พอนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในปีนั้น แววตาของชายชราก็แลดูเหม่อลอยไปเล็กน้อย
ในปีนั้นขณะที่อ๋องเฉียนไปล่าสัตว์ ก็ได้ถูกกลุ่มมือสังหารเข้าจู่โจม และด้วยความที่ยอดฝีมือผู้ติดตามของอ๋องเฉียนถูกล่อเสือออกจากถ้ำ จนไปตามล่ามือสังหารกลุ่มนกต่อ ก็มีมือสังหารอีกคนหนึ่งที่แฝงตัวอยู่รอคอยโอกาสเหมาะ…ด้วยความบังเอิญ มันที่เป็นสารถีขับรถม้าก็สังเกตเห็นเข้าพอดี!
มือสังหารดั่งอสรพิษพุ่งร่างลงมือฉับไว อย่างที่อ๋องเฉียนไม่ทันได้ตั้งตัว..เสียวพริบตาดาบสังหารก็แทบจะทะลวงตัดขั้วหัวใจอ๋องเฉียนอยู่รอมร่อ!
หากแต่มันที่เห็นความเคลื่อนไหวแต่แรก กลับปราดเข้าไปขวางไว้ดั่งโลมนุ่ษย์ได้ทันเวลา ทำให้อ๋องเฉียนรอดพ้นความตายมาได้…
และอาศัยการขวางดาบสังหารนั้นไว้ได้ทันท่วงที ทำให้ยอดฝีมือผู้ติดตามอ๋องเฉียนที่ถูกล่อออกไป มีเวลาย้อนกลับมาฆ่ามือสังหารคนนั้นได้ทันกาล ก่อนที่จะเกิดวามเปลี่ยนแปลงใดอื่น
และตอนนั้นตัวมันที่พุ่งไปรับดาบก็สาหัสปางตาย
อย่างไรก็ตามด้วยอำนาจของอ๋องเฉียน หมอหลวงและโอสถทิพย์ทั้งหลายของราชวงศ์จึงถูกประเคนมารักษามันอย่างเต็มที่ ฉุดดึงมันออกจากหุบเหวแห่งความตายมาได้สำเร็จ!
ในตอนนั้นวันที่มันฟื้นขึ้นมาอ๋องเฉียนได้ให้คำมั่นแก่มันเอาไว้ ว่าจะเต็มใจรับปากตามคำขอมันเรื่องหนึ่ง ขอเพียงอยู่ในขอบเขตความสามารถ ใดๆในหล้าล้วนจัดให้มันได้ทั้งสิ้น
ตอนนั้นมันก็แค่สารถีธรรมดาๆคนหนึ่ง จึงไม่ได้ยึดถือคำมั่นของอ๋องเฉียนเป็นจริงจังอะไร
และด้วยมันได้ประสบเหตุการณ์ลอบสังหารอันน่ากลัวครั้งนั้น ทำให้มันหวาดกลัวไม่น้อย รวมถึงมันเองก็รู้ดีว่าในเวลานั้นอ๋องเฉียนคือผู้มีความสามารถอีกทั้งยังมีความทะเยอทะยานสูง วันหน้าต้องพบพานการลอบสังหารไม่รู้จบเป็นแน่
มันก็แค่คนตัวเล็กๆไร้สำคัญ หากแต่หนึ่งชีวิตของตัวยังมีผู้ใดไม่รัก?
