ตอนที่ 308 โชคชะตา!

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 308 โชคชะตา!

ทุกคนในคณะผิงสี่ที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มกบฏล้วนถูกส่งไปยังเหมืองเพื่อขุดเหมือง

หัวหน้าหลินผู้โชคร้ายมองดูคณะละครที่แตกแยกระส่ำระสายด้วยน้ำตาตกใน

ขมขื่นยิ่งนัก!

เหตุใดเขาถึงได้พบกับคนเสียสติอย่างหลินเสี่ยวเป่าผู้บ้าที่ต้องการให้ทุกคนสังเวยให้กับ ‘การใหญ่’ ของเขา!

คนบ้า!

คนบ้า!

คนบ้าที่สมควรตาย!

เขาทำได้เพียงขอบคุณที่เรื่องนี้ถูกค้นพบตั้งแต่เนิ่นๆ

เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนที่หลินเสี่ยวเป่าจะขึ้นแสดงบนเวที

เฮ้อ…

เสียงถอนหายใจแสดงความเศร้าในใจ

“เหตุใดจึงถอนหายใจ คนไม่ตาย ฟ้าก็ยังไม่ถล่ม”

เยียนวิ๋นเกอมองเขาด้วยความตลก

หัวหน้าหลินขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดออกมา

เขาหดมือหดเท้า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ร่างกายขดตัวเหมือนนกกระทา

“ต่อจากนี้คิดจะทำอันใด”

หัวหน้าหลินผงะเล็กน้อย จากนั้นพูดอย่างระมัดระวัง “คณะละครเกรงว่าจะทำต่อไม่ได้แล้ว หลายปีนี้ข้าเก็บเงินไว้บ้าง จึงคิดจะกลับไปยังบ้านเกิดที่ชนบท”

“เหตุใดจึงไม่ทำคณะละครต่อ คณะละครของเจ้าดีไม่น้อย!”

หัวหน้าหลินอยากจะร้องไห้ คนหายไปกว่าครึ่งเรียกดีหรือ

ขมขื่น!

“ใจคนสลายไปแล้ว ไม่มีเงินพอที่จะรับคนเพิ่ม ทำได้เพียงยุบคณะเท่านั้น”

เยียนอวิ๋นเกอเคาะโต๊ะเบาๆ “ทำคณะละครของเจ้าต่อเถิด อย่าคิดจะกลับบ้านเกิด เรื่องเงิน เรือนพักจัดการแทนเจ้าได้ เพียงแต่นับจากนี้ คณะผิงสี่ของเจ้าจะมีเถ้าแก่เพิ่ม เจ้ายอมหรือไม่”

หัวหน้าหลินตกตะลึง เขากระพริบตาราวกับฟังไม่เข้าใจ

เขาถามอย่างระมัดระวัง “เถ้าแก่หมายความว่าจะลงทุนเลี้ยงคณะละคร แต่ว่าเพราะเหตุใด หากเถ้าแก่ชอบดูการแสดง ให้นายหน้าไปซื้อนักแสดงมาเลี้ยงไว้ในจวน ท่านอยากดูเมื่อใดก็ให้พวกเขามาร้องต่อหน้าเมื่อนั้นสะดวกกว่าเลี้ยงคณะละครมาก อีกทั้งยังน่าวางใจยิ่งกว่า”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ข้าชอบดูการแสดง แต่เรือนพักต้องการให้คณะละครของพวกเจ้าแสดง เพียงแต่บทละครต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม”

“แสดงละครเรื่องใหม่?” หัวหน้าหลินยังคงหวาดกลัว

ตอนนี้พอได้ยินละครเรื่องใหม่ก็รู้สึกกลัว

เขาไม่รู้หนังสือ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะถูกคนอื่นหลอก

เขากลัวตกหลุมพรางอีกครั้ง!

เยียนอวิ๋นเกอรู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องใด นางยิ้ม “วางใจเถิด ไม่ให้เจ้าร้องบทละครต้องห้าม ส่วนเจ้า เตรียมซ้อมละครใหม่สองเรื่อง เนื้อหาหลักเกี่ยวกับความดีของเรือนพักร่ำรวย ให้ผู้ลี้ภัยที่ต้องพเนจร ปากท้องอดอยากมีที่พักพิง มีอาหารให้กิน ให้ชาวบ้านใกล้เคียงทมีแหล่งหาเงินที่ดี

พูดง่ายๆ ก็คือส่งเสริมความดีของเรือนพักรกอย่างแข็งขัน ในขณะเดียวกันต้องวิพากษ์วิจารณ์ความเกียจคร้าน การพนัน และการกู้ยืมเงินอย่างหนัก…”

