บทที่ 232 ฝ่าบาทมีสิ่งใดรับสั่งบ้างหรือไม่
ไฉนเลยเหยาซูจะไม่รู้จักนิสัยของเหยาเอ้อหลาง?
หญิงสาวอยากจะเปลี่ยนความคิดของเอ้อหลาง จึงตั้งใจพูดว่า “เจ้าคิดว่าอาเขยของเจ้าไม่เรียนหนังสือเช่นนั้นหรือ การเรียนของเขาดีอย่าบอกใครเชียว ตำราพิชัยสงครามที่ผู้อื่นเรียกกัน ล้วนฝังอยู่ในสมองของเขา”
เหยาเอ้อหลางเบิกตากว้างเพราะไม่เชื่อ จึงหันไปถามอาซือว่า “เอ้อเป่า ท่านอาเขยเก่งขนาดนี้จริง ๆ หรือ?”
ในสายตาของเด็กหญิง ผู้เป็นพ่อย่อมเก่งที่สุดในโลกเสมอ ไม่มีสิ่งใดที่ผู้เป็นพ่อทำไม่ได้ ไม่มีเรื่องใดที่ผู้เป็นพ่อแก้ไขไม่ได้
เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าอย่างมั่นใจและพูดอย่างจริงจังว่า “ใช่”
เหยาเอ้อหลางขมวดคิ้วน้อย ๆ คู่นั้น และเงียบลงอย่างอดไม่ได้
เหยาซูพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้าน ขณะนี้ท้องฟ้าพอมีแสงรำไร เมืองชิงถงค่อย ๆ เริ่มมีเสียงก่อไฟทำอาหารเช้าดังขึ้นจากแต่ละครัวเรือนอย่างชัดเจน
ควันจากการทำอาหารค่อย ๆ ลอยขึ้นมาตามแสงยามอรุณรุ่งจากทิศตะวันออก ทำให้ทั้งเมืองชิงถงฟื้นจากการหลับใหลช้า ๆ
เด็กตัวน้อยอย่างเหยาเอ้อหลางคอยเดินเคียงข้างผู้เป็นอาและญาติผู้น้อง ในที่สุดก็ได้ความคิดของตัวเองเป็นครั้งแรก
……..
อีกด้านหนึ่ง อาจื้อถูกผู้เป็นพ่อโอบกอดพลางบังคับม้าอย่างสบายใจยิ่งนัก
เซี่ยเชียนขี่ม้าเป็นตั้งแต่เด็ก หลินเหราก็เคยชินกับการเข่นฆ่าอยู่บนหลังม้า กลับเป็นเหยาเฉาที่ปกติแล้วไม่ค่อยได้แสดงความสามารถ แต่สามารถไล่ตามระดับความเร็วของทั้งสองคนได้
อาจื้อตะโกนพูดกับหลินเหราที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างสุดเสียงว่า “ท่านพ่อ! เรายังต้องเดินทางกันอีกนานแค่ไหนขอรับ?”
แม้ว่าหลินเหราจะได้ยินเสียงตะโกนที่แหบแห้งท่ามกลางสายลมอย่างชัดเจน แต่ไม่อยากตะโกนโต้ตอบเหมือนกับเขา
ชายหนุ่มตีขาของอาจื้อ ส่งสัญญาณให้หุบปาก
อาจื้อตื่นเต้นจนมิอาจควบคุมตัวเองได้ เขามองซ้ายทีขวาที แทบจะดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนหลังม้า
หลินเหราดึงเชือกบังเหียนด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับโอบกอดร่างเล็ก ๆ ของอาจื้อไว้ ดึงเขามากักตัวอยู่ตรงหน้าของตน หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาตกลงจากหลังม้าในขณะที่กำลังวิ่ง
“ท่านพ่อ ท่านขี่ม้าเร็วมาก!”
ชายหนุ่มยังคงไม่สนใจ ทว่าก็ยับยั้งความตื่นเต้นของอาจื้อไม่ได้
เขาหลับตาลง จินตนาการว่าเมื่อเขาโตขึ้น ตัวเองจะต้องขี่ม้าด้วยความเร็วเช่นนี้เพียงลำพัง
“ไว้โตเป็นหนุ่มแล้ว” เขาพูดต่อด้วยเสียงเบาและทุ้มต่ำแต่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น “อีกไม่กี่ปี ข้าจะพาเอ้อเป่าไปขี่ม้าด้วยกัน ถึงตอนนั้น น้องจะต้องตื่นเต้นยิ่งกว่าข้าแน่!”