ภายใต้ความกลัวในเรื่องราวเหล่านี้ทำให้มันเลือกที่จะออกจากการรับใช้อ๋องเฉียน รวมถึงออกจากเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตั้งรกรากในหุบเขาแถบชายแดนใต้ สุดท้ายจึงได้ก่อตั้งกลุ่มโจรของมันขึ้นมา
แต่แน่นอนว่าก่อนที่มันจะออกจากวัง อ๋องเฉียนก็ย้ำคำมั่นต่อมันอีกครั้ง ว่าสัญญานี้จะคงอยู่ตลอดไป…
มันก็คิดว่าจะไม่ได้ใช้คำมั่นสัญญาดังกล่าวแล้ว ทว่าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งน้องสามของมันกลับต้องมาถูกฆ่าตาย…แถมมันรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือลึกลับดังกล่าว มันจึงนึกถึงคำมั่นสัญญาของอ๋องเฉียนขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้มันจึงรอนแรมเดินทางหวนคืนสู่เมืองหลวงศิวิไลซ์อีกครั้ง หมายทวงคำมั่นสัญญาดังกล่าว
อนิจจามันนับว่าโชคร้ายนัก พอมาถึงก็พบว่าอ๋องเฉียนอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน ทำให้มันได้แต่พักในจวนรับรองแขกเพื่อรอเวลาเข้าเฝ้า
จนวันนี้อ๋องเฉียนได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้ว จึงให้คนมาตามมันเข้าเฝ้า
ภายใต้การนำของชายวัยกลางคนหัวล้าน ไม่นานชายชราก็ได้มาถึงหน้าจวนอ๋องอันยิ่งใหญ่
(ขอเปลี่ยนตำหนักอ๋อง เป็นจวนอ๋องนะครับ)
หน้าจวนปรากฏองค์รักษ์พิทักษ์ในชุดเกราะเต็มยศนับสิบๆ ยืนเรียงรายเป็นแถว สองตาทั้งหมดแลดูคมกล้า บรรยากาศดุร้ายน่าเกรงขาม กอปรทั้งการเคาะหอกลงพื้นเป็นการต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง พาลให้รู้สึกเสมือนมีสนามพลังสะกดข่มประการหนึ่งกำจายออก
“เรียนท่านอ๋อง เยี่ยมู่ไป๋ มาถึงแล้ว”
ชายวัยกลางคนหัวล้านกล่าวคำหน้าโถงจวนด้วยความเคารพ
“ฮ่าๆๆ เยี่ยมู่ไป๋มาแล้วหรือ ยังไม่รีบพาเข้ามาอีก!”
ทันใดนั้นเองมีเสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นจากภายในห้องโถง ชายชราที่มีนามว่า เยี่ยมู่ไป๋ ย่อมจดจำได้ดีว่าเป็นเสียงหัวเราะของอดีตเจ้าชีวิตของมัน…องค์ชาย 4 ในวันวาน อ๋องเฉียน!
อ๋องเฉียนนั้นให้ความสำคัญกับมันไม่น้อย ราวกับซาบซึ้งใจนักที่มันได้ช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ไหนเลยจะจริงใจกับคนที่มีฐานะต้อยต่ำอย่างมันจริงๆ?
เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหมดทั้งมวลเพียงแค่ อ๋องเฉียนไม่อยากตกเป็นขี้ปากใคร ว่ามันเป็นคนแล้งน้ำใจ
หลังจากที่เข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของจวนอ๋องที่ห่างหายไปหลายปี เยี่ยมู่ไป๋ก็หวนคิดถึงอดีตในวันวาน และมันจดจำได้ทันทีว่าร่างที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้สูงบนแท่นกลางห้องเป็นผู้ใด ถึงความเยาววัย์ในวันวานจะไม่มีอีกต่อไป แต่อีกฝ่ายกลับให้บรรยากาศดั่งเจ้าชีวิต มากไปด้วยบารมีนัก
บารมีของชนชั้นเจ้าชีวิตที่เพาะสร้างมานานปี ย่อมสร้างความกดดันให้มันไม่น้อย
เยี่ยมู่ไป๋ประหม่าจนแทบหายใจไม่ออก กาลเวลาผันผ่านไปไวเหลือเกิน…หลายสิบปีคล้ายดั่งห้วงฝันตื่นหนึ่ง
“ผู้น้อยแซ่เยี่ย ถวายบังคมฝ่าบาท”
เมื่อเข้ามาแล้วเยี่ยมู่ไป๋ก็คุกเข่าคารวะด้วยความเคารพสูงสุด
“มู่ไป๋ เจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า ไหนเลยต้องทำตัวห่างหินเป็นทางการเช่นนั้น ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก?”