หัวหน้าหลินเข้าใจในทันที ความกังวลใจของเขาหมดไปในที่สุด

เขายิ้มเบิกบาน ไร้ซึ่งความทุกข์เหมือนก่อนหน้านี้ “เรื่องนี้ข้าน้อยถนัด! บทละครที่ร่ายร้องเกี่ยวกับเรือนพัก โจตีการพนันนี้ ข้าน้อยสามารถแต่งได้ทันที”

“ส่วนเรื่องบทละคร ซินแสทั้งหลายในเรือนพักจะจัดการเอง แน่นอน เจ้าสามารถเสนอความคิดได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าเชี่ยวชาญบทละครมากกว่า พยายามซ้อมละครเรื่องใหม่ให้เสร็จในเร็ววัน นับจากนี้ออกไปด้านนอก แสดงถึงเรือนพักร่ำรวยของพวกเราให้มาก ให้คนบนโลกรู้ว่าเรือนพักร่ำรวยเป็นสถานที่ที่ดี”

หัวหน้าหลินถามอย่างสงสัย “เรือนพักจะรับคนหรือ ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ด้านนอกต่างรู้จักเรือนพักร่ำรวย เพียงแค่กลัวว่าพวกท่านไม่รับคน มาเสียเที่ยว นอกจากไม่ได้ทำงานแล้วยังต้องเสียอาหารอีกหลายวัน ระหว่างทางยังอาจมีอันตราย หากเรือนพักมั่นใจว่าจะรับคน ย่อมมีคนมากมายยอมมา”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “เมื่อเรือนพักรับคน ข้าจะบอกเจ้า ส่วนเจ้า เวลานี้ตั้งใจแต่งบทละครเรื่องใหม่ มีสิ่งใดต้องการ เจ้าบอกหานซินแส เขาจะจัดการให้เจ้า”

“ตอนนี้คณะขาดคนแ! เถ้าแก่องสามารถให้คนที่ทำความผิดอยู่ต่อ ให้พวกเขาชดใช้ความผิดได้หรือไม่”

หัวหน้าหลินระมัดระวังมาก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

เยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้! เจ้าไปรับคนข้างนอกได้ แต่คนที่ทำผิด เจ้าไม่ต้องคิด”

เรื่องของหลินเสี่ยวเป่าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกของเยียนอวิ๋นเกอกับโจรกบฏอย่างซือหม่าโต่ว

เหตุการณ์นี้ตักเตือนนางว่าสถานการณ์นอกนครบาลไม่ได้ดีอย่างที่คิด

แม่ทัพในพื้นที่ส่งกองกำลังไปปราบปรามความวุ่นวาย ทุกคนเชื่อว่ากลุ่มกบฏในแผ่นดินจะถูกกวาดล้างในไม่ช้า

แต่มีคำพูดหนึ่งพูดไว้อย่างดี ไฟป่าดับไม่ได้ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลับมาอีกครั้ง

พวกโจรกบฏบีบบังคับราษฎรให้ก่อกบฏ เมื่อคุ้นเคยกับการกินเนื้อ การลักปล้นชิงฆ่า การได้มาซึ่งสิ่งของโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อ ผู้ใดจะยอมทำนาอีก

นอกจากนี้แม่ทัพพลในท้องถิ่นแต่ละคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว

ยากที่จะรับประกันได้ว่าไม่มีผู้ใดไร้ความคิดที่จะเลี้ยงโจร

มิฉะนั้น ผ่านไปนานเพียงนี้ อีกทั้งยังมีอำนาจของตระกูลขุนนางมาช่วยเหลือ เหตุใดโจรกบฏจึงไม่ถูกกวาดล้าง อีกทั้งยังกระจายอยู่ทั่วทุกที สามารถหลบหนีในช่วงเวลาวิกฤติได้เสมอ

เยียนอวิ๋นเกอเด็ดขาดอย่างมาก ในเมื่อสังคมไม่มั่นคง อย่างนั้นก็จงเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง

นางสั่งเยียนหนานผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ “รับคน! ขยายค่ายองครักษ์”

“รับมากน้อยเพียงใด” เยียนหนานไม่พูดพล่ามแม้แต่คำเดียว

เยียนอวิ๋นเกอพลิกดูบัญชี คำนวณทรัพย์สินของเรือนพักว่าจะสามารถเลี้ยงองครักษ์ได้อีกมากน้อยเพียงใด

องครักษ์แต่ละคนในค่ายองครักษ์ล้วนเป็นค่าใช้จ่าย พวกเขามีหน้าที่แค่ฝึกฝน แต่ไม่เพิ่มการผลิต

องครักษ์แต่ละคน ค่าใช้จ่ายแต่ละปี ทั้งอาหาร เครื่องใช้ เมื่อคำนวณลงมาแล้ว อย่างน้อยต้องมียี่สิบถึงสามสิบก้วน

นี่เป็นแค่การคาดการณ์

หากมีการเคลื่อนไหว ค่าใช้จ่ายยิ่งมาก

เยียนอวิ๋นเกอกลุ้มใจ!

