บทที่ 231 ข้าขอเลียนแบบท่านอาเขยก็พอแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 231 ข้าขอเลียนแบบท่านอาเขยก็พอแล้ว

เหยาเฉายิ้ม จากนั้นก็พูดกับลูกชายว่า “อยากดื่มสักจอกก็ดื่มเถอะ แม่เจ้าไม่อยู่ไม่มีคนคอยควบคุม”

เขาพูดขณะยื่นแก้วไปตรงปลายจมูกของเหยาเอ้อหลาง พยายามหลอกล่อเหมือนกับกลัวว่าเขาจะไม่ดื่มก็มิปาน

ครั้นเหยาซูเห็นท่าทางไม่น่าเชื่อถือของพี่รอง ก็ตระหนักได้ถึงบทบาทสำคัญของพี่สะใภ้รองภายในบ้านได้อย่างลึกซึ้ง

หญิงสาวกำลังจะเอ่ยห้ามปราม แต่กลับเห็นเหยาเอ้อหลางเด็กโง่เขลาผู้นี้แย่งสุราดอกกุ้ยฮวาที่รินจนเต็มจอกจากมือของผู้เป็นพ่อกระดกลงท้องไปทันที

“แค่กๆ! แค่กๆๆ! อ๊า แสบ แสบคอมาก! แค่กๆ!”

เหยาเอ้อหลางไอโขลกตัวสั่นสะท้านราวกับแผ่นดินไหว ใบหน้าแดงก่ำ ทำเอาอาจื้อและอาซือตกใจจนถอยหลังกรูดทีเดียว

ผ่านไปพักใหญ่ความแสบร้อนในลำคอก็ยังไม่ทุเลาลง เขาหันไปมองเหยาเฉาด้วยใบหน้าแดงเถือก “ท่านพ่อ เหตุใดถึงได้แสบคอเพียงนี้?”

สุรานั้นมีกลิ่นหอมหวาน แต่หลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้วกลับเป็นอีกเรื่อง

เหยาเอ้อหลางรู้สึกแค่ว่าตั้งแต่ปลายลิ้นจนถึงหลอดอาหาร ไล่ลงไปจนถึงท้องล้วนร้อนรุ่มราวกับโดนเปลวไฟแผดเผา ศีรษะก็วิงเวียนไปหมด

ใบหน้าของเหยาเฉาเผยรอยยิ้มอันสดใส และเอ่ยถามว่า “ลูกรัก ต่อไปจะดื่มเหล้าอีกไหมเล่า?”

เหยาเอ้อหลางมองเหยาเฉาด้วยสายตาที่เต็มรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา และส่ายหน้าระรัว

ชายหนุ่มยังไม่ยอมรามือ รินสุราใส่จอกของตัวเองจนเต็มปริ่ม คลี่ยิ้มตาหยีพร้อมกับยื่นไปยังทิศทางของอาจื้อ “ต้าเป่า เอ้อเป่าก็อยากดื่มไม่ใช่หรือ? พี่รองของพวกเจ้าลองดื่มแล้ว เขารู้สึกแสบคอ แต่ลุงรองไม่รู้สึกเช่นนั้น พวกเจ้าสองคนอยากจะลองหรือไม่?”

อาจื้อและอาซือรีบส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋งของเด็ก ๆ เพราะกลัวว่าจะหลีกเลี่ยงเหล้าที่อยู่ในมือของเหยาเฉาไม่ทัน

ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท นิ้วมือที่เรียวยาวขาวเนียนดุจหยกของเหยาเฉาบีบจอกเหล้าอย่างเบามือ ครั้นเห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดที่ทำให้สุขกายสุขใจภาพหนึ่ง แต่เด็กทั้งสองคนกลับตื่นกลัวได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอาหาร ไม่เงยหน้าขึ้นมามองเหล้าในมือของเขาอีก

เหยาซูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งยังบ่นพึมพำกับหลินเหราว่า “ท่านดูพี่รองสิ ยามสนับสนุนผู้อื่นช่างทำตัวใจกว้างยิ่งนัก จริง ๆ เลยเชียว”

เหยาเฉาหันกลับไปด้วยรอยยิ้ม “อาซู ข้าหูดีนะ เจ้านินทาว่าร้ายอะไรข้าได้ยินหมดแล้ว”

