“ประมุขอี้เฟิง…อยู่ๆท่านกล่าวถึงตราผนึกมารเช่นนี้ สมควรมีเหตุผลใช่หรือไม่?”
อ๋องเฉียนมองอี้เฟิง ทั้งเพ่งตามองถาม
ตราผนึกมาร 1 ในยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ใครจะไม่รู้จัก?
พออี้เฟิงกล่าวถามออมกมาแบบนี้ สิ่งแรกที่อ๋องเฉียนคิดถึงก็คือ อี้เฟิงอาจจะรู้ที่อยู่ของตราผนึกมาร!
อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่แค่อ๋องเฉียน
ชายชรา 2 คนด้านหลังก็คิดไม่ต่าง
“ข้ากล่าวถึงตราผนึกมารขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล”
อี้เฟิงพยักหน้าทันที ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ ยังกล่าวเสริมอย่างตรงไปตรงมา”เพราะตอนนี้ข้ารู้ว่าตราผนึกมารอยู่ที่ใด!”
เปรี๊ยง!!
สิ้นวาจานี้ของอี้เฟิง ประหนึ่งอัสนียามแล้งฟาดผ่าลงมาไม่มีผิด ยังไม่ต่างใดจากหนึ่งหินหล่นสระบังเกิดคลื่นพันระลอก พาลให้สายตาของอ๋องเฉียนและชายชราทั้ง 2 หรี่มองอี้เฟิงทันที
สายตาทั้ง 3 ยังคมกล้าปานจะฉีกทึ้งร่างอี้เฟิงเป็นชิ้นๆ!
“ตราผนึกมารอยู่ที่ใด?”
อ๋องเฉียนกล่าวถาม
ชายชราทั้ง 2 ที่อยู่เบื้องหลังอ๋องเฉียนยังแผ่สำนึกเทวะไปสะกดร่างอี้เฟิงเอาไว้ทันที
“นั่นคือเรื่องต่อไปที่ข้ากำลังจะพูด…”
อี้เฟิงไม่ได้โกรธอะไรที่ถูกสำนึกเทวะของชายชราทั้ง 2 สะกดขัง สีหน้าท่าทางยังคงสงบกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน
“ก่อนหน้านี้มิใช่องค์ชาย 4 กล่าวถามข้าหรือ ว่าไฉนสภาพข้าถึงแลดูอ่อนล้าเช่นนี้…ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฝีมือผู้ครอบครองตราผนึกมาร! ข้ามั่นใจว่าองค์ชาย 4 รู้ดีว่าข้าคือประมุขนิกายหยินหมิง และยังเป็นผู้ฝึกมารในขอบเขตเซียน”
อีเฟิงกล่าวสืบต่อ
อ๋องเฉียนพยักหน้ารับ เรื่องอี้เฟิงเป็นผู้ฝึกมารมันย่อมรู้ดี
อย่างไรก็ตามเรื่องที่มันอยากรู้ที่สุดก็คือ ตอนนี้ตราผนึกมารอยู่ในมือใคร!
“ผู้ที่ครอบครองตราผนึกมาร เป็นเพียงผู้ฝึกตนที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับครึ่งก้าวเซียน…แต่ด้วยเพราะความที่มันมีตราผนึกมาร ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงของข้าต้องตกตายอย่างไร้หนทางต่อสู้ หากตัวข้าไม่เร่งรีบหลบหนีออกมา ไม่แคล้ววิญญาณของข้าคงถูกตราผนึกมารนั่นสะกดทำลายเช่นกัน!”
วาจาต่อมาของอี้เฟิงยามกล่าว มันเผยอาการหวาดผวาขลาดกลัวไม่น้อย
“หากข้าจำมิผิดอาวุโสสูงสุดนิกายท่าน ก็เป็นผู้ฝึกมารในขอบเขตเซียนใช่หรือไม่?”
อ๋องเฉียนกล่าวถาม
“ใช่”
อี้เฟิงพยักหน้ารับ”ผู้อาวุโสสูงสุดก็มีพลังฝึกปรือทัดเทียมกันกับข้า…แต่เพราะพวกเราเป็นผู้ฝึกมาร จึงถูกตราผนึกมารสะกดพลังอำนาจทุกทาง! หากพวกเรามิใช่ผู้ฝึกมาร คิดฆ่าตัวบัดซบนั่นคงง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ!!”
“มันเป็นใคร!?”
อ๋องเฉียนกล่าวถามด้วยสายตาร้อนรุ่ม
สำหรับมันแล้วผู้ฝึกตนในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนไม่ใช่ปัญหาของมันแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรให้มันกังวลเลยด้วยซ้ำ!
ตราบใดที่มันล่วงรู้ว่าผู้ฝึกตนครึ่งก้าวเซียนที่ว่าอยู่ที่ใด มันจะไปฆ่าชิงตราผนึกมารมาทันที!