เลี้ยงคนเสียเงินมากเสียจริง โดยเฉพาะองครักษ์ที่ไม่มีกำลังการผลิต

สุดท้าย นางกัดฟันพูดตัวเลขที่เหมาะสม “รับอีกแปดร้อยคน! ตอนรับตั้งเงื่อนไขสูงหน่อย รอบแรกให้วิ่งรอบจัตุรัสสักสามถึงห้ารอบ คนที่วิ่งไม่ได้คัดออกให้หมด คนที่วิ่งได้เข้าสู่รอบที่สอง กติกาการสอบ เจ้าตัดสินใจ อย่าลืมกำหนดเวลาตอนวิ่ง อาทิวิ่งให้เสร็จภายในหนึ่งดอกธูป”

“เพียงแค่วิ่งรอบจัตุรัสสามรอบห้ารอบก็ตัดคนได้มากกว่าครึ่ง นอกจากนี้ยังมีเวลากำหนด ย่อมตัดคนได้มากยิ่งขึ้น” เยียนหนานเห็นด้วยกับวิธีการสอบนี้อย่างมาก

สมัยนี้ ทุกคนต่างกินไม่อิ่ม

อีกทั้งจัตุรัสหน้าโรงอาหารของเรือนพักร่ำรวยกว้างใหญ่ หากต้องวิ่งสามถึงห้ารอบภายในเวลาหนึ่งดอกธูปนั้นย่อมยากลำบากสำหรับคนที่กินไม่อิ่มเป็นเวลานาน

แม้ภายในใจต้องการวิ่งต่อไป แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย!

ค่ายองครักษ์รับคน

ประกาศถูกติดเอาไว้บนกำแพงโรงอาหารของเรือนพัก ด้านนอกโถงบรรพบุรุษของชุมชน ตลาดในเมือง…

ชั่วขณะหนึ่ง ชายหนุ่มในแต่ละเมือง ผู้ลี้ภัยในนครบาล ผู้เช่าแปลงนาของเรือนพักล้วนตื่นเต้นขึ้นมา

“ข้าจะไปสมัครค่ายเรือนพักร่ำรวยองครักษ์!”

“ข้าจะตีขาเจ้าให้หัก”

“ใกล้จะต้องเก็บเกี่ยวแล้ว ไม่ให้ไป!”

“ข้าจะไป!”

“ข้าไม่เรียนแล้ว ข้าจะไปสมัครค่ายองครักษ์”

“หากเจ้ากล้าเดินออกจากประตูนี้ไป ข้าจะถือว่าไม่มีลูกอย่างเจ้า”

“ข้าไม่อยากทำนา กินไม่อิ่มไปตลอดชีวิต ข้าจะไปสมัครค่ายองครักษ์ที่เรือนพักร่ำรวย”

“เจ้าพูดเหลวไหล! บรรพบุรุษของพวกเราล้วนทำนา เจ้าไม่ทำนา เจ้าจะเหาะหรืออย่างไร!”

ทุกครัวเรือนที่มีชายหนุ่มแข็งแรงอยู่นั้นล้วนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

บรรดาเด็กหนุ่มยังคงมีความฝันอยู่ในใจ พวกเขายังไม่ถูกชีวิตกดขี่จนสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

พวกเขาเต็มใจที่จะลองและต่อสู้

ผู้อาวุโสในครอบครัวยอมรับชะตากรรมมานานแล้ว พวกเขาเคยชินกับการใช้ชีวิตไปตามแบบระเบียบแบบแผน ไม่อยากเปลี่ยนแปลงและกลัวการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ต้องการให้บุตรหลานไปเสี่ยง

ค่ายองครักษ์ใดกัน อย่าอิจฉาคนอื่นที่ได้กินเนื้อ ทั้งที่ยังไม่เห็นตอนอีกฝ่ายโดนทุบตี

บรรดาเด็กๆ เรียกน้องที่จะไป

พวกเขาปีนข้ามกำแพงเพื่อหลบหนี วิ่งไปทางเรือนพักร่ำรวยอย่างรวดเร็ว

หากต้องถูกโบย หรือถูกแทงก็มีเนื้อให้กิน คุ้ม!

ความคิดเรียบง่ายเช่นนี้

“ได้ยินว่าค่ายองครักษ์มีเงินเดือนทุกเดือน สองสามวันก็มีเนื้อกิน”

“หนึ่งปียังมีชุดใหม่สี่ชุด”

“ยังมีรองเท้าใหม่ ข้าเคยไปตลาดในเรือนพักร่ำรวย เห็นกับตาว่าองครักษ์พวกนั้นสวมรองเท้าหนัง สง่างามอย่างมาก”

“สวมรองเท้าหนังจริงหรือ ต้องแพงแค่ไหนกัน!”

