บทที่ 233 เจ้าให้อาซือเองเถอะ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 233 เจ้าให้อาซือเองเถอะ
บทที่ 233 เจ้าให้อาซือเองเถอะ

พ่อบ้านคนนี้เป็นคนที่องค์จักรพรรดิส่งมาและรับสั่งให้มาดูแลที่อยู่อาศัยของตระกูลเซี่ย แต่ที่มากกว่านั้นคือความประสงค์ของพระองค์ที่อาจจะมีความหมายอื่นแอบแฝง

เซี่ยเชียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แค่มีคนอยู่ข้างกาย ตราบใดที่อยู่ด้วยความสงบไม่สร้างความเดือนร้อนให้เขา เขาก็ไม่คิดอะไร

พ่อบ้านพูดด้วยความเคารพ “ฝ่าบาทตรัสไว้ เมื่อหัวหน้าเซี่ยกลับมาถึง ไม่ต้องรีบร้อนเข้าเฝ้าฝ่าบาท ให้พักผ่อนสักคืนก็ยังไม่สายขอรับ”

นี่เป็นความเอาใจใส่ที่องค์จักรพรรดิมีต่อขุนนาง

จักรพรรดิตรัสแล้วไม่คืนคำ ไม่เคยให้ผู้อื่นต้องรอพระองค์ ภายใต้การปกครองของพระองค์ก็ไม่มีขุนนางคนใดกล้าให้พระองค์มารอเช่นเดียวกัน

แต่พระองค์กลับรับสั่งให้เซี่ยเชียนนั้นพักผ่อนก่อน แม้ว่าเซี่ยเชียนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องทำตามคำสั่ง

เซี่ยเชียนแสดงสีหน้านิ่งเฉย คล้ายกับว่าไม่เห็นถึงการให้เกียรติและการเอาใจใส่ขององค์จักรพรรดิอยู่ในสายตา จากนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ

พ่อบ้านเดินตามเขาเข้าไปในลานบ้าน กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนออกคำสั่งว่า “เตรียมน้ำร้อน ที่เหลือออกไปเถอะ”

เพราะรู้ว่าเซี่ยเชียนไม่ชอบให้มีเสียงเคลื่อนไหวอยู่รอบตัว แล้วยิ่งไม่ชอบความรู้สึกของการถูกสาวใช้รุมล้อม พ่อบ้านจึงตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็พาสาวใช้ที่กำลังเก็บกวาดอยู่ในลานบ้านออกไป

เมื่อเตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบให้แก่เซี่ยเชียนเรียบร้อยแล้ว สาวใช้ในชุดกระโปรงยาวสีแดงชาด ดูมีเสน่ห์ตรึงตาตรึงใจก็ได้ถอยออกไป ในตอนนั้นเองก็บังเอิญชนกับพ่อบ้านหน้าประตูลานบ้านพอดี

“ฝูฉวี” เขาเอ่ยเรียก

สาวใช้ผู้นั้นไม่ทันสังเกต จึงตื่นตระหนกตกใจ “ไอหยา! ใต้เท้าหมิง เหตุใดท่านถึงมายืนอยู่ตรงนี้ละเจ้าคะ?”

พ่อบ้านได้รับพระราชทานนามว่า ‘เซี่ยหมิง’ เพราะเป็นข้ารับใช้ที่มาจากข้างกายพระองค์ ทุกคนภายในบ้านนอกจากเซี่ยเชียนแล้ว ผู้รับใช้ที่อยู่ใต้บัญชาล้วนแต่ต้องขานเรียกเขาอย่างนอบน้อมว่า ‘ใต้เท้าหมิง’

เซี่ยหมิงดูอายุราว ๆ สามสิบต้น ๆ ทว่าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ก่อนหน้านั้นก็เคยอ่านตำราอยู่ข้างกายจักรพรรดิเมื่อครั้งวัยเยาว์ จึงได้รับความไว้วางใจจากพระองค์ มิเช่นนั้นไม่มีทางถูกส่งมาเป็นพ่อบ้านของตระกูลเซี่ยแน่นอน

เขาพูดกับสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “มาเฝ้าดูว่าเจ้าจะออกมาเมื่อใด”

ฝูฉวีหน้าแดงทันใด แต่ก็ยังมิวายปากแข็ง “ใต้เท้าหมิงน่าขบขันยิ่งนัก รู้อยู่แล้วว่านายท่านไม่ชอบให้ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ข้าจะกล้าอยู่ด้านในต่อได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

