บทที่ 283 เสียงปีศาจในความฝัน
บทที่ 283 เสียงปีศาจในความฝัน

แต่นางยังอดห่วงเรื่องหนึ่งไม่ได้ มันเป็นความกังวลที่ทำให้นางยังคงสติที่พร่ามัวได้ถึงตอนนี้

คนพวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวหรือยัง? ลูก ๆ นาง….. ปลอดภัยหรือไม่?

รองเท้าสีขาวคู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในสายตา ชิงหลานเฟยชะงักไปเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้น เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งซึ่งกำลังก้มหน้ามองนางอยู่

ชิงหลานเฟยในตอนนี้อ่อนแอนัก ได้แต่นอนอยู่กับพื้น กระทั่งจะรวมพลังลุกขึ้นนั่งยังทำไม่ได้

แต่เหมือนนางจะรู้จักอีกฝ่าย นัยน์ตาพร่ามัวนางเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาว พยายามลุกขึ้นมานั่งโดยเร็ว

หากแต่โซ่เหล็กที่พันแขนขานางไว้มันหนักเกินไปจนแม้แต่นั่งก็ไม่อาจทำได้ ยิ่งฝืนยิ่งทำให้โซ่ขูดข้อมือข้อขาจนได้เลือด

“ศิษย์พี่ อย่าขยับเลย!”

เมื่อนางเห็นชิงหลานเฟยทำเช่นนั้น นางก็กดร่างชิงหลานเฟยลง เอ่นเสียงกระซิบพลางขมวดคิ้วแน่น “ข้าแอบมาที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าข้ามา ท่านอย่าห่วงเลย”

คนที่เคยมีพลังล้นเหลือและอ่อนโยนเช่นนาง มีหรือที่จะเคยทุกข์ทนเช่นนี้? คุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงแห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่น่าขมขื่นเสียจริง!

ศิษย์พี่ถูกริบเอาแก่นพลังวิญญาณไป พลังบำเพ็ญอ่อนแอเช่นนี้ คงทนได้อีกไม่นานนัก ไม่ว่าจิตใจจะสู้เพียงไหน แต่ร่างกายต้องทนไม่ได้แน่

ชิงหลานเฟยยกริมฝีปากขึ้นน้อย ๆ พยายามคลี่ยิ้มอ่อนแรงออกมาอย่างยากลำบาก “อิงเกอ ไม่ได้พบกันนาน เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย”

ที่ยอดเขาใจสงบนี้ มีคนคนเดียวที่ยังไม่เสียความเป็นมนุษย์ไปก็คือนาง

“ศิษย์พี่ ท่านไม่น่ากลับมาเลย” บนใบหน้าอิงเกอไร้รอยยิ้ม สองมือนางจับไหล่ชิงหลานเฟยไว้แล้วส่งพลังวิญญาณเข้าร่างให้ ช่วยขับไล่ความอ่อนแอในร่างออกไป

ชิงหลานเฟยมุ่นคิ้วน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “หยุดเดี๋ยวนี้ หากอาจารย์รู้เข้า เจ้าจะถูกลงโทษ”

อิงเกอไม่สนใจ ทำเพียงหลับตาแล้วถ่ายพลังวิญญาณต่อไป จากนั้นก็พลันถามขึ้น “ชีวิตข้างนอกสุขสบายดีหรือไม่?”

ชิงหลานเฟยประหลาดใจกับคำถามของนาง จ้องหน้าหญิงสาวนิ่งพลางนึกย้อนกลับไปถึงความทรงจำในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้ว

อิงเกอเองก็เหมือนนาง ถูกพามาตั้งแต่ยังต้องใช้ผ้าทารกห่อร่าง แต่ชิงหลานเฟยโชคดีกว่าที่สามารถลงจากยอดเขาใจสงบเมื่ออายุครบสิบขวบปีได้

หลังจากนั้น แม้นางจะไป ๆ มา ๆ ระหว่างสองที่ คือระหว่างอารมณ์จันทร์กระจ่างกับยอดเขาใจสงบ แต่ก็ยังมีอิสระมากมายนัก

อิงเกอเป็นลูกนอกสมรสของหญิงรับใช้ผู้ต่ำต้อย มารดานางตายหลังนางเกิดได้ไม่นาน อาจารย์สงสารเด็กน้อยจึงพามาอยู่ข้างกาย

และเพราะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อาจารย์จึงยกเว้นให้และรับนางเป็นศิษย์แม้ชาติกำเนิดนางจะต่ำต้อยก็ตาม

