บทที่ 59 ซื่อจื่อวางอำนาจปกป้องภรรยา สั่งสอนคนไปหนึ่งฉาก

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 59 ซื่อจื่อวางอำนาจปกป้องภรรยา สั่งสอนคนไปหนึ่งฉาก

“พ่อ ท่านรีบลองชิมชานมที่ข้าทำดูสิ ลุงโจว ช่วยไปเอาถ้วยเปล่ามาเพิ่มอีกสักสี่ห้าใบ ให้พวกพี่ใหญ่ลองชิมดูด้วย” หยุนถิงเอ่ยปาก

“ขอรับ”

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อบ้านก็นำถ้วยหลายใบเข้ามา หยุนถิงเทชานมใส่ถ้วยทีละใบ ๆ

“พี่ใหญ่ ท่านก็ลองชิมด้วยสิ รสนี้เป็นข้าปรุงขึ้นด้วยตัวเองเชียวนะ” หยุนถิงยกถ้วยชาใบหนึ่งยื่นส่งให้เขาด้วยตัวเอง

“ได้” หยุนไห่เทียนก็ไม่มัวเกรงใจแล้ว ยกขึ้นมาดื่มทันที: “รสชาติไม่เลวเลยจริง ๆ มิน่าล่ะ พวกลูกน้องของข้าหลายคนต่างก็บอกว่าพอถึงวันหยุด พวกเขาจะไปดื่มชานมที่หอใต้หล้า”

” ถ้าพี่ชายชอบล่ะก็ วันพรุ่งนี้ข้าจะสั่งคนมาส่งให้พี่กับพ่อคนละถังนะ” หยุนถิงพูด หยุนไห่เทียนมองไปที่นาง: ” น้องสาว ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า หรือชานมพวกนี้เจ้าเป็นคนทำเองทั้งหมด?”

“ใช่แล้วล่ะ เป็นสูตรของข้าเอง ทำเสร็จเอาไปวางขายในร้านสุราของซื่อจื่อ”

หยุนไห่เทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กวาดตามองสำรวจน้องสาวที่อยู่ตรงหน้า เห็น ๆ อยู่ว่านางก็ยังมีใบหน้าที่น่าเกลียด ยิ้มหัวเราะอย่างคนไร้หัวใจไม่เปลี่ยน แต่เขามักจะรู้สึกว่าน้องสาวที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อก่อน แต่จะให้เจาะจงบอกออกมาเลยว่าอะไรที่ไม่เหมือน เขาก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกัน

แต่ติดที่ว่า ทำไมจู่ ๆ นางก็รู้วิธีทำชานมและเริ่มทำธุรกิจอย่างจริงจังได้ล่ะ?

ด้วยเหตุเพราะจวินหย่วนโยวก็อยู่ด้วย ทำให้หยุนไห่เทียนไม่สะดวกที่จะถามอะไรมาก: “เป็นอย่างนี้นี่เอง งั้นก็ต้องรบกวนน้องสาวด้วยล่ะ”

“พี่ชายจะเกรงอกเกรงใจข้าไปทำไมกัน พี่อยากได้อะไรบอกข้ามาได้เต็มที่” หยุนถิงพูดอย่างใจป้ำ

“พี่หญิงใหญ่ เจ้าทำชานมเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่รึ? ข้าเคยได้ยินพวกพี่สาวน้องสาวหลายคนบอกว่าชานมรสชาติดีมาก ใคร ๆ ก็ชอบ” หยุนหลิง คุณหนูรองมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้

“พี่หญิงใหญ่ ข้าขอชิมชานมนี้หน่อยได้หรือไม่? พ่อไม่อนุญาตให้ข้าไปร้านสุรา ข้ายังไม่เคยดื่มชานมนี่มาก่อนเลย” หยุนหลี คุณหนูสี่เดินเข้ามา ไม่รอฟังคำตอบจากหยุนถิง ก็ยกถ้วยชานมขึ้นดื่มทันที

