยืนขึ้นและเดินออกไป

ในตอนนั้นชานหนุ่มที่หน้าตานับได้ว่าหล่อเหลารูปร่างกลางๆ คนหนึ่งก็ถลันเข้าใส

ทันทีที่เข้ามาก็ขอร้องอ้อนวอนให้เถาจืออวิ๋นกลับไปทันที

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จะว่ายังไงก็เป็นแม่คนแล้ว ทะเลาะกันสามสี่วันก็พอแล้ว

ถ้าเธอยังไม่สบายใจ ฉันกลับบ้านไปคุกเข่าสำนึกผิดจนกว่าเธอจะพอใจเลยดีไหม?”

ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่ามีหลินม่ายที่เป็นคนนอกอยู่ตรงนั้นด้วย พูดจาหวานหูออกมา

แต่หลินม่ายเองก็รู้ได้จากคำพูดของเขาเช่นกัน ว่าเขาก็คือหม่าเถาสามีของเถาจืออวิ๋น

เถาจืออวิ๋นพูดด้วยความโมโห “นายอย่ามาทำตัวเหมือนรักฉันนักหนาต่อหน้าคนนอกเลย

ถ้านายดีต่อฉันจริงๆ ก็คงไม่ยึดบ้านไว้แล้วบังคับให้ฉันต้องออกมาเช่าห้องอยู่หรอก!

นายเองก็ไม่ดูบ้างเลยว่าสภาพแวดล้อมของห้องเช่าเลวร้ายแค่ไหน ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างฉันหอบลูกมาด้วยมันอันตรายขนาดไหน!”

ชายหนุ่มยังคงอารมณ์ดี “ดังนั้นฉันก็เลยให้เธอย้ายกลับไปไง!”

“งั้นนายก็ย้ายออกไปสิ ถ้านายไม่ย้ายออกไปฉันกับลูกจะย้ายเข้าไปได้ยังไง?”

ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดี “นั่นเป็นบ้านของฉัน เธอจะให้ฉันย้ายไปที่ไหนล่ะ?”

เดิมทีหลินม่ายไม่อยากจะยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องครอบครัวคนอื่น แต่ไอ้สวะตรงหน้านี่มันหน้าด้านเกินไปจริงๆ

เธอพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “นั่นเป็นบ้านพักสวัสดิการของเถาจืออวิ๋น จะกลายเป็นบ้านของคุณไปได้ยังไง?”

“คุณไม่รู้จักทรัพย์สินร่วมของสามีภรรยาหรือไง?” หม่าเถาค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้า พาลพูดอย่างค่อนข้างขุ่นเคือง

เดินทีหลินม่ายก็ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว จึงจงใจถามเถาจืออวิ๋น “คุณได้ซื้อขาดบ้านพักสวัสดิการของหน่วยงานมาแล้วเหรอ?”

เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “เปล่า หน่วยงานของเราไม่ได้ขายบ้าน”

หลินม่ายแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ในเมื่อเป็นบ้านหลวง แล้วทำไมถึงมีคนพูดว่าเป็นทรัพย์สินร่วมของสามีภรรยากัน?”

เถาจืออวิ๋นตามน้ำไปกับเธอ “คนอื่นเขาหน้าด้านน่ะสิ”

สีหน้าของหม่าเถาเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง สีสันสดใสมากทีเดียว

ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้กลับมามีสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลใหม่อีกครั้ง เขาพูดกับเถาจืออวิ๋น “เอาล่ะ อย่าทะเลาะกันเลย กลับบ้านกับฉันเถอะ ฉันจะทำซี่โครงหมูน้ำแดงที่เธอชอบกินที่สุดให้นะ”

ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเอาอกเอาใจ ถ้าเถาจืออวิ๋นไม่ตอบตกลง คนที่ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงคงตราหน้าว่าเธอไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแน่

มิน่าพอเธอทะเลาะจะหย่า คนนอกถึงได้ยืนอยู่ข้างหม่าเถา เขาเหลี่ยมจัดเหลือเกิน เขาจับทางเสียงวิจารย์ของผู้คนเอาไว้ได้แล้ว