องค์ชาย 4 หรือที่รู้จักกันในนามอ๋องเฉียน เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีทอง ในสายตามองไปแลเห็นถึงความเมตตากรุณา หากแต่แววตามีความเข้มแข็งเด็ดขาด แม้ไม่ได้แลดูเป็นคนเจ้าอารมณ์สักเท่าไหร่แต่ก็ยากที่จะปล่อยให้ใครหืออือ เพียงสะบัดมือคราหนึ่งปรากฏพลังไร้สภาพฉุดร่างเยี่ยมู่ไป๋ทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังไร้สภาพประคองตัวดังกล่าว เยี่ยมู่ไป๋อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
อ๋องเฉียนผู้นี้ แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นบรรลุขอบเขตเซียน แต่น่ากลัวว่าจะบรรลุครึ่งก้าวเซียนมานาน พลังฝีมือก้าวหน้าไม่ใช่ชั่วแล้วจริงๆ!
ในฐานะคนที่เคยทำงานในจวนอ๋อง มันย่อมรู้จักอีกฝ่ายดี
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง”
หลังจากที่ยืนขึ้น เยี่ยมู่ไป๋ก็เร่งกล่าวขอบคุณทันที
“มู่ไป๋ เจ้ามาหาเราอ๋องครั้งนี้ ใช่มีเรื่องอันใดให้เราผู้อ๋องช่วยเหลือหรือไม่?”
อ๋องเฉียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่”
เยี่ยมู่ไป๋พยักหน้า”ข้ากลับมาครั้งนี้เพราะมีบางอย่างจะขอความช่วยเหลือจากพระองค์…หลังจากจบเรื่องนี้แล้วข้าน้อยจักมิมารบกวนพระองค์อีก”
“มู่ไป๋ เจ้าเกรงใจไปแล้ว เจ้าช่วยชีวิตเราเอาไว้ เราผู้อ๋องซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าเสมอมา คำมั่นที่ผู้อ๋องเคยให้เจ้าไว้ในปีนั้นว่าจักทำทุกอย่างให้เจ้าหากอยู่ในขอบเขตอำนาจของเราล้วนเป็นความสัตย์จริง…หากแต่หลายปีมานี้เจ้ากลับมิเคยหวนกลับมาสักครั้ง เราผู้อ๋องก็คิดว่าเจ้าจะลืมไปเสียแล้ว แต่ที่แท้เจ้ายังคงจดจำมันได้เสมอมา”
อ๋องเฉียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแต้มใบหน้า”เจ้าว่ามาเถิด ว่าที่มาคราวนี้เจ้ามีเรื่องอันใดกันแน่”
“ท่านอ๋อง ข้าอยากขอให้ท่านช่วยสังหารคนผู้หนึ่งให้ข้า”
เยี่ยมู่ไป๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง ค่อยกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“โฮ่?”
ลูกตาอ๋องเฉียนทอประกายสว่างวาบ ค่อยพยักหน้า”ตราบใดที่เราผู้อ๋องมีความสามารถพอจะสังหารคนผู้นั้น ไม่ว่ามันจะเป็นใคร หากฆ่าไม่ได้ไม่เลิกรา…บอกราผู้อ๋องมาเถอะ ว่าเจ้าอยากให้ผู้ใดตายตก?”
“ท่านอ๋องข้าต้องขออภัยด้วย แต่ข้าเองก็มิรู้ว่ามันเป็นใคร….”
เยี่ยมู่ไป๋เผยยิ้มขื่นขมออกมา
พอได้ยินดังนี้ ลึกลงไปในแววตาของอ๋องเฉียนเผยความไม่พอใจขึ้นมาทันที คิ้วยังขมวดเป็นปมเล็กๆ
“บังอาจ!!”
ตอนนี้เองชายชราที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังของอ๋องเฉียนพลันคำรามออกมาเสียงเหี้ยม
ทั้งทั่วร่างของชายชราทั้ง 2 ดังกล่าวยังเริ่มปรากฏไอพลังมหาศาลอันสร้างแรงกดดันอันหนักอึ้งออกมาสะกดร่างเยี่ยมู่ไป๋เอาไว้ทันที พาลให้ร่างมันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม
กลิ่นอายพลังกดดันนี้ ทำให้เยี่ยมู่ไป๋หายใจแทบไม่ออกแล้ว!