หยุนถิงชำเลืองมองพวกนางสองคน หยุนหลิงคิ้วตาคมคาย ใบหน้าได้รูป ผมยาวตรงดูนุ่มสลวย สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองนวลสบายตา ตรงตามแบบฉบับคุณหนูลูกผู้ดี

หยุนหลีสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วง ใบหน้าเนียนใสกระจ่าง แต่ที่หว่างคิ้วดูมีความเย่อหยิ่งอวดดีชอบวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่หลายส่วน เป็นคนที่มีนิสัยใจร้อนปากไวคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยถูกหยุนหลิงใช้เป็นเครื่องมือต่อกรหยุนถิงอยู่หลายครั้ง ดังนั้นสองศรีพี่น้องคู่นี้จึงมักถูกหยุนถิงบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้

“ชานมนี้อร่อยจริง ๆ พี่หญิงใหญ่ พี่ให้คนมาส่งให้ข้าด้วยถังหนึ่งได้หรือไม่? ชานมนี้คงจะทำเงินให้พี่ได้ไม่น้อยเลยสินะ?” หยุนหลีถามด้วยความสงสัย

คำพูดประโยคเดียว ทำเอาทุกคนในห้องโถงสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันที

หยุนเฉิงเซี่ยงจ้องนางตาเขม็ง ทำไมเขาถึงมีลูกสาวที่ไร้หัวจิตหัวใจทั้งยังโง่เขลาขนาดนี้ได้นะ? อยู่ต่อหน้าซื่อจื่อแท้ ๆ ยังกล้าพูดถึงเรื่องเงินอีก นี่ไม่เท่ากับเสนอหน้าออกมาทำให้เขาอับอายหรอกรึ?

“พอได้แล้ว! พี่หญิงใหญ่ของเจ้ากลับมาสักครั้งก็เหนื่อยมากแล้ว รีบไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย แต่ละคน ๆ แต่งตัวอย่างกับขอทาน ใครไม่รู้จะคิดว่าเฉิงเซี่ยงเช่นข้าไร้ความสามารถไร้สง่าราศี กลับไปแต่งเนื้อแต่งตัวให้เป็นผู้เป็นคนซะ อีกเดี๋ยวในงานเลี้ยงต้อนรับ อย่าได้ทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้าอีก” หยุนเฉิงเซี่ยงสั่งด้วยสีหน้าที่หนักอึ้งดำทะมึน

บรรดาลูกสาวลูกชายตระกูลหยุนรีบคำนับพ่อกับซื่อจื่อเพื่อขอตัว แล้วแยกย้ายกันกลับห้องตัวเอง

หยุนถิงชำเลืองมองคุณหนูซูที่เงียบมาตลอดค่อย ๆ ก้าวเดินจากไป ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“นายท่าน พวกท่านคุยกันไปก่อนนะ ข้าจะไปที่ครัวหลังบ้านเพื่อดูว่ามีอะไรต้องทำบ้าง ยากนักที่ซื่อจื่อจะมีโอกาสแวะมาสักครั้ง อย่างไรก็ไม่ควรมีสิ่งขาดตกบกพร่อง” นางจ้าวรีบพูดอย่างรวดเร็ว

“ไปเถอะ”

ชั่วขณะนั้นในห้องโถงใหญ่พลันเงียบลง เหลือเพียงจวินหย่วนโยว หยุนถิง หยุนไห่เทียน และหยุนเฉิงเซี่ยง

“พ่อ ในเวลาปกติท่านก็อย่าโหมทำงานหนักจนเกินไปเลย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้พี่ใหญ่ไปทำ หรือไม่ก็มาหาข้าก็ได้ อายุมากขนาดนี้แล้วก็ควรใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้แล้ว ” หยุนถิงพูดอย่างเป็นห่วง

