ตอนที่ 268 อดีตของเถาจืออวิ๋น

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 268 อดีตของเถาจืออวิ๋น

เถาจืออวิ๋นหัวเราะเย็นชาขึ้นมา “ทำซี่โครงหมูนน้ำแดงให้ฉันกิน? ก็ยังเอาเงินของฉันจ่าย!”

หม่าเถาพูดอย่างไร้ยางอาย “จ่ายเงินของใครก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? สามีภรรยายังต้องคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?”

เถาจืออวิ๋นคำรามด้วยความโกรธ “เมื่อกี้นายเพิ่งจะพูดว่า ทรัพย์สินของสามีภรรยาใช้ร่วมกันอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?

ฉันก็อยากจะถามนายสักนิด แต่งงานกันมาสองปี นายอยู่ในบ้านเคยออกเงินบ้างสักนิดไหม!

ครอบครัวนี้ฉันเป็นคนเลี้ยง นายไม่ออกเงินเลยสักแดงเดียว นายก็ต้องไม่ให้ฉันคิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว

ถ้าให้นายเลี้ยง นายจะคิดไหม!”

หม่าเถายังคงทำท่าทีอ่อนโยน “คงไม่ใช่เพราะฉันเอาเงินเดือนทั้งหมดไปจ่ายให้พ่อแม่ของฉันแล้ว เธอก็เลยไม่ชอบใจใช่ไหม?

เธอคุยกันด้วยเหตุผลดีไหม พ่อแม่ของเธอล้วนเป็นข้าราชการปลดเกษียณ เงินบำนาญสูงขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ฉันไปช่วยพยุง

พ่อแม่ของฉันต่างก็เป็นชาวไร่ชาวนา ใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบาก ฉันเป็นลูกจะให้เงินเป็นเบี้ยเลี้ยงพวกเขาก็เป็นเรื่องที่ควรแล้วไม่ใช่เหรอ”

เขาเปลี่ยนเป็นท่าทีน้ำใสใจจริง “เธอเป็นลูกสะใภ้ของบ้านฉัน การสนับสนุนให้ฉันกตัญญูต่อพ่อแม่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ทำไมเธอถึงไม่รู้จักอะไรควรไม่ควรเสียบ้าง”

เถาจืออวิ๋นเองก็นับว่าเป็นคนมีคารมคมคาย แต่กลับถูกหม่าเถาพูดด้วยตรรกะไร้สาระจนหมดคำจะพูด เธอจ้องเขม็งมองเขาด้วยความโกรธแค้น

เมื่อนั้นหลินม่ายถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าหม่าเถานั้นคือชายหงส์(1)นี่เอง ทั้งยังเป็นชายหงส์ที่ไร้ยางอายอีกด้วย

เธอเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ถ้าพี่เถาหย่ากับคุณ อย่าว่าแต่คุณเอาเงินเดือนทั้งหมดให้พ่อแม่เลย ต่อให้คุณกรีดเลือดขายตอบแทนพ่อแม่ของคุณ ก็ไม่มีใครห้าม ทำไมยังไม่รีบหย่ากับลูกสะใภ้ที่ไม่รู้จักอะไรควรไม่ควรอย่างพี่เถาอีกล่ะ?”

ในที่สุดหม่าเถาก็เสแสร้งต่อไปไม่ไหว เขาตะคอกใส่หลินม่าย “เรื่องในครอบครัวเรา ไม่ต้องให้คนนอกอย่างเธอมาวิจารณ์ส่งเดช!”

เถาจืออวิ๋นหยิบเก้าอี้พับตัวเล็กทุบไปยังหม่าเถา “นายกล้าตะคอกใส่เพื่อของฉัน ฉันจะตีนายให้ปางตาย!”

การทุบครั้งนี้ไม่ใช่เบาๆ เก้าอี้พับตัวนั้นถูกทุบจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

หลินม่ายรีบร้อนปิดตาของฉีฉีเอาไว้ ไม่อยากให้เขามองเห็นภาพความรุนแรงนี้

หม่าเถาลูบในตำแหน่งที่ถูกตี แล้วพูดอย่างลนลาน “ทำไมยังตีอยู่อีกล่ะ?”

เถาจืออวิ๋นเชิดคางขึ้นแล้วพูด “ไม่หย่าก็จะตี!”