เยี่ยมู่ไป๋ยังตระหนักได้แทบจะทันทีว่าชายชราทั้ง 2 นั่นสมควรเป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนแน่แท้!
จนเมื่ออ๋องเฉียนยกมือขึ้นส่งๆคราหนึ่ง แรงกดดันอันหนักอึ้งจึงค่อยสลายไป
“มู่ไป๋หากกระทั่งเจ้ายังมิรู้ว่ามันเป็นผู้ใด แล้วจะให้เราผู้อ๋องสังหารมันได้อย่างไร?”
อ๋องเฉียนกล่าวถามเยี่ยมู่ไป๋ รอยยิ้มบนใบหน้ายังเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ข้าน้อยต้องอภัยท่านอ๋องด้วย ที่มิทันกล่าววาจาให้จบคำในครั้งเดียว…ถึงแม้ข้าน้อยจักมิรู้ว่ามันเป็นผู้ใด แต่ข้าน้อยมีภาพเหมือนของมัน นอกจากนี้ข้าน้อยยังล่วงรู้ว่ามันสมควรมาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ได้สักพักแล้ว”
เยี่ยมู่ไป๋ที่ลอบปาดเหงื่อเย็น เร่งกล่าวออกมาทันที
“สมควรมาถึงเมืองหลวงได้สักพักแล้ว?”
อ๋องเฉียนขมวดคิ้ว”แต่นั่นหมายความว่า…ตอนนี้เจ้าเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะยังอยู่ในเมืองหลวงใช่หรือไม่?”
“ใช่”
เยี่ยมู่ไป๋พยักหน้า และเร่งกล่าวออกมาอีกครั้ง”เรียนท่านอ๋องหากท่านพบว่ามันยังอยู่ในเมืองหลวงก็ขอให้ท่านฆ่ามันเสีย เพราะมันสังหารน้องชายที่ข้าน้อยรัก…หากแต่ถ้าท่านมิพบตัวมันในเมืองหลวงแล้วจริงๆ เช่นนั้นข้าน้อยก็ได้แต่โทษโชคชะตาของข้าน้อยที่มันไร้วาสนา และข้าน้อยจะไม่มารบกวนท่านอ๋องอีกต่อไป”
ต้องกล่าวเลยว่าวาจาของเยี่ยมู่ไป๋นั้นหาทางลงสำหรับทุกฝ่ายเอาไว้แล้ว
“เช่นนั้นเจ้าก็ส่งมอบภาพเหมือนของคนผู้นั้นให้เราผู้อ๋องมาเก็บไว้เถอะ แล้วเจ้าก็ไปพักที่จวนรับรองแขกเช่นเดิมเพื่อรอคอยฟังข่าวดี เราผู้อ๋องจักพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตเราผู้อ๋องไว้”
อ๋องเฉียนกล่าว
“ทราบ”
หลังจากที่เยี่ยมู่ไป๋ส่งรูปเหมือนไปให้อ๋องเฉียน มันก็ถูกชายวัยกลางคนพากลับที่พัก
ส่วนทางด้านอ๋องเฉียนก็เปิดดูภาพเหมือนดังกล่าวทันที พบเห็นเป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลา คิ้วคมเข้มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
‘เยี่ยมู่ไป๋นี้ชรามากแล้ว แต่ยังมิยอมตกตายไปเสียที…กลับหาเรื่องให้ข้าต้องมาวุ่นวายเพื่อหาตัวไอหนุ่มนี่อีก’
แน่นอนว่าวาจาเหล่านี้อ๋องเฉียนได้แต่กล่าวในใจ
“เรียนท่านอ๋อง ด้านนอกจวนมีชายผู้หนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นประมุขนิกายหยินหมิงมาขอเข้าเฝ้า”
ในขณะที่อ๋องเฉียนกำลังดูรูปเหมือนอยู่ ก็มีเสียงรายงานดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง
“อี้เฟิงประมุขนิกายหยินหมิง มาคารวะองค์ชาย 4″
ตอนนี้เองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก เสียงนี้แฝงเร้นไปด้วยปราณแรกกำเนิด ทำให้มันดังก้องไปทั่วจวนอ๋อง
“ท่านอ๋อง มันเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียน”
ตอนนี้เองชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังอ๋องเฉียนพลันหันมองสบตากันรอบหนึ่ง ค่อยกล่าวออกมา
เนื่องจากในน้ำเสียงแฝงเร้นไปด้วยปราณแรกกำเนิด ทำให้มันแผ่กลิ่นอายพลังที่ต่างจากปราณแท้ชัดเจน จึงสามารถระบุขอบเขตพลังผู้กล่าวได้แทบจะทันที
“ประมุขนิกายหยินหมิง? มันมาที่นี่ทำอะไร?”