“อย่างไรแล้ว นอกจากพ่อบ้าน ค่ายองครักษ์เป็นกลุ่มคนที่กินดีที่สุด แต่ว่าก็เหน็ดเหนื่อยจากการฝึกฝนที่สุด”

“ไม่กลัวการฝึกฝน! ไม่ว่าเหนื่อยเพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับการต้องทำนาทุกวัน”

“ใช่! กลัวลำบากก็อย่าไปสมัครค่ายองครักษ์”

เด็กหนุ่มจากชนบททั้งหลายต่างเดินอยู่บนถนนเล็กในหุบเขาด้วยความตื่นเต้น

ชีวิตที่ดีกำลังโบกมือให้พวกเขาอยู่ด้านหน้า

พวกเขาเชื่อว่า เพียงแค่ไปถึงเรือนพักร่ำรวยย่อมจะถูกรับเข้าไปในค่ายองครักษ์ ย่อมมีชีวิตที่ทุกคนต่างอิจฉา

ทันใดนั้น…

บนก้อนหินข้างทางมีชายหนุ่มหนวดนั่งอยู่ ข้างมือของเขามีมีดใหญ่เงาวับเล่มหนึ่งวางไว้ สายตาดุร้ายของเขากำลังจ้องมองบรรดาเด็กหนุ่ม

บรรดาเด็กหนุ่มชะงักฝีเท้าด้วยความกลัว

ทำอย่างไรดี

เด็กหนุ่มเจี่ยพูดเสียงเบา “ได้ยินว่าแต่ก่อนทางนี้มีโจรป่า รู้เช่นนี้คงไม่เดินทางนี้แล้ว”

เด็กหนุ่มเกาตัวสั่น “ทำอย่างไรดี พวกเราเจอโจรปล้นแล้วหรือ”

เด็กหนุ่มหูแม้ตัวสั่น แต่ก็ยังแสดงท่าทีกล้าหาญ “ไม่ ไม่ต้องกลัว ตรงนี้มีเขาแค่คนเดียว อีกอย่างบนตัวพวกเราไม่มีเงิน ปล้นพวกเราคงไม่พอ”

เด็กหนุ่มหม่าหลบอยู่ด้านหลัง “ต้องไปคุยให้เขาปล่อยพวกเราไปหรือไม่”

เด็กหนุ่มหูสูดลมหายใจเข้า เดินขึ้นหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ “บุรุษท่านนี้ พวกเราเดินผ่าน…”

ชายหนุ่มหนวดแซ่ลู่ นามเฉินโจว ลู่เฉินโจว

ชื่องดงามอย่างมาก แต่ลักษณะของเขากลับกำยำ

เขายกมีดใหญ่ขึ้น ยังไม่ทันพูดก็ทำให้เด็กหนุ่มกลัวจนถอยหลังด้วยหน้าซีดเผือด

ลู่เฉินโจวชี้ไปที่เด็กหนุ่มหู “เจ้า ใช่ เจ้านั่นแหละ เจ้ามานี่!”

เด็กหนุ่มหูสีหน้าซีดเผือด เขาก้าวขาไปด้านหน้าด้วยความลังเล “ท่านเรียกข้า?”

“ข้าถามเจ้า ที่นี่คือที่ใด โธ่เอ๋ย เมื่อวานข้ารออยู่ตรงนี้ รอเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เจอคนเป็นอย่างพวกเจ้า”

“ที่ที่นี่คือเขาหมูป่า ภูเขาแถวนี้ล้วนเรียกเขาหมูป่า”

“ข้าถามเจ้า เอาเถิด เจ้ากลัวอันใด ข้าไม่กินคน ข้าถามเจ้าว่าที่นี่ห่างจากนครบาลไกลเพียงใด”

“ที่ที่นี่คือเขตนครบาล ด้านหน้าเป็นพื้นที่แคว้นชี”

“อ่อ!” ลู่เฉินโจวฉงน แคว้นชีคือที่ใด ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“รู้จักเรือนพักร่ำรวยหรือไม่”

“รู้ รู้จัก!”

“อยู่ที่ใด”

เด็กหนุ่มหูยกมือที่สั่นเทาขึ้นชี้ไปด้านหน้า “เดินตามทางนี้ตรงไป จนถึงแคว้นชี จากนั้น…”

“ช้าก่อน พวกเจ้าก็กำลังไปสมัครค่ายองครักษ์ของเรือนพักร่ำรวยใช่หรือไม่”

“ท่านก็จะไปสมัครที่เรือนพักร่ำรวยหรือ”

โชคชะตา!