แต่นางถือโอกาสในช่วงเวลาที่กำลังเตรียมเสื้อผ้าสะอาดให้แก่เซี่ยเชียน แอบมองผู้เป็นนายอยู่หลายครั้ง โดยไม่ให้เซี่ยเชียนจับได้

พ่อบ้านผู้ซึ่งแยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัว ภายนอกเหมือนกับหุ่นไม้ แต่ดวงตากลับกวาดมองนาง สายตาที่เฉียบคมคู่นั้นราวกับกำลังมองทะลุเข้าไปถึงความคิดทั้งหมดที่ถูกปกปิดไว้ในใจของฝูฉวี

เขาออกคำสั่ง “ต่อไปไม่อนุญาตให้อยู่ข้างกายนายท่านนานเกินไป หากมีคราวต่อไป จะต้องกลายเป็นใบ้และถูกส่งตัวออกไปขาย เข้าใจหรือไม่?”

สาวใช้ตัวสั่นงันงกกับคำขู่ของเซี่ยหมิง จึงอดพยักหน้าหงึกหงักไม่ได้ “เจ้าค่ะ… ฝูฉวีจะจดจำไว้”

ฝูฉวีตบหน้าอกเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมายาว ๆ

สมแล้วที่ใต้เท้าหมิงผู้นี้เติบโตมาในรั้วราชวัง สามารถพูดเรื่องส่งคนใบ้ออกไปขายได้อย่างสบายใจราวกับให้รางวัลเป็นอาหารหนึ่งมื้อไม่ก็โดนเฆี่ยนตีสักฉาก

ฝูฉวีเข้ามาอยู่ในจวนหลังนี้ได้ไม่นาน นางค่อนข้างขี้ขลาดไม่กล้าคิดสิ่งใด

จวนเซี่ยหลังนี้ค่อนข้างใหญ่โต แค่เรือนเล็กที่เตรียมไว้สำหรับแขกเหรื่อก็ปาไปหลายแห่งแล้ว

หลินเหราและอาจื้อถูกพาไปพักในเรือนแห่งหนึ่ง สาวใช้สองคนอยู่จัดระเบียบห้องนอนอย่างเร่งรีบ ส่วนอีกสองคนนำทางเหยาเฉาเดินต่อไปข้างหน้า…

เรือนเล็กแห่งนี้ล้อมรอบด้วยต้นไผ่จำนวนไม่น้อย ช่วงฤดูใบไม้ผลิมีต้นอ่อนแตกหน่อออกมามากมาย แค่เห็นต้นอ่อนสีเขียวก็พาให้รู้สึกสบายใจอย่างมาก

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสระน้ำนอกเรือนเล็กที่อยู่ไกลออกไป ปลาหลี่ที่ดูทึ่มทื่อเหล่านั้นมีรูปร่างใหญ่และงดงาม ทำให้อาจื้อไม่อยากเข้าเรือนก่อน

อาจื้อมองซ้ายทีขวาที จนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วนในวันนี้ “บ้านของปู่เซี่ยใหญ่โตมาก”

หลินเหราเดินเตร่อยู่นอกบ้านเป็นเพื่อนอาจื้อ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง หนึ่งในสาวใช้สองคนได้เอ่ยขึ้น “คุณชายหลิน นายน้อยเจ้าคะ ห้องรับรองได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขอโทษที่ทำให้ทั้งสองท่านต้องรอนานเจ้าค่ะ”

หลินเหราพยักหน้า อาจื้อเองก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเดินดูรอบ ๆ ขี่ม้ามาสี่วันเต็ม ต่อให้ตรงหน้าจะมีสิ่งที่ทำให้สดชื่นแค่ไหน เขาก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะชื่นชมมัน

ทั้งสองคนเดินตามสาวใช้เข้าไปในเรือน อาจื้อจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่สาวนามว่าอะไร?”