อ๋องเฉียนโค้งคิ้วขึ้นพร้อมกล่าวพึมพำออกมาด้วยความสงสัย จากนั้นมันก็ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินออกไปหน้าโถงจวน หัวเราะออกมาเบาๆ”ประมุขอี้เฟิง มิทราบลมอันใดพัดท่านมา ถึงได้ให้เกียรติมาเยืนนเราถึงจวน”
ผู้เข้มแข็งในขอบเขตเซียนนั้น เพียงพอที่จะให้มันออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ในขณะที่อ๋องเฉียนเดินออกมา ชายชรา 2 คนด้านหลังก็เร่งติดตามมาดั่งเงา
“คารวะองค์ชาย 4”
ด้านนอกห้องโถง ร่างแลดูอ่อนล้าอิดโรยคล้ายเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งรีบเดินทางของอี้เฟิงประสานมือคารวะอ๋องเฉียนทันที
“ประมุขอี้ ไฉนท่าน…”
เมื่อเห็นภาพราวกับสุนัขหอบแดดของอี้เฟิง อ๋องเฉียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
มันย่อมเคยพบหน้าประมุขนิกายหยินหมิงมาก่อน หากแต่ตอนนั้นอีกฝ่ายแลดูแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ไหนเลยจะมีสภาพไม่ต่างสุนัขชราใกล้ตายเช่นนี้
“ด้านนอกคงมิสะดวกให้ข้ากล่าว พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ ท่านอ๋อง…”
อี้เฟิงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ดี”
อ๋องเฉียนพยักหน้าแล้วเดินนำอี้เฟิงกลับเข้าไปยังโถงจวน หลังจากที่มันนั่งเก้าอี้บนแท่นเรียบร้อยแล้ว อี้เฟิงจึงนั่งลงบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ด้านล่าง
“ประมุขอี้เฟิง ท่านเองก็เป็นประมุขของนิกายหยินหมิงอนาคตของท่านก็นับว่าไร้ขอบเขต ไฉนตอนนี้ท่านถึงแลดูอ่อนล้าเช่นนี้ได้เล่า?”
อ๋องเฉียนมองถามอี้เฟิงด้วยความอยากรู้
“องค์ชาย 4 เรื่องนี้พวกเราค่อยสนทนากันภายหลัง…แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องคิดจะถามท่านอ๋องสักครา”
อี้เฟิงมองอ๋องเฉียนตาคม
“คิดถามอะไรงั้นหรือ?”
อ๋องเฉียนกล่าวถามกลับด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“องค์ชาย 4 มิทราบท่านรู้จัก ‘ตราผนึกมาร’ หรือไม่?”
ใบหน้าอี้เฟิงเผยความเข้มขรึม สายตายังเพ่งมองอ๋องเฉียนอย่างจริงจังขณะถาม
ตราผนึกมาร!
ได้ยินคำถามนี้ของอี้เฟิงไม่เพียงแต่อ๋องเฉียน กระทั่งชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังยังเสียอาการ
ตราผนึกมาร! คำ 3 คำนี้มิได้แปลกหูสำหรับพวกมันแต่อย่างไร!
กระทั่งทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า คำเพียง 3 คำนี้ ก็มีอานุภาพมากพอจะทำให้ผู้คนทั้งดินแดนตะลึง
ตราผนึกมาร มันคือ 1 ใน 10 สุดยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เป็นดั่งฝันร้ายสำหรับผู้ฝึกตนในหนทางมาร…