เหยาซูฉีกยิ้มกว้าง ยกจอกเหล้าชนกับของเหยาเฉาอย่างแผ่วเบา “เยี่ยม ๆๆ พี่รอง ข้าชดใช้เอง จอกนี้ขอดื่มให้พี่”

เหล่าผู้ใหญ่พูดคุยไปพลางดื่มไปพลาง ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่นานท้องฟ้าก็มืดสนิทลง

แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันสว่างขึ้น พาให้อบอุ่นไปทั่วทั้งห้อง…

ยามรุ่งสางในวันต่อมา ทุกคนต่างตื่นนอนกันอย่างพร้อมเพรียง

เหยาซูตรวจสอบสัมภาระที่จัดเตรียมให้แก่หลินเหราและอาจื้อเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งยังคอยกำชับว่าต้องพักระหว่างทางอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างพร้อมก็เตรียมออกเดินทาง

ซานเป่ายังนอนหลับอยู่ในห้อง เหยาซูไม่ได้อุ้มเขาออกมา ยามที่กำลังจะลงกลอนประตูนั้น ก็ได้ยินเสียงขานเรียกของเหยาเอ้อหลาง “ท่านอาเขย ท่านอาเขย! เรามาแล้ว!”

ท้องฟ้ายังมืดสนิท ร่างเงาที่ดูสูงและเตี้ยทั้งสองคนเดินมาจากที่ไกล ๆ ในมือใหญ่นั้นจูงม้ามาด้วยหนึ่งตัว

เหยาเอ้อหลางรุดขึ้นหน้าอย่างกระตือรือร้น มาสมทบกับอาจื้อและอาซือ

เหยาซูเดินมาพร้อมกับเอ่ยถามเหยาเฉาด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง กินข้าวเช้ามาแล้วหรือยัง?”

เหยาเฉาส่ายหน้าอย่างจริงจัง

เขาไม่ได้ทำอาหารเช้า เพราะเหยาเอ้อหลางมักนอนตื่นสายทุกวัน จึงต้องมากินข้าวบ้านของผู้เป็นอา

เหยาซูทอดถอนใจ นางคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

ตัวเองมีพี่ชายสองคน จัดการเรื่องใหญ่ ๆ ได้อย่างน่าเชื่อถือ แต่ถ้าจะคาดหวังให้พี่รองเหมือนพี่ใหญ่ที่แม้แต่เรื่องเล็กก็ไม่ต้องเป็นห่วงคงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เลย

หญิงสาวยื่นห่อผ้าขนาดเล็กในมือชิ้นหนึ่งให้แก่เหยาเฉา พร้อมพูดว่า “ในนี้มีแผ่นแป้งที่ถูกห่อด้วยกระดาษไขอยู่หลายชิ้น ถ้าเกิดหิวระหว่างทางก็หยิบออกมากินได้”

เหยาเฉารับไป ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามว่าในแผ่นแป้งของนางนั้นมีไส้หรือไม่ ก็เห็นเหยาซูหยิบห่อผ้าอีกห่อออกมา และพูดกับเขาว่า “ในนี้มีเศษเงินห่อเอาไว้ แบ่งไว้เป็นกอง ๆ อยู่ในถุงเงิน เข้าเมืองหลวงไปคงต้องใช้ประโยชน์จากมัน

เหยาเฉารับมาตามปกติ

กระทั่งเห็นเหยาซูหยิบอีกหนึ่งสัมภาระออกมา…

เหยาเฉาจึงรีบพูดขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว พอได้แล้ว! ของกินก็เอาไปแล้ว ของอย่างอื่นก็มีเงินซื้อแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรไปเพิ่มแล้ว”

เหยาซูมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาไม่พอใจ และพูดว่า “พี่รอง! เมื่อครู่ล้วนเป็นของของพี่ แต่มันยังมีของหลานชายพี่ด้วย!”

เหยาเฉาจนใจทำได้แค่ยื่นมือออกไปรับมา

กระทั่งได้ยินนางพึมพำว่า “ท่านและอาเหราขี่ม้ากันคนละตัว อาเหราพาต้าเป่าไปด้วย จึงต้องรบกวนพี่รองช่วยแบกสัมภาระเพิ่มอีกสักหน่อย พวกเขามีของกินติดตัวกันแล้ว ถ้าไม่พอก็แวะพักแผงลอยขายน้ำชาระหว่างทาง ซื้อขนมและน้ำดื่ม….”

เหยาเฉาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องสาวที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาจนเติบใหญ่ของตัวเองจะจู้จี้จุกจิกได้ขนาดนี้ เขาทำได้แค่ตอบ “อื้อ อื้อ อ่า อ่า” อย่างต่อเนื่อง พลางเบนความสนใจมาฟังบทสนทนาของเหยาเอ้อหลางและอาจื้อ

เหยาซูมองออกว่าหัวใจของเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว จึงได้พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พี่รอง! ข้ากำชับพี่แทนพี่สะใภ้รองนะ ตั้งใจฟังหน่อยสิ!”

ใบหน้าอันหล่อเหลาของเหยาเฉาได้แสดงสีหน้าจนปัญญาออกมา จากนั้นก็มองไปยังเหยาซู

เขายืนฟังเหยาซูบ่นจู้จี้จุกจิกอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ในที่สุดก็ฟังเนื้อหาที่นางกำชับเน้นย้ำแล้วเน้นย้ำอีกจนจบ เหยาเฉาจึงได้โล่งใจ

ในตอนนั้นเอง หลินเหราเดินออกมาพอดี เหยาเฉาจึงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแตะไหล่ของเขา จากนั้นก็เอนพิงบ่าของเขาอย่างไม่ลังเล “อาเหรา น้องรัก ที่แท้เจ้าก็อยู่ไม่ง่ายเลย…”

หลินเหรามีสีหน้าไม่เข้าใจ เขาจึงเดินมาเร่งเหยาซู “อาซู ต้องออกเดินทางแล้วล่ะ”

เหยาซูพยักหน้า แต่ก็ยังมิวายชำเลืองตามองเหยาเฉาแวบหนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดผู้เป็นมารดาจึงต้องจู้จี้จุกจิกกับเหยาเฉามากที่สุดในบ้าน

เขาเอียงศีรษะพิงตัวของหลินเหราอย่างเกียจคร้าน ราวกับหัวกะโหลกถูกกระชากหลุดออกไปหมดแล้วอย่างไรอย่างนั้น ตรงกับที่แม่เฒ่าเหยาว่าไว้ไม่มีผิด ‘ต่อหน้าครอบครัวของตัวเองมักทำตัวตามใจตัวเอง’

เหยาซูอดยิ้มออกมาไม่ได้

หญิงสาวคิดในใจ ‘น่าจะให้คนที่ชื่นชอบพี่รองเห็นนิสัยนี้จริง ๆ ว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้หล่อเหลาและสูงส่งในใจของพวกเขา ขี้เกียจตัวเป็นขนขนาดไหน…’

เวลานี้ยังเหลือเวลานัดหมายอีกไม่มากนัก ทั้งหมดจึงเดินตรงไปยังทิศตะวันออกอย่างเชื่องช้าอาจื้อปกป้องอาซืออยู่บนหลังม้าตัวหนึ่ง เหยาเอ้อหลางขี่ม้าอีกตัว เหยาเฉาและหลินเหราแยกกันจูงเชือกบังเหียนคนละตัว และเดินไปอย่างสบายอารมณ์

เมื่อมาถึงด้านทิศตะวันออกของเมือง พวกเขามองเห็นประตูเมืองจากที่ไกล ๆ มีทหารเฝ้าประตูยืนตัวตรงอยู่จำนวนหนึ่ง เหมือนจะกำลังพูดบางอย่างกับคนที่ยืนอยู่หน้าประตู

เมื่อพวกเขามาถึงตรงหน้า คนแรกที่เห็นคือเซี่ยเชียนที่แต่งกายด้วยชุดทหารม้าเต็มยศ ทำให้ดูสูงสง่าและกล้าหาญยิ่ง

เขามีสีหน้าเรียบเฉย ผมถูกรวบเกล้าขึ้นสูงเพราะต้องขี่ม้า เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลามากกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าเป็นปัญญาชนคนหนึ่ง มือที่จับพู่กันต้องเปลี่ยนมาจับเชือกบังเหียน แต่กลับไม่ได้ดูอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย

ขุนนางฝ่ายพลเรือนมักจะแต่งกายด้วยชุดแขนกว้าง บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นชุดแขนแคบรัดรูป เผยให้เห็นความงามของพละกำลังแขนอย่างชัดเจน

เมื่อทุกคนเห็นเซี่ยเชียน ต่างก็ทยอยกันกล่าวทักทายเขา

เซี่ยเชียนตอบรับเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อมากันพร้อมเพรียงแล้ว เช่นนี้ก็ออกเดินทางกันเถอะ”

