ตอนที่ 1620 : ‘ตอเหล็ก’
“อะไรกัน ท่านรู้จักมันด้วยรึ?”
ความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอารมณ์ในฉับพลันนี้ของอี้เฟิง อ๋องเฉียนย่อมพบเห็น สองตาของมันทอประกายสว่างวาบกล่าวถามออกมาทันที
กล่าวตามตรง ตอนที่มันได้รับภาพเหมือนนี้มาจากเยี่ยมู่ไป๋ มันเองก็ไม่รู้จะไปตามหาตัวคนในภาพที่ใด…
แต่ตอนนี้พอมันทำภาพเหมือนหล่นโดยไม่ตั้งใจจนกางออกให้อี้เฟิงแลเห็นหน้า มิคาดอีกฝ่ายกลับเผยท่าทีแบบนี้ออกมา นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายสมควรรู้จักคนในภาพแน่แล้ว!
‘อี้เฟิงผู้นี้มันเป็นดาวนำโชคของข้ารึไร?’
จังหวะนี้อ๋องเฉียนอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ
“องค์ชาย 4 ภาพนี้ของท่าน…มิใช่ว่าเป็นภาพต้วนหลิงเทียนหรือไร?”
พอสูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่พักหนึ่ง อี้เฟิงก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ก่อนที่จะกล่าวถามอ๋องเฉียนออกไปด้วยความงุนงง
เพราะฟังจากคำถามของอ๋องเฉียน คล้ายอีกฝ่ายจะไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน
อย่างไรก็ตามหากอ๋องเฉียนไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน ไฉนถึงมีภาพต้วนหลิงเทียนถืออยู่ในมือได้?
มันย่อมงุนงงและสับสนในเรื่องนี้
“ว่าอะไร!? มันน่ะหรือ..ต้วนหลิงเทียนแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู!?”
กระทั่งอ๋องเฉียนเองพอได้ยินคำถามของอี้เฟิง ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง”คนที่เยี่ยมู่ไป๋อยากให้ข้าช่วยสังหารให้…ที่แท้กลับเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู? เจ้าของตราผนึกมาร?”
“นี่มันจักมิบังเอิญไปหน่อยหรือ?”
ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังทั้ง 2 หันหน้ามองตากัน และต่างเห็นถึงความประหลาดใจในสายตาของอีกฝ่าย
“องค์ชาย 4 เรื่องนี้…”
อี้เฟิงย่อมไม่เข้าใจในสถานการณ์
หลังจากได้รับคำอธิบายจากชายชรา 1 ใน 2 ที่ยืนอยู่ด้านหลังอ๋องเฉียน อี้เฟิงจึงค่อยได้ทราบว่าที่แท้มันเรื่องอะไรกัน สองตายังทอประกายสว่างขึ้นมาทันที”ใต้หล้ากลับมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่จริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมไม่ได้รู้เรื่องราวที่บังเกิดขึ้นในวังหลวงเลย
ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ตกเป็นเป้าของตัวตนที่แข็งแกร่ง และมีอำนาจมาก เรียกว่าสถานะในประเทศฝูเฟิงแทบไม่ต้อยต่ำไปกว่าใคร
ตอนนี้เขาก็ได้พาเฟิ่งหวู่เต้ามาถึงนิกายอัคคีล่องลอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ครั้งก่อนตอนมายังนิกายอัคคีล่องลอยเพื่อท้าประลองเฟิ่งเทียนหวู่ มีน้อยคนนักที่ไม่ได้เห็นต้วนหลิงเทียน ดังนั้นพอมาถึงหน้าประตูใหญ่ของนิกาย ศิษย์ที่รับหน้าที่เฝ้าประตูจึงจดจำเขาได้แทบจะทันที
หากต้วนหลิงเทียนเพียงชนะเฟิ่งเทียนหวู่อย่างเดียว พวกมันอาจไม่ค่อยไว้หน้าต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่
ทว่าตัดสินจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้น น่ากลัวว่า ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูคนนี้ กับ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยของพวกมัน สมควรมีสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันนัก!
