กว่ารถม้าจะพากลับมาถึงจวน หยวนชิงหลิงก็อาเจียนจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว

กลุ่มก้อนสำลีถูกหยู่เหวินเห้าโอบไว้ในอ้อมแขนพาเข้าไปแล้ว กู้ซือเดินตามไปอย่างเศร้าใจ ใครจะไปคิดว่าพระชายาฉู่ที่ปกติมีท่าทางสง่างามและน่าเกรงขามอย่างนางจะอ่อนแอ หากนางโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วเขาคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องแต่งงานกับหยวนชิงผิงไปทั้งชีวิต

“หมอมาแล้ว”

หยู่เหวินเห้าลูบใบหน้านางอย่างแผ่วเบา ถามอย่างเป็นกังวล:”ไม่เป็นไรนะ ให้หมอตรวจสักครู่”

หยวนชิงหลิงอาเจียนจนทรมานไปหมด จะเอาอารมณ์ที่ไหนมาโกรธเขา? เมื่อเห็นหน้าที่บวมช้ำของเขาก็รู้สึกปวดใจ กล่าว:”ท่านลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้า ล้างกลิ่นเหล้าก่อนเถิด กลิ่นจากท่านทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย

หยู่เหวินเห้ารีบก้าวถอยหลังออก:”ข้าจะไม่เข้าใกล้เจ้า รอให้หมอตรวจเจ้าให้เสร็จก่อนข้าค่อยไป”

“ออกไป!” หยวนชิงหลิงจ้องเขาเขม่น

ตำแหน่งที่เขายืนคือตำแหน่งต้นลม เมื่อลมพัดมากลิ่นเหล้าก็ลอยมา ทำให้นางเริ่มคลื่นไส้ขึ้นมาอีกครั้ง

หยู่เหวินเห้าจึงทำได้เพียงเดินออกไป กู้ซือยืนอยู่ด้านข้างทั้งคู่จ้องตากัน แล้วหยู่เหวินเห้าก็กล่าวขึ้น:”หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะฆ่าเจ้า”

กู้ซือไม่ใส่ใจ “ความผิดท่านทั้งนั้น”

หยู่เหวินเห้าโกรธ:“ ยังหาว่าข้าผิดหรือ? ข้าให้สวีอีรายงานเจ้าไปแล้ว เป็นการให้ตรวจสอบเกี่ยวกับการคดโกง แต่เจ้ามาไม่ทันสามประโยคก็เริ่มต่อยตี สุดท้ายเป็นความผิดใครกันแน่?”

ดวงตาของกู้ซือเริ่มเกิดประกายไฟ “งั้นข้าถามท่าน ท่านเรียกพวกเขาไปที่ร้านจู้เสียนเพื่ออะไร?”

“เล่นไพ่! “หยู่เหวินเห้ากล่าวนิ่งๆ :“ อย่างไรเล่า เล่นไพ่จนทำให้เจ้าขุ่นเคืองเลยรึ?”

กู้ซือตอบโกรธๆ :“ ไม่ใช่ ท่านต้องการหาสามีให้แม่นางหยวน ความนับถือกันดั่งพี่น้องในหลายปีท่านไม่สนใจก็ช่างปะไร แต่ท่านหาผู้ชายเหล่านั้นให้นาง เจ้าพวกนั้นรู้จักเพียงกินดื่มเที่ยวเริงรมย์ กลั่นแกล้งเช่นนี้ท่านต้องการฆ่าแม่นางหยวนหรือไร?

หยู่เหวินเห้าตอบอย่างหัวร้อน:“ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้น? ข้าไม่ได้รู้จัดพวกเขาด้วยซ้ำ เพียงให้คนแนะนำมาล้วนเป็นลูกขุนนางทั้งนั้น”

หยวนชิงหลิงฟังพวกเขาทะเลาะกันอยู่เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หยิบหมอนปาออกไปอย่างแรง “หุบปากทั้งหมด!”

หยู่เหวินเห้าและกู้ซือเห็นหมอนที่ลอยมาก็เงียบเสียงลงทันที ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมาอีก

หมออยู่ในนี้นานแล้ว หลังจับชีพจรเสร็จก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

หยู่เหวินเห้าที่รออยู่ด้านนอกรออย่างกระวนกระวาย รีบโผล่เข้าไปถาม:“ ตรวจพบปัญหาอะไรไหมท่านหมอ เป็นเพราะนางกินเยอะไปใช่หรือไม่?