อาจื้อที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอนกายพิงหลินเหรา ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมแปลกใหม่
ตั้งแต่เด็กจนโต เขามีโอกาสใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับพ่อเช่นนี้น้อยมาก
น้อยนักที่หลินเหราได้สัมผัสกับเขา ได้ให้กำลังใจเขา และยิ่งกว่านั้นคือการเร่งรัดเขาอย่างรุนแรงเหมือนกับเหยาซู
บัดนี้ที่โดนผู้เป็นพ่อโอบกอดแน่นเช่นนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกของอาจื้อ
เขาคิดว่าหน้าอกของท่านพ่อจะต้องกว้างมากแน่นอน
หัวใจของท่านพ่อก็เต้นเร็วกว่าเขา เพราะกำลังขี่ม้าอยู่ใช่หรือไม่?
ท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงเขาอยู่แน่? มิเช่นนั้นไม่มีทางที่จะดึงเขามาปกป้องเช่นนี้
ท่านแม่เคยบอกว่า เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชาย ดังนั้นท่านพ่อจึงไม่ได้แสดงความอบอุ่นและปกป้องเฉกเช่นน้องสาว แต่ท่านพ่อก็รักเขา
อาจื้อเอนกายพิงหน้าอกของหลินเหรา ในที่สุดก็สัมผัสได้จริง ๆ ว่าท่านพ่อรักเขา…
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนควบม้าวิ่งต่อไป แต่กลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าภายใต้รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กชายที่นั่งอยู่บนม้าสีน้ำตาลแดงเริ่มมีดวงตาแดงก่ำ
จากเมืองชิงถงมาถึงเมืองหลวง ม้าที่วิ่งเร็วก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามวัน หลินเหราและคนอื่นได้คำนึงถึงอาจื้อที่อายุยังน้อย จึงไม่ได้วางแผนการเดินทางที่รัดกุมเข้มงวดเช่นนั้น
รอกระทั่งเห็นประตูใหญ่ของเมืองหลวง ก็เป็นเวลาช่วงบ่ายของวันที่สี่แล้ว
ระหว่างทางที่ต้องขี่ม้า ทั้งสามคนล้วนมีสีหน้าเหนื่อยล้าอิดโรย อาจื้อนั้นโดนลมจนปากแห้งแตก ขยับเพียงเล็กน้อยก็มีเลือดซิบ
ส่วนม้าได้ถูกชะลอความเร็วลงก่อนจะถึงเมืองหลวง พวกเขาลงจากหลังม้า แล้วต่อแถวเข้าเมือง
เหยาเฉามองไปทางอาจื้อแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปลดกระบอกน้ำที่เหน็บอยู่บนเอวออกมา และพูดกับเขาว่า “ดื่มน้ำสักหน่อย”
ลำคอของเด็กชายแห้งผากจนแทบขาดใจ จึงรับกระบอกน้ำนั้นมากระดก “อึก อึก” จากนั้นก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ
เหยาเฉาพลันพูดขึ้นอย่างจนใจ “กระหายน้ำก็ตะโกนบอกพ่อเจ้าสิ เราจะได้หยุดพักกัน เหตุใดจะต้องอดทนขนาดนั้นด้วย?”
ครั้นเห็นรอยแตกระแหงบนริมฝีปากของอาจื้อ หลินเหราจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปทางเขาอย่างไม่พอใจ
มีแค่เซี่ยเชียนเท่านั้นที่เหมือนกับไม่ได้ยินสิ่งใด แม้แต่สายตาก็ไม่หันมามองอาจื้อแม้แต่น้อย
เด็กผู้ชายส่ายหน้า “ฝืนอีกหน่อยก็ถึงแล้วขอรับ ถ้าต้องหยุดเพราะหิวน้ำไปตลอดทาง เกรงว่าจะได้รับโทษมากกว่าเดิม”
ระหว่างที่พูดคุยนั้นทั้งสี่คนได้มาถึงด้านหน้าสุดของกองกำลังทหาร ในขณะที่กำลังเข้าตรวจสอบจากทหารเฝ้าประตูเมืองนั้น พลันได้ยินเสียงที่ดูอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “หัวหน้าเซี่ย? ท่านจริง ๆ หรือ?”