“องค์ชาย 4 ก่อนที่ข้าจะกล่าวบอกตัวตนของคนผู้นั้น ข้าอยากให้ท่านสัญญาว่าจะรับปากข้า 2 เรื่อง”
ลูกตาของอี้เฟิงทอประกายสว่างวาบ กล่าวออกมาตรงๆ
“โอหัง!”
ได้ยินวาจาประโยคนี้ของอี้เฟิง อ๋องเฉียนขมวดคิ้วเป็นปม ส่วนชายชราที่อยู่ด้านหลังทั้ง 2 ถึงกับตะคอกเสียงแข็ง”อี้เฟิง เจ้ากล้าดีอย่างไร! เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรต่อรองกับฝ่าบาทงั้นหรือ!?”
“เจ้ามันก็แค่สุนัขข้างถนน! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพวกเราสามารถฆ่าเจ้าให้ตายคาที่ได้ทุกเมื่อ!”
ชายชราผู้เป็นขอบเขตเซียนทั้ง 2 แผ่พุ่งพลังออกมามหาศาลจนคล้ายหมอกเมฆ มวลพลังทั้งหมดพุ่งไปสะกดข่มอี้เฟิงเอาไว้อย่างเกรี้ยวกราด!
หากทว่าอี้เฟิงไม่ได้นำพาอาการดุร้ายขู่ข่มของพวกมัน เพียงมองจ้องอ๋องเฉียนด้วยสายตาสงบ”องค์ชาย 4 ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่มืออาวุโสทั้ง 2 …คงเป็นเรื่องง่ายดายนักที่อาวุโสจะฆ่าข้า แต่องค์ชาย 4…ท่านยินดีล้มเลิกเรื่องตราผนึกมารแล้วหรือ?”
พออี้เฟิงกล่าวจบคำ สีหน้าของชายชราก็ถมึงทึงขึ้นมาทันใด ยังคิดจะเพิ่มแรงกดดันบีบคั้นให้อีกฝ่ายกระอัก ทว่าเป็นอ๋องเฉียนที่ยกมือขึ้นมาหยุดเอาไว้ก่อน
“ประมุขอี้เฟิง ท่านต้องการอันใดบ้างลองบอกกล่าวมาเถอะ”
อ๋องเฉียนมองกล่าวกับอี้เฟิงเสียงเรียบ สีหน้าท่าทางไม่คล้ายมีความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ
“องค์ชาย 4 ตอนนี้อาวุโสสูงสุดของข้าก็ตายไปแล้ว ทั้งตัวข้ายังต้องหนีมาแบบนี้ นิกายหยินหมิงข้าคงไม่พ้นเหลือแต่ชื่อ…ข้าอยากขอให้ท่านรับตัวข้า…ไว้เป็นขุมกำลังของท่านอีกสักคน”
อี้เฟิงกล่าวต่ออ๋องเฉียนตรงๆ ในน้ำเสียงยังมีความสุภาพขึ้นมาหลายส่วน
“หืม? เจ้าคิดจะเข้าร่วมกับข้างั้นรึ?”
อ๋องเฉียนยิ้ม”เท่าที่ข้าทราบ มิใช่ว่าเจ้าก็มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซือถูมิใช่หรือไร…หากเจ้าเข้าร่วมกับข้ามิใช่ว่าจะเป็นการทรยศตระกูลซือถู ไม่สิกล่าวให้ชัดต้องทรยศซือถูหมิงสินะ”
ในฐานะที่เป็นองค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูเฟิง แน่นอนว่าอ๋องเฉียนย่อมรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภายในของตระกูลซือถู
“องค์ชาย 4 ท่านก็ล่วงรู้คำที่ว่า น้ำไหลลงที่ต่ำ คนปีนป่ายขึ้นที่สูง…ข้ามิใช่โง่เขลา หากข้าบอกเรื่องตราผนึกมารกับทางตระกูลซือถู เกรงว่าพวกมันคงคิด ‘ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน’ แน่แท้…นอกจากนี้ซือถูหมิงยังจะนับเป็นตัวอะไรได้หากเทียบกับท่าน”
อี้เฟิง ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียน ตอนนี้กลับกล่าววาจาประจบสอพลออ๋องเฉียนหน้าตาเฉย
“น้ำไหลลงที่ต่ำ คนปีนป่ายขึ้นที่สูง…ดี! วาจาอันประเสริฐนัก!!”