นางมาหลังจากชิงหลานเฟยได้ไม่กี่วันเท่านั้น

ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ฝึกฝนเรื่องต่าง ๆ มาด้วยกัน อิงเกอเป็นคนขยันและมุมานะมาโดยตลอด

และด้วยรู้ถึงสถานะของตนเอง รู้ว่าตนไม่มีวันมีฐานะสูงส่งอะไรบนยอดเขาใจสงบ นางจึงต้องเสริมตรงจุดนั้นด้วยความพยายามที่มากกว่านับสิบนับพันเท่า ก่อนที่จะมีโอกาสได้อยู่เหนือคนอื่น ๆ

นางไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเผยอารมณ์นัก กล่าวได้ว่านิสัยนางเย็นชารักสันโดษ ทว่าชิงหลานเฟยไม่เคยสนหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์ที่นางแสดงออกมา ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นน้องสาวคนหนึ่ง

แม้อิงเกอจะไม่เคยเอ่ยให้ได้ยิน จริง ๆ แล้วในใจนางก็จำเรื่องเหล่านั้นได้ทั้งหมด และเคารพศิษย์พี่ของนางคนนี้มาก เมื่ออาจารย์ตัดสินใจริบเอาแก่นพลังวิญญาณของศิษย์พี่ไปและไล่ออกจากการเป็นศิษย์ อิงเกอก็คุกเข่าท่ามกลางหิมะอยู่เจ็ดวันเต็ม แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจอาจารย์ได้

ชิงหลานเฟยถูกบังคับริบเอาแก่นพลังวิญญาณไปนั้น เมื่อยามที่เจ็บปวดจนใกล้สิ้นสติ กลับได้เห็นอิงเกอผู้แสนเย็นชา ไม่เคยเผยอารมณ์ใด นางในตอนนั้นกลับร้องไห้ขณะกอดร่างนางไว้

เป็นครั้งแรกที่ชิงหลานเฟยเห็นนางร้องไห้

ขนาดตอนที่นางพบภัยระหว่างบำเพ็ญ เส้นพลังสะบั้น เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด เกือบถึงชีวิต นางยังไม่โอดครวญเรื่องเจ็บปวดสักคำ ราวกับเป็นปีศาจที่ปราศจากความรู้สึก

แต่เมื่อเห็นชิงหลานเฟยคล้ายกับจะสิ้นใจอยู่ตรงหน้า อิงเกอกลับร้องไห้เช่นเด็กเล็ก ๆ นางร้องไห้จนแทบไร้เสียง ขอร้องอ้อนวอนให้ศิษย์พี่ของนางอย่าจากนางไป

ชิงหลานเฟยเองก็ร้องไห้เช่นกัน นางทิ้งศิษย์น้องของนางที่สนิทแทบจะเป็นน้องสาวของนางจริง ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันคนนี้ไว้ไม่ได้

นางรู้ว่าอิงเกอแสดงอารมณ์ทางคำพูดไม่เก่ง แต่กลับสัมผัสมันได้จากการกระทำในทุก ๆ วัน เห็นได้ชัดว่านางรักนางมากพอ ๆ กับที่รักตัวเอง

และเมื่อถึงเวลาลงจากยอดเขาใจสงบ สายตาที่อิงเกอใช้มองนางก็สับสนนัก แต่ก็เจือแววอิจฉาอยู่น้อย ๆ เช่นกัน

คำสุดท้ายที่นางกล่าวไว้ในตอนนั้นคือ “ศิษย์พี่ ท่านต้องรักษาตัวเองให้ดี อย่าได้กลับมาที่นี่อีกเป็นอันขาด”

เหมือนกำลังจะบอกว่าพวกนางจะไม่ได้พบกันอีก

อิงเกออยากออกไปเห็นโลกภายนอกมาก แต่นางทำไม่ได้ ราวกับว่ามีห่วงที่มองไม่เห็นล่ามร่างนางไว้ กักขังนางไว้ ทำให้ไม่อาจก้าวออกจากที่นี่ได้แม้สักก้าว

ดังนั้นเมื่อชิงหลานเฟยออกไปได้ ในใจอิงเกอจึงเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์หลายร้อยปี สุดท้ายนางก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ สีหน้าชิงหลานเฟยเริ่มมีสีเลือดขึ้น นางจ้องตาอิงเกอแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า “ที่ผ่านมาข้ารู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาหลายปี ได้มีสามีที่รักข้ามากกว่าชีวิตตนเอง มีลูกที่น่ารักเชื่อฟังสองคน ไม่มีอะไรที่จะสุขไปมากกว่านี้แล้ว”

อิงเกอนัยน์ตาหม่นแสงลง “ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าท่านมาอยู่ในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงเช่นนี้หมายความว่าอะไร?”