“ท่านต้วน”
ดังนั้นเมื่อเจอหน้าต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เหล่าศิษย์นิกายอัคคีจึงเร่งทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพ
“ข้ามาหาแม่นางเฟิ่งกับประมุขของพวกเจ้าน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวกับเหล่าศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู
เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงประมุขนิกายด้วย เพราะเขาคิดให้สื่ออวิ๋นรับทราบตัวตนของเฟิ่งหวู่เต้า กระทั่งอยากให้อีกฝ่ายคอยช่วยดูแลเฟิ่งหวู่เต้าอีกทาง
“ท่านต้วน โปรดตามข้ามาทางนี้”
ไม่นานศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยก็พาต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งหวู่เต้าเข้าไปด้านในนิกาย มุ่งหน้าไปยังโถงรับแขก
ในระหว่างทางเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่เห็นต้วนหลิงเทียนมาเยือนนิกายอัคคีล่องลอยอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาเป็นประเด็นสนทนาทันที”ท่านต้วนแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูไฉนมาเยือนนิกายเราอีกแล้วเล่า?”
“ฮัยยา เขามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับแม่นางเฟิ่ง ก็มิใช่เรื่องปกติหรือที่จะไปมาหาสู่กัน?”
“ถูกแล้วๆ! คนรักกันมาพบกันบ่อยๆ ก็นับเป็นเรื่องราวอันปกตินัก”
……
เสียงสนทนายิ่งมาก็ยิ่งดังและยิ่งเรียกร้องความสนใจของเหล่าศิษย์ ทว่ามีเหล่าศิษย์ชายหลายคนที่อดไม่ได้ที่จะทำหน้าทำตาละห้อย ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายของพวกมัน ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในนิกาย กลับถูกคนนอกขโมยหัวใจไปเสียแล้ว สำหรับพวกมันนี่ย่อมเป็นข่าวเศร้าชวนให้สลดใจไม่น้อย
ได้ยินบทสนทนาอื้ออึงจากเหล่าศิษย์รอบๆ เฟิ่งหวู่เต้าก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองไปยังต้วนหลิงเทียน
มันย่อมหวังจากใจว่าบุตรีของมันจะลงเอยและได้อยู่กับต้วนหลิงเทียน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีคู่หมั้นกระทั่งพวกนางก็ตั้งครรภ์แล้วถึงสองคนก็ตาม…
เพราะมันเชื่อมั่นว่าถึงบุตรีมันจะอยู่กับต้วนหลิงเทียน นางก็ไม่มีทางถูกอีกฝ่ายรังแกแน่นอน
แถมต้วนหลิงเทียนมีความรับผิดชอบสูงนัก
หลังจากที่รับรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมาถึง ไม่นานสื่ออวิ๋นก็ออกมาต้อนรับเป็นการส่วนตัวหน้าดโถงรับแขก
“ประมุขสื่ออวิ๋น”
หลังจากที่เห็นสื่ออวิ๋นออกมาด้วยตัวเอง ต้วนหลิงเทียนก็เร่งประสานมือคารวะทักทาย หากทว่าเขากลับไม่เห็นเฟิ่งเทียนหวู่ จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป”ประมุขสื่ออวิ๋น แล้วเทียนหวู่เล่า?”
