ตอนที่ 269 ขายถุงน่อง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 269 ขายถุงน่อง

หลินม่ายยังไม่ทันเดินไปถึงถนนเจี่ยเฟิง ก็เห็นฟางจั๋วหลานอุ้มโต้วโต้วยืนอยู่ที่ทางแยกกำลังมองไปรอบๆ ตั้งแต่ไกลๆ

แสงสายัณห์ในฤดูร้อนย้อมพวกเขากลายเป็นสีเหลืองทอง แต่กลับอบอุ่นและงดงามถึงขนาดนั้น

หลินม่ายสาวเท้าวิ่งไปหาพวกเขาในอึดใจเดียว เธอถาม “อากาศร้อนขนาดนี้ พวกคุณออกมาทำไมกันคะ?”

ฟางจั๋วหลานพูดอย่างอ่อนโยน “คุณกลับมาช้าขนาดนี้ พวกเราก็เป็นห่วงน่ะสิ”

หลินม่ายคล้องแขนของเขาเอาไว “เดิมทีก็กลับมาได้ตั้งนานแล้ว แต่ไปเจอผู้ชายของพี่อวิ๋นเข้าที่นั่นน่ะ ก็เลยเสียเวลา”

ฟางจั๋วหลานฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ “ผู้ชายของเธอเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ? ทำไมถึงเสียเวลาให้คุณกลับบ้านช้าได้ล่ะ?”

หลินม่ายเล่าต้นสายปลายเหตุให้เขาฟัง แล้วถาม “คุณมีเพื่อนหญิงที่เป็นรักแรกหรือเปล่า? คุณจะไปพัวพันกับเธอไหมคะ?”

ฟางจั๋วหลานตอบกลับอย่างเด็ดขาด “ไม่!”

หลินม่ายอึ้ง

เธอแค่ถามไปเรื่อยเท่านั้น ไม่นึกว่าฟางจั๋วหลานจะมีรักครั้งแรกจริงๆ

แต่ว่าเมื่อคิดถึงอายุอานามของเขาแล้ว จะมีรักครั้งแรกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา

หลินม่ายอยากจะถามเขามาก ว่ารักแรกของเขาเป็นคนแบบไหน

แต่คิดไปคิดมา เธอก็กลืนคำพูดกลับลงไป

ใครจะไม่มีเรื่องราวในอดีตเลยล่ะ จะซักฟอกเขาให้สะอาดขนาดนั้นไปทำไม เขายังไม่เคยถามถึงอดีตของตนเลย

หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว หลินม่ายก็ตั้งแผงลอย

เอาเสื้อผ้าที่ซื้อกลับมาจากกว่างโจวทั้งหมดขึ้นแผง พร้อมกับถุงน่องอีกหนึ่งพันคู่

เพื่อให้ขายถุงน่องยาวได้ง่าย หลินม่ายจึงเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อแขนค้างคาวและกระโปรงทรงสอบรัดรูป ก็สามารถโชว์ท่อนขาเรียวสวยที่ทั้งยาวและตรงคู่หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อสวมถุงน่องดำเข้าไปอีก ราวกับนางแบบโฆษณาถุงน่องดำก็ไม่ปาน

ฟางจั๋วหลานเห็นแล้ว พลันเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากเล็กน้อย

หลินม่ายแกล้วพูดเกินจริง “คุณน้ำลายไหลเลยเชียว?”

ฟางจั๋วหลานยกมุมปาก “ใช่แล้ว อยากจะกินจนน้ำลายไหลแล้ว เมื่อไหร่คุณจะให้ผมกินล่ะ?”

หลินม่ายพลันหน้าแดงเรื่อ

โต้วโต้วฟังคำพูดของในตอนนี้ของพวกเขาไม่เข้าใจ เมื่อได้ยินคำว่า “กิน” ก็นึกว่ามีของอร่อยไม่ให้เธอกิน จึงกระโดดหยองๆ ด้วยความกระวนกระวาย “คุณอา คุณแม่ มีของอร่อยอะไรเหรอ? หนูก็อยากกินด้วย!”

ฟางจั๋วหลานพลันอุ้มเธอขึ้นมา “พวกเราทั้งหมดจะตามคุณแม่ไปตั้งแผงลอยด้วยกัน เห็นอะไรน่ากินก็ให้คุณแม่ออกเงินซื้อให้ หนูคิดว่ายังไง?”

โต้วโต้วตบมืออยู่ในอ้อมแขนของเขาพลางพูดเสียงเจื้อยแจ้ว “ดีค่ะ!”