“ข้ารู้” ชิงหลานเฟยยิ้มจาง “แต่ข้าไม่เสียใจ เพราะข้าได้สัมผัสสิ่งที่วิเศษที่สุดมาแล้ว และข้าก็ไม่มีความเสียใจใด ๆ อีก”

“หากท่านตายไป แล้วสามีกับลูก ๆ ท่านเล่า?” อิงเกอมุ่นคิ้วถาม

“ข้าเลือกได้ด้วยหรือ?”

ชิงหลานเฟยยกยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยเสียงเยาะน้อย ๆ ออกมา “พวกเขาไม่คิดปล่อยข้าไปตั้งแต่ต้นแล้ว พวกเขามีแต่จะใช้ ธาตุเปลวอัคคีพัฒนามนุษย์เป็นอาวุธทำลายล้างขึ้นมาก็เท่านั้น ข้าอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่มีใครที่เหมาะไปกว่าข้าแล้ว”

“เมื่อตอนที่อาจารย์ไว้ชีวิตข้าตอนนั้น ต้องเป็นเพราะข้ายังมีประโยชน์เป็นแน่!”

อิงเกอกำมือแน่น นางเงียบไปนานก่อนเอ่ยคำ “ข้าจะหาทางพาท่านออกไปเอง”

ชิงหลานเฟยยิ้มแล้วส่ายหน้า “อย่าทำอะไรโง่ ๆ เลยอิงเกอ แค่ได้เห็นเจ้าอีกครั้งข้าก็พอใจแล้ว”

“ศิษย์พี่”

เสียงอิงเกอสูงขึ้นเล็กน้อย นางจ้องตาชิงหลานเฟยนิ่งด้วยแววที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับมีความหวังที่ถูกอะไรบางอย่างปิดบังไว้หลายชั้น แต่แสงแห่งความหวังก็ยังแผ่ออกมาไม่หยุดหย่อน

“ท่านรู้ไหม? ข้าอิจฉาท่านมาก ที่ท่านกล้าหาญ กล้าใช้ชีวิตในอย่างที่อยากเป็น ไม่ว่ามันจะยากเพียงไหน แต่ท่านก็ไม่เคยท้อถอย”

“ข้าว่าศิษย์พี่จะต้องพาความหวังของข้าไปได้แน่ และท่านจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไปตลอดได้”

มุมปากอิงเกอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วดึงใจ “ข้าจะต้องช่วยท่านออกไปให้ได้”

นางว่าจบก็ไม่รอคำตอบชิงหลานเฟย หันหลังเดินจากไปทันที หากแต่แผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปนั้นดูมุ่งมั่นจนทำให้รู้สึกไม่สบายใจ

“อิงเกอ…..”

ชิงหลานเฟยมองร่างที่ค่อย ๆ เดินหายไปแล้ว นิ้วมือก็กำแน่นจนเป็นหมัด ในใจบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น

————————————

“เด็กน้อยของข้า อย่าได้ต่อต้านข้าเลย ยอมสยบให้กับข้าเถอะ!”

ที่ปลายทางหมอกสลัวนั้น น้ำเสียงอ่อนโยนสายหนึ่งกำลังเรียกหานาง เต็มไปด้วยพลังปลอบโยนจิตที่ปลอบประโลมนางมาก หมายจะให้นางจมลงสู่ห้วงแห่งความอ่อนโยนเบาบางนั้น

“มา มาอยู่ข้างกายข้า เจ้าจะมากับข้าหรือไม่?”

น้ำเสียงนั่นเหมือนเต็มไปด้วยพลังปริศนาที่ไม่อาจต้านทานได้ ทำให้ใครก็อยากเข้าใกล้

หากแต่เด็กสาวที่หลับลึกลงสู่ห้วงนิทรากลับมุ่นคิ้วแน่น สองแขนข้างกายกำแน่นจนข้อข้าวราวกับกำลังต่อต้านอย่างหนักหน่วง แต่นางไม่อาจดิ้นหลุดจากเสียงนั่นได้ ได้ยินเสียงฝีเท้านางค่อย ๆ เดินหน้าไปช้า ๆ

“ช่างเป็นเด็กที่เชื่อฟังมากจริง ๆ มาเถอะ มากับข้า ไปยังสถานที่ที่ไร้ซึ่งความเจ็บปวดและความกังวลใด…..”