ได้ยินคำสอพลออี้เฟิง อ๋องเฉียนก็ยิ้มร่าออกมาอย่างถูกใจ”เอาล่ะข้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ของเจ้า”
“อย่างไรก็ตามก่อนที่เจ้าจะเข้าร่วมกับข้าเจ้าควรรู้ไว้…เรื่องศึกช่วงชิงบัลลังก์ของพวกข้าพี่น้อง ทางตระกูลซือถูนั้นมิได้อยู่ฝ่ายเดียวกับข้า เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับข้าหมายความว่าเจ้าก็อยู่คนละฝั่งกับตระกูลซือถู ถึงแม้ซือถูหมิงกับซือถูฮ่าวจักมิลงรอยกัน แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้พวกมันก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน คงยากที่จะเปลี่ยนจุดยืนของพวกมันได้”
อ๋องเฉียนพลันกล่าวเตือนออกมา
“องค์ชาย 4 เรื่องนี้ขอท่านโปรวางใจ ข้ามีวิธีสร้างความแตกแยกในตระกูลซือถู กระทั่งยังมีหนทางดึงตัวซือถูหมิงออกมาให้เข้าร่วมกับพวกเรา”
อี้เฟิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“โฮ่?”
ลูกตาอ๋องเฉียนส่องแสงสว่างโร่ขึ้นมาทันใด”เจ้ากล่าวจริงหรือ?”
หากมันได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายซือถูหมิงของตระกูลซือถู ไม่เพียงแต่ขุมกำลังของมันจะทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น หากแต่ยังเป็นการลดทอนขุมกำลังของฝ่ายตรงข้ามลงด้วย!
สำหรับมันแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องอันดีงามนัก!
“อี้เฟิงผู้นี้ ยังจะกล้าหลอกลวงองค์ชาย 4 หรือ?”
อี้เฟิวกล่าวออกมาอีกครั้ง
“เอาล่ะ ได้เช่นนั้นก็ดี…แต่ต่อให้มิได้ก็ไม่เป็นไร อี้เฟิงหลังจากนี้ไปหากเจ้าดีกับเราผู้อ๋อง เราผู้อ๋องก็ย่อมไม่ร้ายกับเจ้า”
อ๋องเฉียนหัวเราะร่า”แล้วสำหรับเงื่อนไขอีกข้อเล่า?”
“คำขอของข้าเรื่องนี้มิใช่เรื่องยากสำหรับองค์ชาย 4 แม้แต่น้อย ยังเปรียบดั่งผลักเรือตามกระแสน้ำด้วยซ้ำ…”
อี้เฟิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลูกตาบังเกิดประกายเย็นเยียบวูบวาบออกมา”ข้าหวังเพียงแต่ว่าเมื่อองค์ชาย 4 แย่งชิงตราผนึกมารมาได้แล้ว ข้าขอให้ท่านส่งตัวผู้ที่ครอบครองตราผนึกมารมาให้ข้า เพื่อที่ข้าจะได้ฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง!!”
“เจ้าต้องการให้เราผู้อ๋องสัญญาเรื่องเท่านี้?”
คราวนี้อ๋องเฉียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแล้ว เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนั้นไม่มีอะไรส่งผลเสียกับมันเลยแม้แต่น้อย ยังแทบไม่ต่างอะไรจากขอพลับสักลูกในสวน
“ใช่!”
อี้เฟิงพยักหน้า ค่อยกล้าวออกมาด้วยความคับแค้น”ตัวบัดซบนั่นมันไม่เพียงแต่ฆ่าผู้อาวุโสสูงุสดของนิกายข้า ยังทำให้ข้าต้องหนีจากนิกายหยินหมิงมาอย่างหัวซุกหัวซุน…ตอนนี้นิกายหยินหมิงของข้าสมควรล่มสลายไปแล้ว เรียกว่ามันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของข้าที่เพียรสร้างมาทั้งชีวิต! ข้าต้องฆ่ามันกับมือให้ได้!!”
“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เราผู้อ๋องสัญญากับเจ้า!”
อ๋องเฉียนเร่งกล่าวตอบรับไปทันที
“ขอบพระคุณท่านองค์ชาย 4”
อี้เฟิ่งเร่งกล่าวขอบคุณออกมาทันที
“ถึงตอนนี้เจ้าสามารถบอกได้แล้วหรือไม่ ว่าผู้ที่ครอบครองตราผนึกมารมันเป็นใคร?”
อ๋องเฉียนกล่าวถาม
จังหวะนี้กระทั่งชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องมองไปยังร่างอี้เฟิงตาเขม็ง คล้ายพวกมันจะจับสังเกตทุกทีท่าความเปลี่ยนแปลงของอี้เฟิง ว่ากล่าวความจริงออกมาหรือไม่
“องค์ชาย 4 ผู้ที่ถือครองตราผนึกมารอยู่…ท่านเองก็สมควรได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของมันมาแล้ว”
อี้เฟิงกล่าว
“หืม? ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของมันงั้นเหรอ?”