ถนนเจียงฮั่นวุ่นวายกว่าตอนที่หลินม่ายมาครั้งก่อนเสียอีก เหล่าพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยผิดหูคำเดียวก็ทะเลาะด่าทอถึงขึ้นลงไม้ลงมือ

ทว่าพื้นที่ตั้งแผงของหลินม่ายนั้นว่างเปล่าไม่มีใครกล้าครอบครอง

ฟางจั๋วหลานและหลินม่ายสองแม่ลูกเพิ่งจะตั้งแผงลอย ก็มีลูกค้าประจำสองสามคนเดินเข้ามา

เมื่อเห็นหลินม่ายก็พูดขึ้น “คุณให้พวกเรามาดูสินค้าในอีก5วัน พวกเรามาทุกวัน วันนี้ก็กำลังรอคุณอยู่เลย!

ผ้าสักหลาดกับชุดขนสัตว์ฤดูหนาวที่เราต้องการคุณได้เอากลับมาให้เราด้วยหรือเปล่า?”

หลินม่ายส่ายหน้าอย่างรู้สึกเสียใจ “ขออภัยจริงๆ ค่ะ ครั้งนี้หาสินค้ามาไม่ได้เลย”

ลูกค้าประจำสองสามคนนั้นแสดงสีหน้าผิดหวัง

เธอชี้ไปยังกองถุงน่องขายาวนั้น “ครั้งนี้หามาได้แค่ถุงน่องยาวพวกนี้ค่ะ”

เหล่าลูกค้าประจำก้มหน้าลงมองถุงน่องยาวพวกนั้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

ลูกค้าคนหนึ่งถามอย่างไม่ยอมตัดใจ “ครั้งหน้าจะสามารถหาสินค้าที่พวกเราต้องการมาได้ไหมคะ?”

หลินม่ายขมวดคิ้วยิ้ม “นั่นมัน… ก็พูดยากน่ะค่ะ…”

ลูกค้าประจำสองสามคนนั้นมาด้วยความฮึกเหิม แต่จากไปด้วยความผิดหวัง

ไม่นานนัก ก็มีคนมาเลือกซื้อเสื้อผ้าที่แผงของหลินม่ายอย่างไม่ขาดสาย

คนเหล่านั้นเลือกดูเสื้อผ้าไปพลาง เหลือบมองขาทั้งสองของหลินม่ายเป็นครั้งคราว

มีเด็กสาวคนหนึ่งซื้อกระโปรงทรงสอบตัวหนึ่งจากหลินม่าย เดินออกไปไกลแล้วย้อนกลับมาอีกครั้ง

หล่อนชี้ไปยังขาคู่นั้นของหลินม่ายแล้วถาม “ถุงนองที่คุณใส่อยู่มีขายไหมคะ?”

หลินม่ายตกตะลึง ถุงน่องกองเบ้อเริ่มกองอยู่บนพื้น หล่อนคงไม่ได้มองไม่เห็นหรอกนะ

เธอชี้ไปยังกองถุงน้องนั้นแล้วพูดขึ้น “มีขายแน่นอนอยู่แล้วค่ะ พวกนี้เป็นถุงน่องทั้งหมดเลยค่ะ”

เด็กสาวคนนั้นเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น “พวกนี้คือถุงน่องนี่เอง ฉันยังนึกอยู่เลยว่ามันคืออะไรน่ะค่ะ!”

ตอนนั้นหลินม่ายถึงเพิ่งค้นพบว่าตนละเลยปัญหาหนึ่งไป

ถุงน่องพวกนี้มาจากต่างประเทศ ตัวอักษรด้านบนนั้นเองก็ล้วนเป็นภาษาตะวันตก

ในยุคนี้ คนทั่วไปใครจะไปรู้จักภาษาตะวันตกกัน!

ยิ่งบวกกับร้านค้าทั่วไปในประเทศไม่มีขายถุงน่อง และถุงน่องที่บรรจุหีบห่อก็มีไม่กี่คนที่เคยเห็น

เมื่อประกอบสองปัจจัยเข้าด้วยกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครมองถุงน่องกองโตขนาดนี้ออกเลย

เด็กสาวคนนั้นย่อตัวลงเลือกดูถุงน่อง แล้วถาม “ถุงน่องนี้คุณขายยังไงคะ?”