นางยิ่งขมวดคิ้วแน่น ใบหน้านางเริ่มมีเหงื่อบางผุดออกมา

ในตอนที่รู้สึกว่าไม่อาจคุมตนเองอยู่และกำลังจะก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง เสียงคำรามก็ดังลั่นขึ้น ร่างสีทองขนาดใหญ่พลันผุดขึ้นจากพื้น มันอ้าปากยักษ์กว้างแล้วพุ่งไปยังความพร่ามัวลึกลับที่อยู่เบื้องหน้า

เกิดเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ขึ้นในโลกมายาแห่งนั้น เด็กสาวที่นอนหน้าซีดพลันลืมตาโพลง ภายในมีรอยเย็นยะเยือกวาดผ่าน

“นายหญิง เป็นอะไรหรือไม่?”

ในห้องเกิดแสงทองวาบขึ้น ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มพร้อมนัยน์ตาคู่งามเป็นสีเงินและทองยืนมองนางด้วยความเป็นห่วง

เขาหลับลึกอยู่ในมิติส่วนตัวของนานมาระยะหนึ่งและเพิ่งจะลืมตาตื่น ไม่คิดเลยว่าตื่นมาก็ต้องพบกับภาพชวนน่าตกใจเช่นนั้น

เขาไม่อยากคิดเลยว่านายหญิงของเขาจะเป็นอะไรไปหากเขาตื่นช้าไปเพียงนิด

กลิ่นอายจากร่างชิงอวี่นั้นให้สัมผัสชั่วร้ายจนน่ากลัว

มีคนลักลอบเข้ามาในฝันนางโดยที่นางไม่ทันรู้ตัวได้ อีกทั้งนางยังไม่อาจต้านพลังแปลกประหลาดนั่นได้อีก นางรับรู้อยู่ตลอดแท้ ๆ แต่กลับทำตามเสียงนั่นอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้เลย

นางจำได้ว่าเมื่อครู่นางยังไม่ได้หลับด้วยซ้ำ เพียงแต่พักสายตาเล็กน้อย ทั้งกายทั้งใจยังตื่นตัวอยู่มาก แต่ไม่รู้ที่จิตนางลอยออกไปเมื่อไหร่ จากนั้นนางก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว

“ไหมไหม เจ้าเห็นคนผู้นั้นหรือไม่?” ชิงอวี่เอ่ยถามเสียงเรียบ

เด็กหนุ่มส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเครียด “ไม่เลย เขาไม่เผยตัว แต่ควบคุมจากที่ไกลด้วยวิญญาณ พยายามดึงวิญญาณนายหญิงไป แต่ข้าปรากฏตัวขึ้นขัดขวางเขาไว้ คงทำให้บาดเจ็บไปถึงเส้นพลัง”

“หึ” ชิงอวี่หัวเราะหยัน “เจ้าว่าวิชาเขาเป็นอย่างไร?”

“คนที่ต้องใช้วิชาน่ารังเกียจเช่นนั้นคงไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก” จั้งไหมเอ่ยเสียงดูถูก จากนั้นเอ่ยถาม “นายหญิง ช่วงนี้ท่านได้ไปเหยียบหางพวกคนน่ารังเกียจหน้าไม่อายบ้างหรือไม่?”

“ข้าว่า….. ข้าพอจะเดาออกว่าเป็นผู้ใด” ชิงอวี่เอ่ยพร้อมเหยียดมุมปาก นัยน์ตาดำทะมึน

กังวลจนรอไม่ได้แล้วหรือ? แต่ใช้วิธีเช่นนี้ไม่สมฐานะเขาเลยจริง ๆ? หากแดนเซียนในตำนานมีแต่คนที่ใช้ความสามารถวิชาเช่นนี้ นางคงรู้สึกผิดหวังนัก

ในเมื่อพวกเขาลงมือกับนางแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าได้ล้ำเส้นนาง หากต่อไปต้องประมือกัน นางก็ไม่ต้องยั้งมืออีก อาจมีเรื่องที่นางรังเกียจไม่คิดทำ แต่หากเป็นเรื่องชั่วช้าเจ้าเล่ห์ละก็…..

นางไม่กลัวว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้แก่ใครเช่นกัน