“อย่างไรลูกสาวพ่อก็เป็นห่วงพ่อที่สุดจริง ๆ พ่อรู้ว่าสถานการณ์ในราชสำนักกำลังเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างสี่แคว้นก็ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ต่อให้พ่ออยากพักผ่อนก็ยังทำไม่ได้หรอก รออีกสักหลายปีเมื่อทุกอย่างมีเสถียรภาพพอแล้ว พ่อก็จะเกษียณกลับบ้านมาใช้ชีวิตบั้นปลายแล้วล่ะ” หยุนเฉิงเซี่ยงกล่าว

“พ่อต้องจำไว้แค่ว่า อย่าเลอะเลือนสับสน ไร้ผลงานใหญ่แต่ก็ไร้ความผิดพลาดก็พอ อย่าแสดงความเฉียบแหลมจนเป็นภัยต่อตัวเอง” หยุนถิงเตือน

“น้องสาวโตขึ้นมากแล้วจริง ๆ แต่งงานแล้วเริ่มรู้จักห่วงใยคนอื่นขึ้นแล้ว ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าซื่อจื่อจะอบรมสั่งสอนเจ้าได้ดีมากเลยนะ” หยุนไห่เทียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม นี่ไม่เหมือนคำพูดที่คนอย่างหยุนถิงคนเดิมแต่ก่อนจะพูดออกมาได้เลยจริง ๆ

“พี่ใหญ่ น้องสาวของพี่เดิมทีก็รู้ความมาตลอดนั่นแหล่ะไม่รู้รึ?” หยุนถิงทำหน้ามุ่ย

จวินหย่วนโยวมองดูทั้งสามคนคุยกันเรื่องสัพเพเหระ หว่างคิ้วที่เคยเย็นชาค่อย ๆ คลายลง มีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

“ตอนนี้เจ้าโอ้อวดตัวเองก็เป็นแล้วรึ?” หยุนไห่เทียนคิ้วตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วสิ ข้าก็สามารถช่วยพี่ได้นะ” หยุนถิงพูดในทำนองอุบเรื่องสำคัญเอาไว้

“ได้ ถ้าในอนาคตมีเรื่องอะไร พี่ใหญ่จะไม่เกรงใจเจ้าล่ะนะ” หยุนไห่เทียนคิดแค่ว่านี่คงเป็นคำพูดล้อเล่นของหยุนถิง ไม่ได้คิดจริงจังกับมันเลยแม้แต่น้อย

“พ่อ! พ่อ! ข้าได้ยินว่าหยุนถิงยัยผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นกลับมาแล้วสินะ” น้ำเสียงกักฬระหยาบคายไม่ให้เกียรติดังแว่วมา จากนั้นที่หน้าประตูปรากฏร่างหนึ่งเดินโซซัดโซเซเข้ามา ข้าง ๆ มีบ่าวรับใช้สองคนคอยช่วยพยุงไว้

ใบหน้าของหยุนเฉิงเซี่ยงดำคล้ำทะมึนลงทันที เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป: “ไอ้ลูกสารเลว ข้าบอกแล้วแท้ ๆ ว่าวันนี้น้องสาวของเจ้าจะกลับมาบ้าน ยังจะออกไปดื่มจนเมาเละเทะขนาดนี้อีก”

“พ่อ ไม่ใช่แค่กลับมาบ้านเองหรอกรึ? มีอะไรสำคัญล่ะ อีกอย่างถ้าจะพูดไปนางกลับมาหรือไม่กลับมาก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างเลยนี่ ข้าก็แค่ออกไปพักผ่อนหย่อนใจนิดหน่อยเอง” หยุนอู๋เฟิงไม่เห็นเป็นสำคัญ

“เจ้าหุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้! ซื่อจื่อก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ เจ้าทำแบบนี้จงใจจะให้ข้าต้องอับอายขายหน้าแล้ว” หยุนเฉิงเซี่ยงตวาดด่าอย่างโกรธเกรี้ยว