“เทียนหวู่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ทั้งยังอยู่ในช่วงสำคัญไม่น้อย”
สื่ออวิ๋นกล่าวตอบออกมาทันที”อีกทั้งหลังจากนี้นางอาจจะต้องปิดด่านบ่มเพาะบ่อยครั้ง เพราะเกี่ยวพันถึงอนาคตของนาง จึงเป็นการดีเสียกว่าที่เจ้าจะไม่มารบกวนนางให้มาก หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ”
ในวาจาของสื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยเจตนากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน ว่าอย่ามารบกวนเทียนหวู่ให้มากจนเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าของนาง
ถึงแม้เรื่องที่เฟิ่งเทียนหวู่มีใจให้ต้วนหลิงเทียนนางจะไม่คัดค้านอะไร แต่นางก็ไม่คิดว่าอนาคตของทั้งคู่จะสดใสสักเท่าไหร่
เพราะในสายตาของนางเฟิ่งเทียนหวู่ที่ได้รับสืบทอดมรดก เคล็ดบำเพ็ญจิตหงส์ฟ้าจรัสแสง อันเป็น 1 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น สุดท้ายนางต้องก้าวหน้าเหนือล้ำต้วนหลิงเทียนไปไกล อย่างที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเห็นได้แม้แต่ฝุ่น…ด้วยความภาคภูมิใจของต้วนหลิงเทียน น่ากลัวว่าถึงวันนั้นอีกฝ่ายคงไม่อาจทำใจอยู่กับเทียนหวู่ได้ลงคอ
ถึงแม้นางจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับต้วนหลิงเทียน และไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายมากนัก แต่นางก็พอรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนก็สมควรมีทิฐิอยู่ไม่น้อย
“คารวะประมุขสื่ออวิ๋น”
ตอนนี้เองเฟิ่งหวู่เต้าก็ประสานมือคารวะสื่ออวิ๋นด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะหันมองต้วนหลิงเทียนแล้วพูดออกมาด้วยความเสียดาย”เจ้าหนูหลิงเทียน ในเมื่อเทียนหวู่ปิดด่านบ่มเพาะถึงช่วงสำคัญ พวกเราก็อย่าได้รบกวนนางเลย…”
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“แล้วนี่คือ…?”
สื่ออวิ๋นย่อมสังเกตเห็นเฟิ่งหวู่เต้านานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่าดวงตาของเฟิ่งหวู่เต้าให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายจึงอดไม่ได้ที่จะหันมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวกล่าวถามออกมา
“ประมุขสื่ออวิ๋น นี่คือลุงเฟิ่ง บิดาบังเกิดเกล้าของเทียนหวู่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกสื่ออวิ๋น
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเทียนหวู่ได้ท่านประมุขสื่ออวิ๋นช่วยดูแลจนประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ ข้าเฟิ่งหวู่เต้าขอขอบพระคุณท่านจากใจ”
เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวจบก็ประสานมือทั้งโค้งคารวะขอบคุณสื่ออวิ๋นจากใจ
บิดาบังเกิดเกล้าของเทียนหวู่!
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาสื่ออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะวาวสว่างขึ้นมาทันใด และเมื่อเห็นว่าเฟิ่งหวู่เต้ากำลังโค้งคารวะนางอยู่ นางก็เร่งใช้พลังไร้สภาพยกอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาทันที
“ที่แท้ท่านก็คือบิดาของเทียนหวู่นี่เอง…ตลอดหลายปีที่ผ่านนางกล่าวถึงท่านบ่อยครั้งนัก”
ต่อหน้าเฟิ่งหวู่เต้า สีหน้าสื่ออวิ๋นกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส วาจายังเสียงอ่อนแลดูเป็นมิตรน่าฟังกว่ายามสนทนากับต้วนหลิงเทียนคนละเรื่อง คล้ายกับเป็นคนละคนไปเลยก็ไม่ปาน
‘การปฏิบัตินี่มันอะไรกัน…ดูท่านทำเข้า’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างอ่อนใจ
“ท่านนับว่าให้กำเนิดบุตรีอันประเสริฐนัก!”
