บทที่ 60 ฮูหยินตัดสินใจก็ดีแล้ว

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 60 ฮูหยินตัดสินใจก็ดีแล้ว

ความเหี้ยมโหดกระหายเลือดของจวินหย่วนโยว ความอำมหิตไร้ปราณี ทั้งสี่แคว้นต่างก็รู้ดี ไม่ต้องพูดว่าเขาเป็นพ่อตาของจวินหย่วนโยวหรอก ต่อให้เป็นพ่อแท้ ๆ ของเขาเอง ถ้าจวินหย่วนโยวเกิดบันดาลโทสะขึ้นมา น่ากลัวว่าเขาก็อาจจะลงมืออย่างไม่ไว้หน้าเหมือนกัน

หยุนไห่เทียนไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้ามาแล้วเงื้อมือขึ้นต่อยหน้าหยุนอู๋เฟิงหนัก ๆ ไปสองที

“อ๊า!” หยุนอู๋เฟิงล้มลงกระแทกพื้น มุมปากปรากฏรอยเลือดสายหนึ่งไหลออกมา ถึงกับขยับตัวไม่ไหว เห็นได้ชัดเลยว่าหยุนไห่เทียนใช้แรงไปมากขนาดไหน

“ซื่อจื่อ น้องรองของข้าปากไม่มีหูรูด ข้าต้องขอโทษเจ้ากับหยุนถิงแทนเขาด้วย เป็นเพราะข้าที่เป็นพี่ชายไม่ยอมสั่งสอนเขาให้ดี” หยุนไห่เทียนรีบค้อมกายคารวะทันที

จวินหย่วนโยวชำเลืองมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองดูหยุนอู๋เฟิงที่นอนหมอบกึ่งเป็นกึ่งตายอยู่บนพื้น เขาหันหน้าไปมองหยุนถิง: “ฮูหยินคิดจะจัดการอย่างไร?”

หยุนถิงมองพ่อกับพี่ชายของตัวเองที่ตัวสั่นเทิ้ม ทำท่าขอร้องอ้อนวอนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนน้อย ๆ ซื่อจื่อก็ช่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรเสียจริง ๆ เลย!

นางรู้ว่าจวินหย่วนโยวกำลังปกป้องนาง จึงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่การทำให้พ่อกับพี่ชายตกใจจนมีสภาพเป็นถึงขนาดนี้ หยุนถิงก็ออกจะทำใจรับไม่ได้เหมือนกัน

แต่หยุนอู๋เฟิงเอาแต่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้าของร่างเดิมมาตั้งแต่ยังเด็ก มักพูดจาหยาบคายดูถูก คอยหาเรื่อง จงใจกลั่นแกล้งรังแก ถ้ายอมปล่อยให้จบง่าย ๆ ก็ดูจะเป็นอะไรที่โดนเอาเปรียบจนเกินไป

“ซื่อจื่อ ข้าได้ยินมาว่าทางตอนเหนือเป็นถิ่นทุรกันดารมีสัตว์ป่าชุกชุม รกร้างไม่มีคนอยู่ ในเมื่อพี่รองไม่อยากเห็นหน้าข้า หรือไม่พวกเราก็ส่งเขาไปที่นั่นกันดีหรือไม่?” หยุนถิงจงใจแค่นเสียงพูดขู่ให้กลัว

ไม่รอให้จวินหย่วนโยวเอ่ยปากตอบ หยุนอู๋เฟิงที่นอนหมอบอยู่บนพื้นก็แหกปากร้องดังลั่น: “น้องสาว! น้องสาวของข้า! ข้ารู้ความผิดแล้ว พันความผิดหมื่นความผิดล้วนเป็นความผิดของพี่รองทั้งนั้น จากนี้ไปพี่รองไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้กับเจ้าแล้ว เป็นเพราะปากข้ามันวอนหาเรื่อง ปากเสียไม่มีหูรูด ข้าขอร้องล่ะน้องสาว ปล่อยข้าไปสักครั้งเถอะนะ!”