“พ่อ ท่านเอาแต่บอกว่าข้าทำให้อับอายมาตั้งแต่ยังเด็ก ข้ามีอะไรให้ต้องอับอายด้วยรึ? คนที่ทำให้ท่านต้องอับอายที่สุดคือหยุนถิงต่างหาก ตัวหนังสือสักตัวก็ไม่รู้จัก ไร้ความสามารถทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง บ้าผู้ชายไร้คุณค่า ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่านางไม่มีความรู้ไม่มีทักษะอะไรทั้งนั้น” หยุนอู๋เฟิงพูดพลางเดินโงนเงนเข้าไปหาหยุนถิง มองนางด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

จวินหย่วนโยวที่อยู่ข้าง ๆ สีหน้าเย็นเฉียบราวกับธารน้ำแข็งทันที รูม่านตาสีดำขลับสาดประกายแววกระหายเลือดผุดวาบ มือที่ถือถ้วยชาออกแรงเล็กน้อย กระดูกนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด สัมผัสเบา ๆ ถ้วยชาก็แตกดัง “เพล้ง” ออกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที

หยุนเฉิงเซี่ยงกับหยุนไห่เทียนตกใจจนผงะ เดิมทีพวกเขาคิดจะร้องห้ามไว้ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เศษถ้วยในมือของจวินหย่วนโยวถูกซัดออกมาอย่างแรง พุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายทันที

หยุนอู๋เฟิงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ จากนั้นก็มีบางอย่างไหลลงมา เมื่อยื่นมือขึ้นไปแตะดู ก็เห็นว่าเป็นเลือดสีแดงสด

“ซื่อจื่อ โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วยเถิด!” หยุนเฉิงเซี่ยงร้องตะโกนอย่างแตกตื่น

“ซื่อจื่อ น้องชายไร้มารยาท ข้าต้องขออภัยท่านแทนเขาด้วย!” หยุนไห่เทียนรีบประสานมือคารวะทันที

หยุนอู๋เฟิงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ จากนั้นก็มีบางอย่างไหลลงมา เมื่อยื่นมือขึ้นไปแตะดู ก็เห็นว่าเป็นเลือดสีแดงสด หยุนอู๋เฟิงแตกตื่นตกใจกลัวจนสร่างจากฤทธิ์เหล้าทันที สีหน้าซีดเผือด

“เลือด! เลือด! พ่อช่วยข้าด้วย ข้าเลือดออกแล้ว พ่อ!” หยุนอู๋เฟิงแหกปากร้องเสียงดังลั่น ตกใจกลัวจนทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างน่าสมเพช

“หยุนถิงเป็นฮูหยินของซื่อจื่อเช่นข้า เจ้าถึงกับเอ่ยคำพูดดูถูกสร้างความอัปยศเช่นนี้ออกมา ช่างรนหาที่ตายนัก!” จวินหย่วนโยวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวสุดขีด

เมื่อครู่หยุนอู๋เฟิงดื่มมากเกินไป จึงเมาจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พอมาตอนนี้ได้เห็นว่าจวินหย่วนโยวอยู่ตรงหน้า ก็ตกใจกลัวจนฉี่ราดเลยทีเดียว

“ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้ามันสมควรตาย ข้ามันปากหมาพูดจาไม่เป็นภาษาคน ข้ามันสารเลว ข้าไม่ควรพูดจาดูถูกเหยียดหยามหยุนถิง ปากข้ามันสกปรกโสโครก ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย จากนี้ไปข้าไม่กล้าพูดอีกแล้ว ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตด้วย พ่อช่วยข้าด้วย!”

“ซื่อจื่อ ล้วนเป็นความผิดของข้าที่ไม่อบรมสั่งสอนลูกชายให้ดี ไม่เข้มงวดในระเบียบวินัย ขอร้องซื่อจื่อได้โปรดเห็นแก่หน้าสักครั้ง จากนี้ไปข้าจะอบรมสั่งสอนไอ้ลูกสารเลวนี่ให้หนักอย่างแน่นอน” หยุนเฉิงเซี่ยงรีบเอ่ยปากขอร้อง