สื่ออวิ๋นยิ้มกล่าวกับเฟิ่งหวู่เต้า ก่อนที่จะผายมือเชื้อเชิญให้ไปนั่งในห้องรับแขกทันที เมื่อเข้ามาแล้วนางก็นั่งลงที่หัวโต๊ะพร้อมกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ข้าไม่เอาไหน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะประมุขสื่ออวิ๋นที่ดูแลสอนสั่งนางอย่างดี”
เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวตอบออกไปอย่างถ่อมตน
ไม่นานเฟิ่งหวู่เต้ากับสื่ออวิ๋นก็เริ่มกล่าวสนทนากันอยู่ 2 คน แถมเฟิ่งหวู่เต้าเองก็เริ่มเล่าเรื่องราวครั้งเฟิ่งเทียนหวู่ยังเด็กออกมาหลายเรื่อง ด้านสื่ออวิ๋นก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนถูกลืม…กลายเป็นส่วนเกินในห้องอย่างไรไม่ทราบ
หลังจากผ่านไปราวๆ 2 เค่อ คล้ายเฟิ่งหวู่เต้าจะนึกออกว่าในห้องยังมีต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่ด้วยอีกคน จึงยิ้มออกมาอย่างละอายแล้วกล่าวเปิดประเด็นใหม่กับสื่ออวิ๋น”กล่าวไปแล้วที่ข้าสามารถหลบหนีออกมาจากนิกายหยินหมิงได้ ล้วนต้องขอบคุณเจ้าหนูหลิงเทียนทั้งสิ้น”
“หลบหนี? นิกายหยินหมิง?”
สื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว”นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
เฟิ่งหวู่เต้าจึงเริ่มเล่าเรื่องราวช่วงที่จับพลัดจับผลูถูกจับไปเป็นแรงงานทาสที่นิกายหยินหมิงออกมา
“นิกายหยินหมิง ช่างกล้านัก!!”
สื่ออวิ๋นกล่าวสบถออกมาเสียงเย็น”กระทั่งบิดาของศิษย์ข้าสื่ออวิ๋น พวกมันยังจะกล้าจับไปเป็นทาส นับว่าครั้งนี้พวกมันกินดีหมีหัวใจเสือมาแล้วจริงๆ! คุณชายเฟิ่งโปรดวางใจ ข้าจะให้พวกมันมอบคำอธิบายที่ดีต่อท่าน!”
“ไม่ต้องหรอกประมุขสื่อ”
เฟิ่งหวู่เต้าพอได้ยินก็ส่ายหัว
“หรือคุณชายเฟิ่งไม่เชื่อในตัวข้า?”
สื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว
“ประมุขสื่อท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าบอกว่าไม่ต้องหรอก เพราะตอนนี้นิกายหยินหมิงสมควรล่มสลายไปแล้ว อาวุโสสูงสุดของพวกมันตกตาย ประมุขหนีหาย ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะไปหาความอันใดที่นิกายหยินหมิงเพื่อแก้แค้นให้ข้า เกรงว่าคงมิอาจจับคนผิดได้แล้ว…”
เฟิ่งหวู่เต้า เร่งกล่าวอธิบายออกมาทันที
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
สื่ออวิ๋นอึ้งไปพักหนึ่ง นางเหลือบมองต้วนหลิงเทียนสักพักค่อยกล่าวถามออกมา
นิกายอัคคีล่องลอยที่นางเป็นผู้ควบคุมนั้นด้อยกว่าก็เพียงตระกูลราชวงศ์เท่านั้น ข้อมูลที่นางมีทั้งข่าวกรองต่างๆก็น่ากลัวไม่น้อย นางรู้ความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับตระกูลซือถูดี
และแน่นอนว่านางย่อมรู้ด้วยว่านิกายหยินหมิงนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซือถูเช่นกัน!
ดังนั้นนางจึงทราบว่าตระกูลซือถู ไม่น่าจะช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนในเรื่องนี้ได้!