เซี่ยเชียนมองไปทางคนที่พูดด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะหยุดชะงักไปชั่วครู่ หากแต่ไม่ได้แสดงท่าทีอื่น เห็นได้ชัดว่าเขาจำคนผู้นั้นไม่ได้
คนที่พูดนั้นมีอายุไม่มากนัก น่าจะราวสิบห้าสิบหกเห็นจะได้ หน้าตาก็หล่อเหลา เพียงแต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวแตกต่างจากทหารเฝ้าประตูทั่วไป
เขายิ้มและพูดกับเซี่ยเชียนว่า “ข้าน้อยเซี่ยวเหวย น้อมคารวะหัวหน้า ท่านพ่อของข้าน้อยนามว่าเซี่ยวเหวิน ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารองครักษ์ เมื่อครั้งงานเลี้ยงในราชวัง ท่านพ่อเคยพาทหารอย่างข้าน้อยมาเฝ้ารักษาการณ์ ณ ประตูทิศตะวันออกของเมือง ในตอนนั้นหัวหน้าเซี่ยรับหน้าที่คุ้มกันทั่วทั้งราชวัง ข้าน้อยโชคดีได้เข้าร่วมฟังการอบรมสั่งสอนจากหัวหน้า”
เซี่ยเชียนพยักหน้าอย่างสุภาพ บ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจ
ชื่อเสียงของเซี่ยเชียนเวลาอยู่ในเมืองหลวงไม่เพียงแต่จะอยู่ในแวดวงปัญญาชน ด้วยฝ่าบาททรงไว้วางใจเขายิ่งกว่าใคร การคุ้มกันเมืองหลวงก็มักจะได้คำแนะนำและแผนการขององค์จักรพรรดิมาจากปากของเซี่ยเชียนเสมอ ทำให้ทุกคนต่างจำเขาได้
เซี่ยวเหวยรู้จักนิสัยที่ไม่ค่อยชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นของเซี่ยเชียนดีกว่าใคร จึงรีบพูดว่า “ช่วงนี้เกิดการจลาจลขึ้นในเมืองเล็กน้อย ทหารตรวจการจึงต้องเข้มงวดขึ้น คงรบกวนท่านนานแย่ หัวหน้าเซี่ยคงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คนเหล่านี้เดินทางมาพร้อมกับท่านใช่หรือไม่? รีบเข้าในเมืองกันเถอะ”
ขณะที่พูดเขาก็ได้ออกคำสั่งทหารเฝ้าประตูเมืองให้รีบปล่อยผ่านไป
แม้ว่าเซี่ยเชียนจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขาผู้ซึ่งเกิดมาในตระกูลขุนนาง มีความสุภาพเรียบร้อยฝังอยู่ในกระดูกดำ หลังจากกล่าวขอบคุณเซี่ยวเหวย พวกเขาก็ไม่ได้โดนซักถามอย่างละเอียดเหมือนกับผู้ที่เดินทางเข้าเมืองคนอื่น ๆ เดินตรงเข้าไปด้านในได้ทันที
ดวงตาของอาจื้อเปล่งประกายระยิบระยับ จากนั้นก็มองเซี่ยเชียนและพูดว่า “ท่านปู่เซี่ยเก่งที่สุด! แม้แต่ทหารคุ้มกันราชวังก็ล้วนรู้จักท่านปู่เซี่ย ทั้งยังเชื่อฟังคำตักเตือนของปู่เซี่ยด้วย!”
เหยาเฉาอดประหลาดใจไม่ได้ เขารู้แค่ว่าเซี่ยเชียนมีอิทธิพลต่อปัญญาชน แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงเช่นนี้ด้วย
กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนพูดเสียงราบเรียบว่า “ไปกันเถอะ ไปจวนของข้าเสียก่อน”
ภายในเมืองจะขี่ม้าตามใจชอบไม่ได้ ทั้งสามคนจึงต้องเดินจูงม้า ตรงไปยังจวนของเซี่ยเชียนอย่างเชื่องช้า
อาจื้อมองซ้ายแลขวาไปตลอดทาง จนเริ่มรู้สึกตาลาย
เมืองหลวงเป็นเมืองภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิ ตระกูลขุนนางและตระกูลผู้สูงศักดิ์ต่างแสดงอำนาจได้อย่างเต็มที่ แค่เส้นทางก็ยังกว้างขวางกว่าในเมืองชิงถงเป็นเท่าตัว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงร้านค้าและคนหาบเร่ทั้งสองฝั่งเลย
ประกอบกับถนนที่ถูกปูด้วยหินสีเงินดูสะอาดสะอ้าน มีแต่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนน มีรถม้าผ่านเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นที่ลอยฟุ้งขึ้นมา เมื่อเทียบกับดินโคลนในเมืองชิงถงแล้ว ถือว่าสะอาดกว่าระดับหนึ่งทีเดียว
เขาอ้าปากกว้าง พลางพูดอย่างทอดถอนใจ “เมืองหลวงช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เหยาเฉาหัวเราะด้วยเสียงเบา สองสามวันที่ได้อยู่ร่วมกับอาจื้อทั้งกลางวันและกลางคืน เขารู้สึกว่าอาจื้อร่าเริงคึกคักยิ่งกว่าแต่ก่อน
หลินเหราและเซี่ยเชียนทั้งสองคนต่างก็พูดน้อย มีแค่เหยาเฉาเท่านั้นที่ต้องพูดคุยกับหลานชาย “ต้าเป่าชอบเมืองหลวงไหม?”