หม่าเถาพูดต่อ “ฉันรักเธอ ฉันหย่ากับเธอไม่ได้ เธอใจเย็นลงก่อนเถอะ อีกสองวันฉันจะมารับเธอกลับบ้านอีกครั้ง” แล้วก็วิ่งออกไป เดาว่าคงจะกลัวโดนตีอีก

เมื่อนั้นหลินม่ายถึงได้ปล่อยมือที่ปิดตาฉีฉีเอาไว้ลง

เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบอย่างมึนงง ก็นึกว่าเขากำลังตระหนกตกใจ จึงโอบเขามาไว้ในอ้อมกอด ปลอบโยนอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัวนะไม่ต้องกลัว คุณน้ากับคุณแม่จะปกป้องหนูเอง”

ฉีฉีพูดเสียงเล็ก “ผมไม่กลัว~”

เถาจืออวิ๋นได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ “ฉีฉีเขาชินชาไปตั้งนานแล้ว

ต่อให้เพื่อตัวฉีฉี ฉันเองด็ต้องหย่ากับไอ้สวะนี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางสร้างสภาพแวดล้อมในการเติบโตที่ดีให้ฉีฉีได้”

หลินม่ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

เถาจืออวิ๋นกอดฉีฉีไว้ในอ้อมอก เธอยิ้มขื่น “ก็ไม่ผิดหรอกที่แม่ฉันจะโกรธฉัน เป็นฉันเองที่ไม่ฟังคำพูดของผู้ใหญ่แต่แรก เสียเปรียบอยู่ทนโท่ ก็ยังใจแข็งจะแต่งกับไอ้สวะนั่นให้ได้”

ฉีฉียกมือเล็กขึ้นมา เช็ดน้ำตาให้เถาจืออวิ๋น

หลินม่ายเอ่ยปลอบเธอ “นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ ต้องโทษหม่าเถาที่เสแสร้งทำเป็นอ่อนโยนเก่งนัก สาวน้อยที่ไร้ประสบการณ์สักกี่คนที่จะมองออก?”

เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนนั้นฉันถูกความอ่อนโยนของเขาหลอก

ตอนนี้ฉันหลงใหลกับการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง และไปเรียนเล่นสเก็ตที่ลานสเก็ตน้ำแข็ง แต่กลับเจอกับอันธพาลสามสี่คนมาพัวพัน เป็นเขาที่ช่วยฉันวิ่งหนีพวกอันธพาล

ต่อมา ฉันไปที่ลานสเก็ตน้ำแข็งอีกครั้ง เขามักจะคอยปกป้องฉันอยู่อย่างเงียบๆ เสมอ กระทั่งตามหลังฉัน แอบมาส่งฉันกลับบ้าน

และฉันก็ได้เกิดความรู้สึกสนใจ ตกหลุมรักเขาด้วยเหตุนี้

หลังจากเราสองคนคบหากัน เขาก็ยิ่งดียิ่งอ่อนโยนกับฉันมากขึ้น

มีครั้งหนึ่ง ฉันบอกว่าฉันอยากกินทังเปาของซื่อจี้เหม่ย เขาก็ไปต่อแถวซื้อมาให้แต่เช้าตรู่ ต่อแถวอยู่สามชั่วโมงเต็มๆ ถึงซื้อมาได้

แต่ตอนที่เขาเอาทังเปามาให้ฉันราวกับมอบของล้ำค่าให้ ความอยากนั้นของฉันมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่อยากกินแล้ว เขาก็ยังไม่โกรธ

ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ที่ฉันยอมรับในตัวเขา จะต้องแต่งงานกับเขาให้ได้ ไม่ว่าพ่อแม่จะขัดขวางยังไงก็ไม่มีประโยชน์”

หลินม่ายถามอย่างสงสัย “สุดท้ายหลังแต่งงานค้นพบว่าเขาไม่ได้อ่อนโยนจริงๆ แต่กลับเป็นเพียงวิธีการเพื่อให้คุณจ่ายค่าตอบแทน ตอนนั้นทำไมคุณไม่หย่ากับเขา แล้วยังมีลูกกับเขาอีกล่ะ?”

น้ำตาในดวงตาของเถาจืออวิ๋นไหลพรากไม่หยุด แต่มุมปากกลับยังประดับด้วยรอยยิ้ม “เพราะรักและไม่เต็มใจ”

หลินม่ายได้ยินคำพูดพวกนั้น ราวกับสายฟ้ากัมปนาท ยิ่งเป็นดั่งการเบิกเนตรพบทางสว่าง

ชาติก่อน รู้อยู่แท้ๆ ว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่ชอบตนเอง เพียงแค่เห็นตนเป็นเครื่องมือหาเงินของพวกเขาเท่านั้นเอง

แต่เพราะความรักและอาวรณ์ที่จะเลิกกัน เพราะสิ่งที่ต้องแลกมีมากเกินไป ไม่เต็มใจที่จะเลิกรา สุดท้ายก็ฝังตัวเองทั้งเป็น

เธอถาม “อย่างนั้นตอนนี้ทำไมถึงยอมเลิกกันแล้วล่ะ?”