สาวใช้ผู้นั้นยิ้มบาง ๆ และพูดว่า “ข้าน้อยนามว่าฝูหย่า ฝูหลี่น้องสาวของข้าได้เตรียมน้ำร้อนและเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนให้ท่านทั้งสองแล้ว เชิญท่านทั้งสองพักผ่อนตามสบายเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงของฝูหย่านั้นเบาและราบเรียบ ประกอบกับใบหน้าที่งดงามมีเสน่ห์ของนาง ยิ่งทำให้รู้สึกสบายตา

หญิงสาวรินน้ำชาใส่แก้วให้หลินเหราและอาจื้อ จากนั้นก็ยืนอยู่อีกด้านอย่างเงียบ ๆ

หลินเหราไม่ชอบให้มีคนแปลกหน้าอยู่ข้างกาย จึงพูดกับฝูหย่าว่า “คงรบกวนแม่นางแย่ เชิญแม่นางตามสบายเถิด”

ฝูหย่ายิ้มบางเบา จากนั้นก็วางกาน้ำชาในมือลง ก่อนจะโค้งคำนับให้หลินเหราและถอยออกไป

อาจื้อเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “ไอหยา ในบ้านของปู่เซี่ยไม่เพียงแต่จะงดงามแล้วเท่านั้น แม้แต่เหล่าพี่สาวที่คอยรับใช้ก็ยัง ก็ยัง…”

ใบหน้าของหลินเหรายังนิ่งสงบ จากนั้นก็พูดกับอาจื้อว่า “ก่อนที่ตระกูลเซี่ยจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เคยเป็นตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในเมืองหลวง กฎระเบียบย่อมมากมาย ถ้าวันข้างหน้าเจ้าไม่คุ้นชิน ก็ออกไปอยู่คนเดียวได้”

เด็กชายยังคงครุ่นคิดว่าเหตุใดท่านพ่อถึงคิดว่าตัวเองจะไม่คุ้นชินกับที่นี่ แต่แล้วก็ค่อย ๆ ตระหนักได้ หลินเหรากำลังเป็นห่วงเขา

ใบหน้าของอาจื้อเผยรอยยิ้มแห่งความดีใจออกมาฉับพลัน จากนั้นก็พูดกับหลินเหราว่า “ไม่มีทางไม่คุ้นชินหรอก ท่านพ่อวางใจได้เลย ข้าอยู่ที่ไหนก็คุ้นชินหมดขอรับ”

หลินเหรามองไปทางลูกชายแวบหนึ่ง “อย่าลืมเขียนจดหมายถึงท่านแม่ล่ะ”

เด็กผู้ชายพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายระยิบระยับ “คืนนี้ข้าจะพูดกับท่านปู่เซี่ย จะขอยืมห้องหนังสือของเขาเขียนจดหมายถึงท่านแม่!”

หลินเหราตอบรับสั้น ๆ โดยไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ

หลังจากที่อยู่ด้วยกันติดต่อกันสี่วันเต็ม ทำให้เขามีความเข้าใจต่ออาจื้อมากขึ้น

ความเข้าใจนี้ช่างแตกต่างจากอดีตที่เคยคิดว่าอาจื้อสามารถ ‘จัดการเรื่องราวอย่างสุขุมและโตขึ้นเป็นหนุ่ม’ ‘มีความคิดเป็นของตัวเอง’ ไปโดยสิ้นเชิง แต่ได้เห็นความชื่นชอบและจุดบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตัวของเด็กชายโดยแท้จริง

หลินเหราคิดในใจ หรือที่อาซูพร่ำบอกกับเขาเสมอว่าให้มีเวลาอยู่ร่วมกับลูก ๆ นั้น ดูท่าจะมีประโยชน์อย่างที่คิดไว้

ความกระตือรือร้นของเด็กชายไม่เคยลดลง ยิ่งได้ใกล้ชิดกับหลินเหรามากกว่าในอดีต ก็ยิ่งทำให้เขาพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “ถ้าเอ้อเป่ามาเมืองหลวง จะต้องดีใจจนเหนื่อยแน่นอน! หลังจากที่เดินพ้นประตูตะวันตกของเมืองมาเมื่อครู่ ระหว่างทางข้าเห็นลูกนกที่วางขาย… ตอนที่ท่านพ่อกลับไป ช่วยพาลูกนกกลับไปให้น้องสักตัวได้หรือไม่ขอรับ?”

หลินเหราตอบกลับ “ถ้าอยากเลี้ยงก็เลี้ยงเองเถอะ ต่อไปเมื่อครอบครัวย้ายมาอยู่ในเมืองหลวง เจ้าก็ให้อาซือด้วยมือของเจ้าเอง”

อาจื้อตื่นตกใจ และพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านพ่อ เราจะย้ายมาอยู่ในเมืองหลวงจริง ๆ หรือขอรับ?!”