“หุบปาก!” หมอจิตใจเริ่มว้าวุ่นทำการจับชีพจรดูอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชำนาญทักษะการแพทย์ เขาสามารถวินิจฉัยชีพจรนี้ได้ การที่เขาเข้าออกจวนท่านอ๋องอยู่บ่อยๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้มีความสำคัญอย่างไร?

ชีพจรนี้ ไม่สามารถวินิจฉัยออกมาผิดได้แม้น้อย ถ้าหากผิดแม้แต่นิดเดียว นั่นอาจทำให้เสียหัวได้

หยู่เหวินเห้าได้รับแต่ความเงียบงัน ใบหน้าหน้าซีดเผือดของหมอ

ไม่เคยเห็นหมอทำหน้าไม่สู้ดีขนาดนี้ เกรงว่าสถานการณ์คงไม่ดีนัก

หยวนชิงหลิงก็พลอยใจไม่สงบไปด้วย กล่าว:“ ท่านหมอ ข้าคิดว่านี่คือปัญหา ช่วงนี้กินดื่มอะไรไม่ค่อยปกติ ท่านให้ยาบำรุงกระเพาะลำไส้ก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”

หมอตอบขึ้น “พระชายาไม่ต้องกังวล ให้กระหม่อมฟังเสียงชีพจรอีกสักครั้งเถิด”

หยวนชิงหลิงมองใบหน้าที่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านหมอ ท่านจับชีพจรมาห้าครั้งแล้ว”

“เพิ่งจะห้าครั้ง? งั้นยังต้องตรวจอีกพ่ะย่ะค่ะ” หมอเกิดความสงสัยในทักษะการแพทย์ของตนเอง

หยวนชิงหลิงชักมือกลับ “ช่างเถิด ไม่ต้องตรวจแล้ว ท่านพูดสิ่งที่ท่านวินิจฉัยได้ออกมาเถิด”

หมอลังเลไปครู่หนึ่งก่อนถาม:“ ไม่ทราบว่าประจำเดือนของพระชายาไม่มานานแค่ไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”

หยวนชิงหลิงตอบ:“ ไม่รู้สิ ไม่มานานมากแล้ว”

ลู่หยาที่อยู่ด้านข้างกล่าว:“ พระชายาไม่สบาย เรียกหมอมาก็เพื่อรักษาร่างกาย แต่เมื่อท่านหมอวินิจฉัยออกมามีเพียงแค่เรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ แล้วจะอาเจียนได้อย่างไร?”

แม่นมสี่ที่อยู่อีกฝั่งเมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็สะดุ้งขึ้น มองไปหาหยวนชิงหลิงที มองไปหาหมอที “ท่านหมอ!”

หมอลังเลชั่วครู่ ก่อนตอบ:“ อย่างไรก็ต้องตรวจชีพจรอีกครั้งจึงจะแน่ใจ”

“ไม่ต้อง……” หยวนชิงหลิงยังกล่าวไม่ทันจบ แม่นมสี่ก็รีบรุดขึ้นไปดึงมือของเธอยื่นให้หมอหลวง “ท่านหมอ ตรวจให้ถี่ถ้วน อย่าให้พลาดแม้แต่น้อย”

หมอตรวจชีพจรอีกครั้ง และอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้แม่นมสี่ “แปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ใช่แล้ว”

ริมฝีปากของแม่นมสี่สั่นสะท้านก่อนจะยกคอกู่ร้องออกมา:“ สวีอี รีบไปนำเหรียญสัญลักษณ์ท่านอ๋องมาที่ตำหนัก แล้วเชิญหมอหลวงเฉามาด้วย”

“รับทราบ!” สวีอีรีบวิ่งออกไปทันทีหลังได้รับคำสั่ง

หยู่เหวินเห้าที่ใบหน้าขาวซีดอยากจะเข้าไปหาก็เกรงว่ากลิ่นเหล้าจะรบกวนหยวนชิงหลิง รีบกวักเรียกแม่นมสี่ออกมา “แม่นม นางเป็นอย่างไรบ้าง ร้ายแรงหรือไม่?”