หยุนอู๋เฟิงพูดพลาง ก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองอย่างแรง ตบต่อเนื่องกันครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุด

เสียงตบ “เพี๊ยะ ๆ “ดังก้องไปทั่วห้อง ทุกคนได้ยินแล้วยังรู้สึกเจ็บไปด้วยเลยทีเดียว

“ในเมื่อพี่รองยอมรับความผิดอย่างจริงใจขนาดนี้ ฉะนั้นเรื่องในวันนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปเถอะ ซื่อจื่อคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?” หยุนถิงเปลี่ยนคำพูดใหม่

“ฮูหยินตัดสินใจก็ดีแล้ว” จุวินหย่วนโยวตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเฉยชา

“ขอบคุณซื่อจื่อมากเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นครั้งหน้าพี่รองควรต้องควบคุมปากของตัวเองให้ดีล่ะ จะยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าข้าไม่ดี เจ้าก็ไม่มีทางจะดีไปได้หรอก” หยุนถิงพูดนิ่ง ๆ

“ได้ ๆ น้องสาวพูดได้ถูกต้องแล้ว หลังจากนี้ข้าไม่กล้าพูดเรื่องบ้าบอเหลวไหลอะไรอีกแล้ว พวกท่านคุยกันต่อเถอะนะ ข้าไม่อยู่เกะกะขวางหูขวางตาพวกท่านแล้วล่ะ” หยุนอู๋เฟิงพูดจบ ก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไปทันที ระดับความเร็วนั้นน่าอัศจรรย์ใจมาก ราวกับกลัวว่าหยุนถิงจะเกิดเปลี่ยนใจกลับคำขึ้นมาก็ไม่ปาน

หยุนเฉิงเซี่ยงกับหยุนไห่เทียนต่างก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อครู่นี้พวกเขาเกือบจะคิดว่าจวินหย่วนโยวหมายจะเอาชีวิตหยุนอู๋เฟิงแล้วจริง ๆ

ยังดีที่หยุนถิงช่วยเอ่ยปากให้ ถึงช่วยชีวิตหยุนอู๋เฟิงเอาไว้ได้ ชั่วขณะนี้เอง ทั้งหยุนเฉิงเซี่ยงและหยุนไห่เทียนจึงมั่นใจขึ้นแล้วว่า จวินหย่วนโยวรักใคร่เอ็นดูหยุนถิงจริง ๆ

อีกด้านหนึ่ง เมื่อคุณหนูคนอื่น ๆ ของตระกูลหยุนออกจากห้องโถงได้ ต่างก็พากันพูดจาดูถูกหยุนถิง

“มีอะไรยอดเยี่ยมกันล่ะ? ก็แค่ทำชานมได้ไม่ใช่รึ? ทำเป็นหยิ่งยโสอะไรอยู่ได้” หยุนหลีพูดอย่างเหยียดหยาม

“น้องสี่ คำพูดนี้ของเจ้าอย่าได้พูดพร่ำเพรื่อไป ถ้าพี่หญิงใหญ่มาได้ยินเข้ามีหวังต้องหาเรื่องสั่งสอนเจ้าอีกแน่” หยุนหลิงเอ่ยเตือน

“ต้องกลัวอะไรล่ะ? ตั้งแต่เด็กข้าก็เห็นว่านางขัดหูขัดตามาตลอด ข้าทะเลาะตบตีกับนางมาตั้งแต่เด็กจนโต ว่าแต่พี่หญิงรองเถอะ เจ้าไม่รู้สึกสงสัยบ้างเลยหรือ ว่าทำไมจู่ ๆ พี่หญิงใหญ่ถึงทำชานมเป็นขึ้นมาได้? ชานมในหอใต้หล้าขายถ้วยละห้าตำลึงเชียวนะ นางจะหาเงินได้ตั้งมากมายขนาดไหน?” หยุนหลี่ที่เกิดริษยาอยากมีเหมือนเขาบ้าง จู่ ๆ ก็อิจฉาแทบคลั่ง