อาจื้อครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เมืองหลวงนั้นใหญ่มาก และสะอาดมากขอรับ”
เหยาเฉายิ้มให้กับความคิดตามแบบฉบับของเด็ก ในที่สุดก็สัมผัสได้ว่าหลานชายคนนี้ได้กลายเป็นเหมือนเด็กต่อหน้าผู้อาวุโส
เมืองหลวงนั้นช่างกว้างขวาง หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาจากประตูด้านทิศตะวันตกแล้ว ก็ตรงไปยังทิศตะวันออกของเมือง ไม่นานก็เห็นผู้คนค่อย ๆ บางตาลง จวนที่พักเริ่มมีมากขึ้น
ทางตอนเหนือของเมืองเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิ ส่วนขุนนางและท่านแม่ทัพที่พระองค์ไว้วางใจส่วนมากจะอยู่ทิศตะวันออกของเมือง เพราะสะดวกต่อการออกว่าราชกิจ ซึ่งจวนเดิมของตระกูลเซี่ยนั้นตั้งตระหง่านอยู่ทิศตะวันออกของเมือง
เซี่ยเชียนพาทุกคนมาถึงด้านหน้าที่พักอาศัยในปัจจุบันนั้นคือบ้านสามทางเข้า ถ้ายืนตรงหน้าจะมองไม่เห็นด้านใน เหนือประตูใหญ่มีคำว่า ‘จวนตระกูลเซี่ย’ ที่ฝ่าบาททรงเขียนด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง
แม้จะเป็นจวนเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับจวนที่เดินทางผ่านมาเมื่อครู่ ยังถือว่าเล็กมาก
อาจื้อพูดด้วยความอยากรู้ว่า “บ้านที่ท่านปู่เซี่ยอาศัยอยู่ในตอนนี้ เป็นจวนตระกูลเซี่ยในอดีตหรือไม่ขอรับ?”
เซี่ยเชียนส่ายหน้า “ที่แห่งนี้คือจวนที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้ จวนตระกูลเซี่ยแห่งเดิมได้ถูกปิดไปแล้ว ไม่มีใครอยู่”
อาจื้อครุ่นคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเซี่ยเชียนถึงไม่กลับไปยังสถานที่ที่เขาเติบโตมาตั้งแต่เด็ก
ครั้นเห็นเซี่ยเชียนพาพวกเขาขึ้นบันได อาจื้อก็ทำได้แค่ข่มความอยากรู้นั้นไว้
ทั้งสามคนเดินตามเซี่ยเชียนเข้าไปในจวนหลังนี้ ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาต้อนรับ จูงม้าของพวกเขาไป
ผู้ดูแลบ้านยังพาสาวใช้ที่ค่อนข้างถ่อมตัวสี่คนเข้ามา พลางพูดอย่างนอบน้อม “ยินดีต้อนรับหัวหน้ากลับบ้านเจ้าค่ะ ห้องรับรองที่หัวหน้าได้สั่งการไว้ก่อนหน้านั้นเก็บกวาดไว้เรียบร้อยแล้ว จะให้พาแขกไปพักเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
เซี่ยเชียนพยักหน้าเบา ๆ และออกคำสั่งเพียงสั้น ๆ “พาพวกเขาอาบน้ำพักผ่อน ช่วงค่ำค่อยมากินอาหารในห้องโถงด้านหน้า”
ผู้ดูแลบ้านโบกมือเล็กน้อย ให้สาวใช้ทั้งสี่คนพาสองพ่อลูกหลินเหรา และเหยาเฉาไปยังห้องรับรอง
เซี่ยเชียนเดินตรงไปยังจวนของตัวเอง ข้างกายมีผู้ดูแลที่เดินตามโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง คล้ายกับคนล่องหน
การเดินทางตลอดสี่วันเต็ม สีหน้าของเซี่ยเชียนดูเหนื่อยล้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เขาเอ่ยถามผู้ดูแลบ้านด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ช่วงนี้ฝ่าบาทมีสิ่งใดรับสั่งลงมาบ้างหรือไม่?”
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มาถึงเมืองหลวงแล้ว ชีวิตในเมืองหลวงของอาเหรากับลูกชายจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)