ในร้านเฟรนด์ชิพสโตร์สำหรับเพื่อนชาวต่างชาติ ขายถุงน่องยาวคู่ละ5หยวน

หลินม่ายคิดไปคิดมา “คู่ละ4หยวนค่ะ แต่ว่าคุณเป็นลูกค้าคนแรกที่ซื้อถุงน่อง

เปิดกิจการ ฉันขายให้คุณ3หยวน แต่ซื้อได้มากสุดแค่2คู่เท่านั้นนะคะ”

เด็กสาวดีใจมาก

แต่ไม่กี่นาทีต่อมา หล่อนก็ไม่ได้ซื้อถุงน้องเลยแม้แต่คู่เดียว ก่อนลุกขึ้นกำลังจะเดินจากไป

หลินม่ายถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมถึงไม่ซื้อแล้วล่ะคะ?”

เด็กสาวยิ้มอย่างขอโทษ “ถุงน่องแพงขนาดนี้มันแกะดูก่อนไม่ได้ ฉันกลัวว่าจะซื้อของที่มีตำหนิไปค่ะ อย่างนั้นคงจะสิ้นเปลืองเงินเกินไป”

“ใครบอกว่าแกะดูไม่ได้กันล่ะคะ? ดูคู่ไหน ก็เอามาเปิดดูได้ตามสบาย ชิ้นที่มีปัญหาแค่โยนมาให้ฉันก็พอแล้ว”

เด็กสาวได้ยินคำพูดนั้น ก็ย่อตัวลงเลือกถุงน่องอีกครั้ง หล่อนเลือกถุงน่องขึ้นมาสองคู่อย่างรวดเร็ว แล้วแกะออกมาเช็คคุณภาพ

มีเด็กสาวสองสามคนเดินเข้า ถามอย่างสงสัย “นี่คือถุงน่องขายาวเหรอ?”

เด็กสาวคนนั้นพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

เมื่อเห็นว่าถุงน่องที่ตนเลือกนั้นไม่มีปัญหา จึงจ่ายเงินแล้วจากไป

หลินม่ายเห็นว่ามีคนมากมายรู้แล้วว่าเธอมีถุงน่องขาย จึงตะโกนอย่างตรงไปตรงมา “ถุงน่องขายาว ทั้งสีเนื้อ สีดำมีทั้งนั้น คู่ละ4หยวน จ่ายเงินแล้วตรวจดูได้เลย มีปัญหาด้านคุณภาพคืนได้ทันที”

ถุงน่องขายาวราคา4หยวนถูกกว่าของร้านเฟรนด์ชิพสโตร์1หยวน นอกจากนี้หากมีปัญหาด้านคุณภาพก็คืนเงินได้ทันที

ที่ร้านเฟรนด์ชิพสโตร์นั้นต่อให้คุณจ่ายเงินแล้ว แต่หากปรากฏว่ามีปัญหาด้านคุณภาพก็ไม่รับคืน

เพราะฉะนั้นคำพูดไม่กี่คำของหลินม่ายจึงดึงดูดเด็กสาวไม่น้อยให้เข้ามาซื้อ ถุงน่องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่งผลให้ธุรกิจเสื้อผ้าของหลินม่ายเองก็เฟื่องฟูไปด้วย

ว่านฮุ่ยและเพื่อนนักเรียนชายหญิงสี่ห้าคนพูดคุยหัวเราะขณะเดินเที่ยวตลาดกลางคืน

ผู้หญิงหนึ่งในนั้นชี้ไปที่หลินม่ายแล้วพูดขึ้น “พวกเธอรีบดูเร็ว นั่นใช่เพื่อนหลินม่ายหรือเปล่า?”

ทุกคนมองตามไปยังทิศทางที่เธอชี้ไป “จริงๆ ด้วย!”

ผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อเหยียนเหวินเล่อพูดแนะนำ “พวกเราเข้าไปทักทายเธอกันเถอะ”

ว่านฮุ่ยพลันชักสีหน้าขึ้นมา

เหยียนเหวินเล่อและเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นด้วยกันมาตั้งแต่ประถม ทั้งสองเรียนด้วยกันจนถึงมัธยมต้น ทั้งแอบชอบกันมานานแล้ว เพียงเพราะยังเด็ก จึงไม่เคยสารภาพรักกันมาก่อนเท่านั้น แต่ก็รู้อยู่ในใจของกันและกันอยู่แล้ว

ว่านฮุ่ยวางแผนว่าจะรอให้ผลสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายออกมาก่อน หากตนสอบติดโรงเรียนที่หวังไว้ ก็จะสารภาพรักกับเหยียนเหวินเล่อ

แต่ก่อนที่เธอจะสารภาพรัก เหยียนเหวินเล่อก็ราวกับสนใจในตัวหลินม่ายเป็นอย่างมาก ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในใจของว่านฮุ่ยจึงเต็มไปด้วยความริษยาต่อหลินม่าย