ไม่แปลกหรอกที่พวกนางทั้งหลายล้วนดูหมิ่นและเกลียดชังหยุนถิงมาก เป็นเพราะที่จริงแล้วในอดีตหยุนถิงเป็นคนที่มีนิสัยเกกมะเหรกเกเร ชอบรังแกพวกน้องชายน้องสาวอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นการโยนเครื่องประดับสวย ๆ ของพวกนางทิ้งลงแม่น้ำ หรือไม่ก็ตัดเสื้อผ้าสวย ๆ ของพวกนางจนขาดเป็นชิ้น ๆ หรือกระทั่งเข้าไปหาเรื่องตบตีคนโดยตรง ดังนั้นตั้งแต่ยังเด็ก บรรดาพี่น้องทั้งหลายจึงไม่มีใครอยากเจอหน้าหยุนถิง

หยุนหลีอายุน้อยที่สุด ทั้งยังเป็นลูกที่นางจ้าวรักใคร่เอ็นดูที่สุด ทุกครั้งที่หยุนถิงมาหาเรื่อง หยุนหลิงก็มักจะเติมเชื้อไฟให้นางไปปะทะกับหยุนถิงตลอด ผลคือคนที่โดนซ้อมจนสะบักสะบอมทุกครั้งก็จะเป็นหยุนหลี ดังนั้นหยุนหลีจึงเกลียดหยุนถิงแทบตายมาตั้งแต่เด็ก

ในเวลานี้สีหน้าของหยุนหลิงก็น่าเกลียดจนแทบดูไม่ได้เช่นกัน นางเป็นคนที่รู้ถึงความไร้สามารถของหยุนถิงดีกว่าใครทั้งหมด: “พี่หญิงใหญ่เป็นยังไงพวกเราต่างก็รู้ดีที่สุด ไม่แน่หรอกว่าบางที ชานมพวกนั้นอาจเป็นฝีมือของจวินซื่อจื่อ พี่หญิงใหญ่คงจะคิดว่าถ้าพูดแบบนี้คงทำให้นางได้หน้า เพราะไหน ๆ ได้กลับมาบ้านเดิมทั้งทีจะดูอนาถาเกินไปก็คงไม่เหมาะ”

“พอเจ้าพูดอย่างนั้น ข้าก็รู้สึกตามนั้นจริง ๆ ด้วย จวินซื่อจื่อนี่ก็จริง ๆ เลย ทำไมถึงได้มาถูกตาต้องใจพี่หญิงใหญ่ที่หน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนั้นได้นะ? ข้ายังดูดีกว่านางตั้งเยอะ” หยุนหลีพูดอย่างอิจฉาแกมริษยา

“พี่หญิงรอง น้องสี่ พวกเจ้าพูดให้มันน้อย ๆ ลงหน่อยเถอะ เกิดถ้ามีใครมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดีนะ” คุณหนูสามหยุนซูเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ

“จะต้องกลัวอะไรล่ะ? นี่ก็ไม่ใช่ข้างนอกสักหน่อย หรืออยู่บ้านตัวเองก็ยังพูดความจริงไม่ได้? ว่าแต่พี่สามเถอะ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าชานมนั่นมันทำยังไง? ถ้าให้ข้าไปเรียนล่ะก็ ข้าจะต้องหาเงินได้มากมายเป็นกอบเป็นกำแน่” หยุนหลีทำปากยู่

“ไม่ใช่ของข้า ข้าไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายหรอก” หยุนซูตอบ

หยุนหลีมองนางด้วยสีหน้าเหยียดหยาม: “เจ้ามันขี้ขลาดที่สุดเลย ตั้งแต่ยังเด็กเจ้าก็กลัวพี่หญิงใหญ่ที่สุด พี่รอง พวกเราไปกันเถอะ”

“ได้” หยุนหลิงตอบ

หยุนหลิงกับหยุนหลี รวมถึงคุณชายน้อยหยุนล้วนเกิดจากนางจ้าว อาศัยว่าแม่ของพวกนางตอนนี้มีฐานะเป็นถึงฮูหยินเฉิงเซี่ยง หยุนหลิงกับหยุนหลีจึงหยิ่งยโสโอหังเต็มที่ มักจะรู้สึกว่าพวกตนมีฐานะสูงส่งเหนือกว่าหยุนซูระดับหนึ่งอยู่เสมอ