ใบหน้าของแม่นมสี่เคร่งขรึมจริงจัง กล่าว:“ อาจจะร้ายแรง ต้องรอหมอหลวงเฉามาก่อน ท่านก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบกลับมาเถิดเวลานี้พระชายาไม่สามารถไม่มีคนอยู่ข้างกายได้”

หยู่เหวินเห้าตื่นตระหนกใจแทบแตกสลาย ตัดใจไม่ลงมองไปที่หยวนชิงหลิงครู่หนึ่ง แล้วรีบวิ่งไปอาบน้ำอาบท่า

ทังหยางก็ถูกขุดขึ้นมา เพียงได้รู้ว่าพระชายาป่วย โดยไม่รู้ว่าป่วยอะไร เมื่อเห็นทุกคนทำหน้าเหมือนพร้อมออกรบก็รู้สึกกังวลไปด้วย

หมอรู้สึกยากที่จะพูดออกมา ไม่ใช่ว่าการตรวจชีพจรนี้ยากเย็นอะไร แต่เพียงไม่สามารถเกิดความผิดพลาดขึ้นได้

อีกทั้งหากเป็นเรื่องการตั้งครรภ์ของพระชายา ทางที่ดีควรได้รับการยืนยันจากหมอหลวงเฉาจะดีกว่า

ตกมาปีนี้มีแต่เรื่องไม่ดี

แม่นมสี่ยังคงรู้สึกค่อนข้างตะลึงงันอยู่

ทั้งไม่อยากจะเชื่อ จึงให้หมอหยุดไว้ก่อน

จากที่นางรู้มา พระชายาได้ดื่มน้ำจื่อจินแล้ว

น้ำจื่อจินคืออะไร? ต่างกับยาเม็ดจื่อจินเพียงคำเดียว แม้ว่าจะมีสรรพคุณทางยาเหมือนกัน สามารถทำให้ชีวิตมั่นคงได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่มีผลทำร้ายร่างกายอย่างมาก จึงถูกใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย ภายในสามปีห้าปี ก็ไม่แน่ใจว่าร่างกายจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่

หากนับมาถึงตอนนี้ที่พระชายาใช้ยานี้ยังไม่ถึงสามเดือน ดังนั้นเรื่องการตั้งครรภ์แทบเป็นไปไม่ได้

กู้ซือนั่งหน้าถอดสีอยู่บนบันไดหินที่ประตู เขารู้สึกว่าความสุขอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของเขากำลังจะถูกอ๋องฉู่พังทลายเสียแล้ว

พระชายาฉู่จะต้องคัดค้านการแต่งงานของเขากับแม่นางหยวนเป็นแน่

ใช่แล้ว มหาดเล็กที่มีเรื่องต่อสู้กับท่านอ๋องของตัวเอง จะมีอะไรต่างจากเหล่าชายที่รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวพวกนั้น?

หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าของแม่นมและท่านหมอ ก็พอจะเดาออกแล้ว

นางเองก็ตกใจสุดขีดเช่นกัน

นางยังไม่เห็นกู้ซือ มิเช่นนั้นนางก็จะได้รู้ว่าสีหน้าของตัวเองกับกู้ซือขาวซีดไม่ต่างกัน

หวังว่าจะไม่เป็นความจริง

ดูสถานการณ์ตอนนี้ หากท้องขึ้นมาจะยิ่งยุ่งยาก จะมีกี่คนที่พุ่งเป้ามาที่ท้องของเธอ

นึกไปถึงชายารองหลิวแห่งจวนอ๋องจี้ตายอย่างอนาถแล้ว ใจของนางก็สั่นเทาขึ้นมา

หยู่เหวินเห้าอาบน้ำ ล้างหน้า สระผมกลับมาเรียบร้อย โดยที่ผมยังเปียกๆ อยู่

หยวนชิงหลิงเห็นท่าทางจริงจังของเขาก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นนั่งเช็ดผมให้เขา

“เจ้านอนลงไปเถิด……”

“หุบปาก!” หยวนชิงหลิงตอบด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก

หยู่เหวินเห้ามองหน้านางอย่างเคร่งเครียด “เจ้ายังรู้สึกไม่สบายอยู่หรือเปล่า ดีขึ้นแล้วหรือไม่?”

“ดีขึ้นแล้ว ไม่ได้กลิ่นเหล้าจากท่านก็ดีขึ้นมากแล้ว” หยวนชิงหลิงเช็ดผมของเขาอย่างแรง ทำให้หัวของเขาดูเหมือนเล้าไก่

เขาดูเหมือนเด็กที่ไปทำอะไรผิดมา นั่งข้างเตียงอย่างเชื่อฟังปล่อยให้หยวนชิงหลิงจัดการ

แม่นมเฉียนยกข้าวต้มขึ้นมา กล่าว:“ พระชายาอาเจียนเสียเยอะ กระเพาะอาจจะว่างทานสักนิดเถิดเพคะ”

“ใช่แล้ว ทานเสียหน่อยเถิด!” หยู่เหวินเห้ารับโจ๊กมา ประคองนางนั่งอย่างอ่อนโยน “ข้าป้อน”