เธอพูดอย่างนุ่มนวล “ไม่ดีหรอก ปกติก็ไม่เคยคุยกันเลยนี่นา~”

เหยียนเหวินเล่อพูด “ก็เพราะปกติไม่เคยคุยกันนี่แหละ ตอนนี้ถึงได้ยิ่งต้องเข้าไปทักทาย ต่อไปเจอกันอีกจะได้พูดคุยกันได้ง่าย ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าไปจริงๆ นะ”

ว่าดังนั้น เขาก็หันหน้าเดินไปทางแผงของหลินม่ายทันที คนอื่นๆ เองก็เดินตามไปด้วย

ว่านฮุ่ยเห็นเช่นนั้น ก็จำเป็นต้องเดินไป

เมื่อทุกคนมาถึงหน้าแผงของหลินม่าย ก็ทักมายเธออย่างตื่นเต้น “เพื่อนหลินม่าย เธอตั้งแผงลอยอยู่ที่นี่เองเหรอ?”

แม้ว่าหลินม่ายจะไม่เคยพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่ก็เคยเจอหน้ากันอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้เธอจึงจำพวกเขาได้

เธอตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว” แล้วก็ไม่ได้พูดคุยกับพวกเขาอีก

ธุรกิจกำลังยุ่งมาก จนเธอไม่มีเวลาคุยเล่นกับพวกเขาเลย

เหยียนเหวินเล่อเห็นดังนั้น ก็พูดกับหลินม่ายว่า “งั้นเธอทำงานเถอะ พวกเราไปก่อนนะ”

แล้วจึงพาพวกของว่านฮุ่ยจากไป

ว่านฮุ่ยเก็บกลั้นความหึงหวงในใจไว้ไม่อยู่ เธอจงใจป้ายสีหลินม่าย “เพื่อนหลินม่ายวางมาดใหญ่โตเสียจริง ไม่แยแสพวกเราเลย”

ผู้หญิงบางคนเดิมทีก็หดหู่เล็กน้อยเพราะหลินม่ายไม่สนใจพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก็พากันแสดงออกว่ารู้สึกเช่นเดียวกัน

เหยียนเหวินเล่อขมวดคิ้วพูด “พวกผู้หญิงอย่างพวกเธอน่ะชอบคิดมาก ไม่เห็นเหรอว่าเพื่อนหลินม่ายงานยุ่งมากน่ะ?”

ผู้ชายสองสามคนพากันพยักหน้า

เมื่อว่านฮุ่ยเห็นเหยียนเหวินเล่อกับพวกผู้ชายทั้งหมดต่างช่วยพูดให้หลินม่าย ก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

หลินม่ายทำการค้า โต้วโต้วกับฟางจั๋วหลานก็เล่นเกมกันอยู่ด้านหลังเธอ พร้อมกับช่วยเธอดูแผงไปด้วย

โต้วโต้วเห็นว่าเด็กสาวคนหนึ่งยังไม่จ่ายค่าถุงน่อง ก็เอาถุงน่องยัดเข้าไปในถุง แล้วเตือนหลินม่ายเสียงเจื้อยแจ้ว “คุณแม่คะ พี่สาวแสนสวยคนนั้นซื้อถุงน่องสามคู่ แม่ลืมเก็บเงินเธอไปค่ะ”

ที่บ้านทำการค้าขาย โต้วโต้วได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินอยู่ประจำ จึงมีอีคิวสูงและพูดเก่งมาก

เด็กสาวคนนั้นบีบใบหน้าเล็กๆ ที่ตอนนี้กำลังอวบอ้วนของเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหนูหัวไว กลัวฉันจะไม่จ่ายเงิน”

พวกของเหยียนเหวินเล่อยังเดินไปไม่ไกลนัก เสียงของโต้วโต้วจึงดังเข้าหูของพวกเขาทั้งหมด ทุกคนพลันหันกลับไปมองด้วยความตกตะลึง

ผู้หญิงคนหนึ่งพูดอย่างเหลือเชื่อ “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าลูกของหลินม่ายจะโตขนาดนี้แล้ว เธออายุแค่18ปีเองไม่ใช่เหรอ?”

ว่านฮุ่ยพูดอย่างดูแคลน “เด็กผู้ชายบ้านนอกแต่งงานกันเร็วทั้งนั้น คนที่แต่งงานตอนอายุสิบห้าสิบหกก็ไม่น้อย”

ขณะที่พูด เธอก็เหลือบตามองเหยียนเหวินเล่อเล็กน้อย และเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจออกมาเลย แต่เป็นความผิดหวังเสียใจอย่างมาก