เมื่ออี้เฟิงเกริ่นมาแบบนี้ อ๋องเฉียนยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่”มันเป็นผู้ใดกันแน่!?”
“ต้วน! หลิง! เทียน!!”
อี้เฟิงขบฟันกรามจนแทบแตก กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน
“ต้วนหลิงเทียน?”
อ๋องเฉียนขมวดคิ้ว”นามนี้คุ้นหูเรานัก…เคยได้ยินจากที่ใดแล้วนะ?”
“เรียนท่านอ๋องมันคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู โด่งดังขึ้นมาในฐานะปรมาจารย์ต้วนและท่านต้วน แต่นามเต็มๆของมันก็คือ ต้วนหลิงเทียน”
ตอนนี้เองชายชรา 1 ใน 2 ที่อยู่ด้านหลังอ๋องเฉียนพลันกล่าวออกมา
“เป็นมันงั้นเหรอ?”
หลังได้ยินคำเตือน อ๋องเฉียนก็หันไปมองหน้าอี้เฟิงอีกครั้ง คล้ายรอการยืนยัน
“ถูกแล้ว! เป็นมัน!!”
อี้เฟิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน”วันก่อนมันบุกเข้ามายังนิกายหยินหมิงของข้า และฆ่าอาวุโสสูงุสดด้วยตราผนึกมาร ข้าเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ 9 ตาย 1 รอด แต่ยังดีที่ข้าสามารถหนีมาได้ทันเวลา…”
คิดถึงฉากในวันนั้น ร่างอี้เฟิงยังสั่นไม่หาย
ตอนที่มันถูกพลังอำนาจของตราผนึกมารเพ่งเล็งมันเองก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะหนีรอดมาได้ โชคดีนักที่อาวุโสสูงสุดอยู่ใกล้ตราผนึกมารมากกว่า จึงหันไปไล่ล่าอาวุโสสูงสุดก่อน
มันเองก็อาศัยจังหวะดังกล่าวเร่งรุดหลบหนีมาสุดชีวิต ยังเผาแก่นโลหิตเพื่อให้หลุดพ้นจากการเพ่งเล็งของตราผนึกมาร จนหนีรอดมาได้ในที่สุด
“แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียน เจ้าของตราผนึกมาร…ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าจะมาหาข้าเช่นนี้ เพราะเจ้าของตราผนึกมารกลับอยู่ที่ตระกูลซือถู!”
ลูกตาอ๋องเฉียนทอประกายเรืองวูบ กล่าวออกมาด้วยไหวพริบ
ในตระกูลราชวงศ์นั้น มีน้อยคนนักที่จะมีความสามารถในการแย่งชิงบัลลังก์ หากแต่จำนวนก็ไม่ถือว่าเล็กน้อย ถึงแม้มันจะเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถดังกล่าว แต่มันก็ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ องค์ชายรองที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซือถู!
อี้เฟิงไม่ได้ไปหาพี่รองของมันแต่มาหาตัวมันแบบนี้ ตอนแรกมันก็คิดว่าพิกลนัก แต่สุดท้ายกลับเป็นเพราะสาเหตุนี้นั่นเอง…
หากอี้เฟิงไปหาพี่รองของมัน แม้พี่รองของมันจะต้องการตราผนึกมาร แต่ก็คงยากจะปล่อยแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูให้อี้เฟิงจัดการ…สำหรับอี้เฟิงแล้วเรื่องล้างแค้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
และเป็นมันที่สามารถมอบโอกาสในการล้างแค้นให้อี้เฟิงได้
‘ต้วนหลิงเทียน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ตราผนึกมารในมือเจ้าต้องเป็นของข้าอ๋องเฉียน!!’
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด หากแต่มุมปากของอ๋องเฉียนพลันแสยะยิ้มเย็นออกมา ในใจยังบังเกิดความตื่นเต้นทั้งคึกคักอักโขนัก ทำราวกับมันแลเห็นภาพที่มันได้ตราผนึกมารมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว
‘หากข้าได้ตราผนึกมารมาล่ะก็ ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายพี่รองนั่นอีกต่อไป! กระทั่งข้ายังสามารถใช้ตราผนึกมารจัดการกับพวกมันด้วยตัวเองด้วยซ้ำ!!’
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่อ๋องเฉียนก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีมากขึ้นเท่านั้น
พอตื่นเต้นเข้าหน่อย อะไรในมือมันก็ไม่คิดจะสนใจต่อไป สุดท้ายจึงปล่อยภาพเสมือนที่เยี่ยมู่ไป๋ให้ไว้ทิ้งไปราวกับขยะ
“เป็นมัน!!”
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าบุรุษหนุ่มรูปหล่อเหลาในภาพ ลูกตาของอี้เฟิงพลันหดแคบลงทันใด ยังร้องโพล่งออกมาด้วยความแค้น!