หยุนซูเห็นพวกนางทำท่าทางแบบนั้น ก็ไม่มีท่าทีหงุดหงิดรำคาญ ทั้งไม่รู้สึกโศกเศร้าเสียใจแต่อย่างใด แค่ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วหันหลังกลับไปที่เรือนของตัวเอง

ณ. เรือนชุน

เมื่อซูอี๋เหนียงเห็นว่านางกลับมาแล้ว ก็ถามทันทีว่า: “ที่เรือนหน้าเป็นอย่างไรบ้าง? คุณหนูใหญ่กลับมาคงจะคึกคักมากใช่หรือไม่? นางสุขสบายดีหรือไม่? ซื่อจื่อดีกับนางหรือไม่?”

(อี๋เหนียง หมายถึงอนุภรรยา)

นางมีฐานะเป็นอี๋เหนียง ก่อนหน้าเคยเป็นแค่เมียบ่าวมาโดยตลอด เพิ่งจะได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นอี๋เหนียงในช่วงสองปีมานี้ ด้วยเพราะให้กำเนิดลูกสาวคือหยุนซูคนนี้เพียงคนเดียว ดังนั้นจึงไม่มีสถานะอะไรในจวนเฉิงเซี่ยง ตามปกติพวกงานเลี้ยงสำคัญ ๆ ในจวน นางจะไม่มีสิทธิ์ได้ไปเข้าร่วม

“แม่ ที่เรือนหน้าคึกคักมากเลย ซื่อจื่อกลับมาพร้อมพี่หญิงใหญ่ด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าซื่อจื่อดีกับพี่หญิงใหญ่มาก พี่หญิงใหญ่เอาชานมกลับมาให้พ่อดื่มด้วย ติดแค่ว่าชานมพวกนั้นมีน้อยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าคงจะขอร้องพี่หญิงใหญ่แบ่งให้ข้าสักถ้วย จะได้เอากลับมาให้แม่ลองชิม” หยุนซูตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ แค่ซื่อจื่อดีกับคุณหนูใหญ่ก็พอแล้ว ชานมอะไรนั่นแม่จะได้ดื่มหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่คุณหนูใหญ่ใช้ชีวิตสุขสบายดีข้าก็วางใจแล้ว เช่นนี้ฮูหยินที่อยู่ในปรโลกได้รับรู้ก็คงจะสบายใจ” ซูอี๋เหนียงพูดอย่างปลื้มอกปลื้มใจ

เมื่อก่อนนางเคยเป็นสาวใช้ของแม่ที่ให้กำเนิดหยุนถิง คอยปรนนิบัติรับใช้แม่ของหยุนถิงมาโดยตลอด แต่เพราะเวลาต่อมาสุขภาพของฮูหยินทรุดโทรมลง จึงขอร้องให้ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงรับนางเป็นอนุ ไม่อย่างนั้นมีหรือที่นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

แม้ว่าฮูหยินจะจากไปหลายปีแล้ว แต่ในใจของซูอี๋เหนียงยังคงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณอยู่เสมอ ดังนั้นนางจึงเป็นห่วงเป็นใยหยุนถิงมาก นางคือคนที่ได้เห็นหยุนถิงเติบโตขึ้นมากับตา

“แม่ อีกเดี๋ยวตอนงานเลี้ยงต้อนรับ แม่ก็ไปร่วมงานกับพวกเราด้วยเถอะนะ” หยุนซูเอ่ยชวน

“ทำแบบนั้นได้ซะที่ไหนกันล่ะ? สถานะของแม่ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมงาน เจ้าไปก็พอแล้ว แม่หาอะไรกินง่าย ๆ ก็พอ จริงสิ แม่ทำรองเท้าให้คุณหนูใหญ่สองคู่ อีกเดี๋ยวเจ้าเอาไปให้นางด้วยนะ ” ซูอี๋เหนียงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบของห่อหนึ่งออกมา

“แม่ พี่หญิงใหญ่อยู่ในจวนซื่อจื่อล้วนอยู่ดีกินดี ซื่อจื่อไม่มีทางละเลยนางอย่างแน่นอน ถ้าอย่างไรของพวกนี้ก็ไม่ต้องแล้วจะดีกว่านะ? ” หยุนซูพูด