เถาจืออวิ๋นวาบประกายเศร้าหมองในแววตา “เพราะว่า เขาไม่อาจลืมรักแรกของเขาได้

เมื่อก่อนตอนที่เขาเรียนมัธยมต้น เคยมีช่วงเวลาที่ดีกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งสองคนเกลือกกลิ้งไปด้วยกันบนพื้นหญ้า ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่ในป่าเล็กๆ ด้วยกัน

เพียงแต่เด็กสาวคนนั้นไม่ยอมอยู่ที่ชนบทต่อไป เธอทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะแต่งงานเข้าเมือง ทั้งสองคนจึงไม่ได้คบกัน แต่ก็รักษาความสัมพันธ์กันเรื่อยมา

ต่อมาหลังจากที่พวกเราสองคนแต่งงานกันแล้ว เพื่อนหญิงรักแรกของเขากลับหย่าร้าง

ผู้หญิงคนนั้นต้องจะคบกับหม่าเถา

ตอนนี้เขาเองก็เป็นคนเมืองแล้ว ทั้งยังมีงานมีการ สามารถเลี้ยงเธอได้แล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำงานพาร์ทไทม์อีก

ทั้งสองคนจู่ๆ ก็แสดงละครความรักลำเค็ญ ครั้งเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่มันหลายครั้งหลายครา

เรื่องนี้ก็ช่างเถอะ หม่าเถายังคงสัมพันธ์คลุมเครือกับเด็กสาวในหมู่บ้านและแม่หม้ายสองสามคนในโรงงานอีก

ถึงแม้ฉันจะรักเขามาก แต่ความรักเองก็จืดจางไปในความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้วเล่าได้เหมือนกัน

เมื่อไร้รักแล้ว ก็ย่อมต้องปล่อยมือ”

หลินม่ายถามอย่างไม่เข้าใจ “ที่หม่าเถาไม่ชัดเจนกับผู้หญิงคนอื่น เรื่องลับๆ ขนาดนั้นคุณพบเข้าได้ยังไง?”

เถาจืออวิ๋นหัวเราะเย็นชา “ถ้ามันลับมากจริงๆ ก็ดีไป ฉันยอมไม่รู้เรื่องบ้าๆ พวกนี้เสียยังดีกว่า

บางครั้งการอยู่อย่างไม่รู้ความจริงก็มีความสุขกว่า

ก็ไม่รู้ว่าไอ้สวะนั่นมันโง่หรือจงใจ ทุกครั้งที่ไปนัวเนียกับผู้หญิงคนอื่น เขามักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ฉันเจอไม่น้อย

แต่ทุกครั้งที่ฉันจับได้ เขาก็คุกเข่าบนพื้นขอให้ฉันยกโทษให้เสมอ ให้คำมั่นกับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเขาจะไม่มีทางไปยุ่มย่ามกับผู้หญิงคนไหนอีกแน่นอน”

หลินม่ายพูดแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “สุดท้ายคุณก็พบว่า คำว่า “แน่นอน” ที่ออกมาจากปากของผู้ชายก็เหมือนกับคำสัญญาต่างๆ นาๆ ที่ให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้งระหว่างพรรคของต่างประเทศ ไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย”

เธอพูดเสียจนเถาจืออวิ๋นขบขัน “เธอเปรียบเทียบได้เห็นภาพจริงๆ”

หลินม่ายถาม “คนที่เป็นรักแรกของหม่าเถาทำลายครอบครัวของคุณ แต่คุณก็ปล่อยหล่อนไปทั้งอย่างนั้นเหรอ?

ต่อให้หย่ากันไป ก็ต้องทำลายชื่อเสียงของเธอถึงจะสาสม”

เถาจืออวิ๋นโบกมือไปมา พูดอย่างละอาย “อย่าพูดถึงเลย หลายๆ ครั้งฉันโกรธจนแทบอยากจะจัดการผู้หญิงคนนั้นให้เหี้ยนเสียเลย

ฉันเดินไปถึงหน้าประตูที่ทำงานของผู้หญิงคนนั้นแล้ว แต่พอคิดว่าต้องทะเลาะกันแย่งผู้ชายที่ไม่คู่ควรจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกลางที่สาธารณะ คนอื่นเขาจะมองเป็นเรื่องตลก ก็ไม่มีความกล้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย”

หลินม่ายเอ่ยอย่างหมดคำพูด “คุณหน้าบางเสียขนาดนี้ เสียเปรียบเกินไปแล้ว”

เถาจืออวิ๋นแบมือ “ฉันเองก็รู้ แต่ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้หรอก”

ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนอกหน้าต่างก็ฉายแสงโพล้เพล้ไปเสียแล้ว

เมื่อนั้นหลินม่ายถึงรู้สึกตัวว่าเวลาเริ่มเย็นแล้ว จึงรีบผุดลุกขึ้นบอกลาเถาจืออวิ๋น แล้วกลับบ้านอย่างรีบร้อน

(1) ชายหงส์(凤凰男) หมายถึง ผู้ชายที่มีพื้นเพมาจากชนบท และมุมานะเข้ามาสร้างรากฐานในเมือง แต่มักจะยังคงมีความคิดและทัศนคติคงเดิม