“ข้าเองก็มิค่อยรู้เรื่องราวอะไรมาก แต่ดูเหมือนจักมียอดฝีมือลึกลับบุกมานิกายหยินหมิง ฆ่าอาวุโสสูงสุดกระทั่งทำให้ประมุขหวาดกลัวจนหนีไป พอนิกายตกอยู่ในความปั่นป่วน ก็เป็นเจ้าหนูหลิงเทียนฉวยโอกาสดังกล่าวเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา”
เฟิ่งหวู่เต้าที่คิดจะกล่าวเล่าความจริงที่ได้รับทราบมาออกไป หากแต่เป็นต้วนหลิงเทียนที่ส่งเสียงผ่านปราณแท้มากล่าวหยุดเอาไว้เสียก่อน
ถึงแม้มันจะไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงไม่อยากให้มันพูดความจริง แต่มันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนคิดให้มันทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลบางประการแน่นอน และในเมื่อมันเองก็ไว้วางใจต้วนหลิงเทียนเสมอมา..
ดังนั้นมันจึงกล่าวตามที่ต้วนหลิงเทียนแนะออกไป
ที่ต้วนหลิงเทียนขอให้เฟิ่งหวู่เต้าพลิกลิ้นในฉับพลันเช่นนี้แน่นอนว่าเขามีเหตุผล เพราะมันคงไม่ส่งผลดีอะไรกับตัวเขาเลย ที่จะให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าเขาที่เป็นสู่เซียน แต่สามารถฆ่าตัวตนในขอบเขตเซียนอย่างอาวุโสสูงสุดได้!
การที่ผู้ฝึกตนในขอบเขตสู่เซียนฆ่าตัวตนในขอบเขตเซียนได้ มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเกินไป!
ถึงแม้ว่าหากข่าวดังกล่าวแพร่ออกไป เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะโยงมาถึงตราผนึกมาร แต่ไม่น้อยต้องสงสัยเกี่ยวกับวิธีที่เขาใช้ฆ่าตัวตนในขอบเขตเซียนแน่นอน ถึงตอนนั้นน่ากลัวทั้งหลายจะแห่กันมารังควาญให้ปวดหัวตาย!
หากแค่ทำให้เขารำคาญเพราะถามนู่นนี่นั่นยังไม่เป็นไร แต่หากเป็นยอดฝีมือที่คิดมาเค้นความ…หมายรับทราบกลวิธีที่ว่าของเขา นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้!
แล้วจะให้เขาแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไรล่ะทีนี้?
‘จะอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายภัยซ่อนเร้นก็ยังอยู่ ตราบใดที่อี้เฟิงนั่นยังไม่ตาย…’
พอคิดถึงเรื่องที่อี้เฟิงล่วงรู้ว่าเขามีตราผนึกมารและมันดันหนีไปได้แบบนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็จมลงไม่น้อย
เขาบังเกิดสังหรณ์ประการหนึ่ง ว่าอี้เฟิงจะใช้เรื่องตราผนึกมารนำพามรสุมมาสู่เขา
จากนั้นปัญหามากมายย่อมประดังใส่เขาเป็นแน่…
“ที่แท้เป็นเช่นนั้น”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเฟิ่งหวู่เต้า สื่ออวิ๋นก็พอจะคาดเดาสาเหตุได้”ดังนั้นนับว่าท่านยังมีโชคนัก…สำหรับผู้ที่ลงมือฆ่าอาวุโสสูงสุดกระทั่งทำให้ประมุขอย่างอี้เฟิงหวาดกลัวจนต้องหลบหนีไป ข้าเชื่อว่าสมควรเป็น 1 ในตอเหล็กที่นิกายหยินหมิงมันเผลอไปเตะเข้า! เพราะอย่างไรเสียเรื่องชื่อเสียของนิกายหยินหมิง ก็ล่วงรู้กันทั้งประเทศฝูเฟิงอยู่แล้ว การที่สักวันพวกมันจะประสบหายนะเข้าเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร!”
อย่างไรก็ตามสื่ออวิ๋นไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ‘ตอเหล็ก’ ที่นางกล่าวถึง ก็คือต้วนหลิงเทียนที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้า!