เหยาซูได้กำชับให้เดินทางอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พาอาซือและเหยาเอ้อหลางมายืนอยู่ริมทาง ยืนส่งพวกเขาค่อย ๆ เดินไกลออกไป

เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว เหยาซูจึงละสายตากลับมา

แต่นางก็พลันเห็นอาซือยังมองตาปริบ ๆ และอ้าปากพึมพำว่า “ท่านแม่ ท่านปู่เซี่ยช่างงดงามยิ่งนัก…”

ท่าทางของเซี่ยเชียนเมื่อครู่ แม้แต่เหยาเอ้อหลางเองก็ยังมิอาจละสายตา ครั้นได้ยินคำพูดของญาติผู้น้อง จึงอดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้

หากแต่เขายังไม่เข้าใจ “ลุงเซี่ยเป็นปัญญาชนมิใช่หรือ? เหตุใดถึงได้ขี่ม้าเป็น?”

เหยาซูเขกศีรษะของเหยาเอ้อหลางหนึ่งทีและพูดว่า “เขาเรียกว่าขุนพลที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อตอนที่เขายังเด็กมาก พวกเรื่องระเบียบ ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า ตำราและตัวเลขล้วนเป็นสิ่งที่ต้องจำให้ได้ขึ้นใจ

เหยาซูไม่ค่อยรู้ความสามารถของเซี่ยเชียนนัก แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคที่นางจะใช้โอกาสนี้ผลักดันหลานชายให้ก้าวหน้า “บุคคลที่มีความสามารถจากแคว้นเยี่ยน ล้วนเป็นชายที่ต้องเก่งทุกด้าน ยามบู๊ก็ต้องขี่ม้าดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง ยามบุ๋นก็ต้องจับพู่กันขีดเขียนได้อย่างสง่างาม เอ้อหลางอยากเป็นท่านแม่ทัพมิใช่หรือ? แต่ท่านแม่ทัพจะต้องเข้าใจสาส์นที่กราบทูล ต้องร่ำเรียนตำราพิชัยสงคราม มิเช่นนั้นก็เป็นเพียงแค่ทหารธรรมดาในสงครามเท่านั้น”

ครั้นเหยาเอ้อหลางได้เห็นท่านอาพูดออกมาเช่นนี้ ก็ได้แค่ฟังอย่างโง่เขลา

เขาอ้าปากกว้างและพูดด้วยความตื่นตกใจ “ยามบู๊ต้องขี่ม้าดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง ยามบุ๋นก็ต้องจับพู่กันขีดเขียนได้อย่างสง่า…. ท่านอา ที่ท่านพูดมาช่างเก่งยิ่งนัก! ท่านปู่เซี่ยเป็นคนเช่นนี้หรือขอรับ? เช่นนั้นก็เก่งกว่าท่านอาเขยสิ!”

ไฉนเลยเหยาซูจะรู้ความสามารถของเซี่ยเชียน นางรู้เพียงว่าเซี่ยเชียนสอบจอหงวนผ่าน ร่ำเรียนเก่ง แต่เรื่องที่เขาต่อสู้ได้หรือไม่นั้น…

หญิงสาวกระแอมเบา ๆ แล้วสวนกลับว่า “ท่านปู่เซี่ยเป็นน้าแท้ ๆ ของอาเขยของเจ้า ก็ต้องเก่งกว่าอาเขยของเจ้าสิ”

โลกของเหยาเอ้อหลางเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เดิมทีเขาเห็นหลินเหราเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด คิดว่าเขาเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลก ครั้นได้ยินว่ายังมีคนที่เก่งกว่าหลินเหรา จึงถึงกับตื่นตกใจไปชั่วขณะ

เขาพูดตะกุกตะกักว่า “เช่น เช่นนั้นข้า…ข้าขอเลียนแบบท่านอาเขยก็พอ”

……………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สอนลูกด้วยยาแรงขนาดนี้เลยเหรอพี่เฉา จะว่ากวนก็กวนนะคะ แต่ขณะเดียวกันก็น่ารัก

เอ็นดูเอ้อหลางที่บอกว่าขอมองแค่ท่านอาเขยเป็นไอดอล คนที่เทพกว่านั้นไม่กล้ามองจังค่ะ

ไหหม่า(海馬)