ครั้นเห็นเขาลุกพรวดขึ้นด้วยสีหน้าดีอกดีใจ หลินเหราก็พูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบว่า “แม่ของเจ้าปรึกษาเรื่องนี้กับข้าแล้ว บอกว่าตัดใจให้เจ้าอยู่ในเมืองหลวงคนเดียวไม่ได้”

อาจื้อถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ข่มความตื่นเต้นที่ฉายชัดออกมาทางแววตา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านแม่พูดเช่นนั้นจริงหรือขอรับ?”

หลินเหราชำเลืองตามองลูกชายแวบหนึ่ง “จะโกหกด้วยเหตุใด?”

ดูเหมือนอาจื้อจะอ่อนไหวกับเรื่องที่ต้องมาร่ำเรียนอยู่ในเมืองหลวงไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็เพิ่งอายุได้ไม่ถึงแปดขวบ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งแวดล้อมแปลกตาแต่อย่างใด แค่ท่านปู่เซี่ยที่มักมีสีหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็งก็ทำให้เขาอยากถอนตัวกลางคันแล้ว

เมื่อตระหนักได้ว่าวันข้างหน้าจะต้องอยู่กับเซี่ยเชียน อาจื้อจึงคิดจะเอาความหน้าด้านของตัวเองไปสู้กับกำแพงเมืองที่หนาขนาดนั้น ด้วยการชวนท่านปู่เซี่ยคุยน้ำไหลไฟดับไปเสียเลย ไม่ก็ตัวเขาเองนั้นแหละที่จะกลายเป็นน้ำแข็งเพราะความเย็นยะเยือกเสียเอง…

เขาพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างจริงใจ “ท่านแม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลก”

หลินเหราไม่เคยเห็นว่านิสัยใจของอาจื้อจะดูแปลกประหลาดเช่นนี้ จึงอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้

บทสนทนาของชายทั้งสองโดยส่วนใหญ่จะเป็นอาจื้อที่เป็นฝ่ายพูดเสียมากกว่า หลินเหราแค่ฟัง ระหว่างนั้นก็ตอบกลับไม่ก็ประเมินแก่เขาเป็นครั้งคราว

แต่ไรมาเด็กผู้ชายคิดว่าผู้เป็นพ่อนั้นเย็นชา แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับเซี่ยเชียนแล้ว หลินเหรานั้นดีกว่ามาก

ทั้งสองคนกำลังพูดคุยอย่างสบายอารมณ์โดยไร้จุดหมาย กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเบาบางดังมาจากด้านนอก ตามมาด้วยสาวใช้ที่มีนามว่าฝูลี่ที่เดินเข้ามา และเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ท่านทั้งสอง อุปกรณ์อาบน้ำพร้อมแล้วเจ้าค่ะ จะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ?”

เดินทางมาเป็นเวลาสี่วัน ถนนหนทางก็เต็มไปด้วยฝุ่นละออง อาจื้อคิดว่าไม่เพียงแต่เนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมแล้ว ผมของตัวเองก็คงจะเปื้อนไปด้วยดินเช่นกัน จึงรู้สึกรับไม่ได้ยิ่งนัก

เขาดึงแขนเสื้อของหลินเหรา จากนั้นก็รีบตอบรับว่า “ไปสิ ๆ ไปเดี๋ยวนี้ อยู่ที่ใดล่ะ?”

ฝูลี่ยิ้มบาง ๆ ทำให้ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ดุจแก้มเด็กนั้นเผยให้เห็นถึงลักยิ้มน้อย ๆ ทั้งสองข้าง และพูดว่า “อยู่ทางทิศตะวันตกของเรือนเล็ก คุณชายและนายน้อยเชิญตามข้าน้อยมาเจ้าค่ะ”

หลังจากที่สองพ่อลูกหลินเหราอาบน้ำเสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน อาจื้อเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนได้มีชีวิตใหม่ ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่าง ยังไม่ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ เด็กชายจึงทนไม่ไหว อยากจะออกเดินเล่นรอบ ๆ จวนเซี่ย

เขาเรียกหลินเหรา แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า “เจ้าไปเดินเองเถอะ”

อาจื้อไม่ยอมจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านพ่อจะไม่ไปด้วยจริง ๆ หรือขอรับ? ไม่นานหรอก”

………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ได้อยู่เมืองหลวงแล้วอย่าลืมคนทางบ้านนะคะ

ไหหม่า(海馬)