ตอนที่ 303 ช่องว่างระหว่างคนรอบข้างจะใหญ่แค่ไหน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 303 ช่องว่างระหว่างคนรอบข้างจะใหญ่แค่ไหน

หญิงชราจับมือหลิวกุ้ยอิง และกล่าวคำขอบคุณต่อหล่อน ไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกการพูดคุยระหว่างพวกหล่อนได้

“อิงจื่อ เธอคงทรมานมามากเลยสินะ”

หลิวกุ้ยอิงน่าจะมีอายุเท่ากับลูกสาวของนาง ซึ่งปีนี้เซี่ยอวี่อายุสี่สิบปีแล้ว

เมื่อทั้งสองนั่งลงด้วยกันและเปรียบเทียบ มองแวบแรกพวกหล่อนดูเหมือนแม่และลูกสาวไม่มีผิด

แต่หญิงชราบอกได้เลยว่า โครงหน้าของหลิวกุ้ยอิงนั้นสวยมาก โดยเฉพาะตาสองชั้นกลมโตของหล่อน ตอนที่หล่อนยังเด็ก คงจะสวยมากแน่ ๆ

ยี่สิบปีที่วัยสาวของหล่อนสูญเปล่า ต้องจมอยู่กับความผันผวนที่เกิดขึ้นในชีวิต

หญิงชรารู้สึกลำบากใจมากจริง ๆ

ในฐานะผู้หญิง นางรู้ดีถึงความเจ็บปวดของการเลี้ยงลูกตามลำพัง

ไหนจะเรื่องลูกนอกสมรสอีก ยังดีที่เอาชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้

หญิงชราเอาแต่เช็ดน้ำตาที่รินไหล จนเซี่ยไห่ต้องเข้ามาเตือนอย่างช่วยไม่ได้

“แม่ หยุดพูดเรื่องนี้ก่อนเถอะ พูดซ้ำไปสิบกว่ารอบแล้ว พี่อิงจื่อต้องทนทุกข์มานานก็จริง แต่เรามาชดเชยให้กันในวันข้างหน้าดีกว่า ถนอมช่วงเวลาดี ๆ เอาไว้ อย่าขุดเรื่องเศร้ามาพูดเลย”

“เอาล่ะ เราจะไม่คุยเรื่องนี้แล้ว มาให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้กันดีกว่า” หญิงชรามองหลิวกุ้ยอิงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อิงจื่อ เธอยังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่ต้องมาเจอจุดสูงสุดความลำบากขนาดนี้แล้ว”

หญิงชราคิดอยู่ในใจว่าตนจะต้องพาอิงจื่อและเซี่ยเหลยกลับมาเจอกัน และทำให้หล่อนเป็นสะใภ้ตระกูลนี้อย่างถูกต้อง

ครอบครัวของนางจะต้องดูแลอีกฝ่ายอย่างดี

หลังจากนั่งได้สักพัก เซี่ยไห่ดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “จะเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ”

“ไม่เป็นไร กินกันที่บ้านนี่แหละ ฉันจะทำอาหารเอง”

หลิวกุ้ยอิงเป็นคนชนบทที่เป็นกันเองและเรียบง่าย เมื่อแขกมาเยี่ยมบ้านทั้งที มารยาทที่ดีที่สุดคือการเปิดบ้านและเลี้ยงอาหารให้กับแขก

หล่อนไม่นิยมพาแขกไปกินข้าวนอกบ้าน และยังรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การต้อนรับแขกที่ดีเลย

เมื่อหลิวกุ้ยอิงพูดแบบนี้ คุณแม่เซี่ยก็ไม่ยอมนั่งอยู่เฉย รีบถามขึ้นว่า “นั่นจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่า?”

“ไม่รบกวนเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของพวกคุณที่กลับมาแถวนี้ จะปล่อยให้ออกไปข้าวกินกันเองได้ยังไงคะ?”

คุณแม่เซี่ยมองผู้หญิงเรียบง่ายตรงหน้าแล้วพูดว่า

“อืม ถ้าอย่างนั้นเราก็ยินดี”

เซี่ยอวี่เตือนว่า “แม่ ถ้าเราออกมาข้างนอกนานเกินไป แถมไม่ได้บอกพี่ใหญ่เอาไว้ด้วย เขาต้องกังวลมากแน่ ๆ”

หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งว่า “งั้นเสี่ยวไห่ช่วยกลับไปบอกพี่ใหญ่หน่อยว่าเรามากินข้าวกับเซี่ยเซี่ยและแม่ของหล่อน แล้วเราค่อยตามกลับไป”

เซี่ยไห่ที่นั่งฟังอยู่ ก็รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจทำ “แม่ครับ ทำไมถึงให้ผมกลับไปล่ะ? ผมก็อยากกินอาหารฝีมือพี่อิงจื่อเหมือนกัน แถมไม่ได้กินมานานแล้วด้วย”

เซี่ยอวี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ก็นายมีรถ เป็นคนส่งข่าวน่ะดีแล้ว”

เซี่ยไห่ทำได้แค่ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ก่อนออกไปข้างนอก เขาถามหลิวกุ้ยอิงว่า “พี่อิงจื่อ จะทำเมนูอะไรเหรอ? ถ้าเป็นเหลียงเฝิ่นก็เหลือไว้สักชามนะ เดี๋ยวผมกลับมากินทีหลัง”

หลิวกุ้ยอิงยิ้มและตอบกลับว่า “ได้สิ”

เซี่ยไห่ฮัมเพลงแล้วเดินออกไป หญิงชราเห็นลูกชายและอิงจื่อเข้ากันได้ดีแบบนี้ก็ยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

คงจะดีมากถ้าลูกชายคนโตสามารถเข้ากับอิงจื่อแบบนี้ได้ในภายหน้า

หลิวกุ้ยอิงมองไปทางหลินเซี่ย และถามความคิดเห็นจากเธอว่า “แม่จะผัดผักและทำเหลียงเฝิ่นแทนหุงข้าว ตกลงไหม?”

ก่อนที่หลินเซี่ยจะตอบ หญิงชราก็พูดว่า “อิงจื่อ เธอกำลังจะทำเมนูอะไร? เราเข้าไปช่วยไหม? เราไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกเรื่องกินอะไรมากหรอก”

นอกจากนี้หญิงชรายังต้องการเข้าไปช่วยหลิวกุ้ยอิงทำอาหารในครัวด้วย

หลิวกุ้ยอิงรีบห้ามทันที “ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันลงมือเองดีกว่า”

“เอาน่า ให้ฉันช่วยนะ”

หลินเซี่ยอยากจะตามไปห้องครัว แต่หลิวกุ้ยอิงกลับพูดว่า “ไม่เป็นไร ลูกไปอยู่กับแขกเถอะ แม่จัดการคนเดียวได้”

หญิงชรามองหลิวกุ้ยอิงที่ทำงานหนักและขยันขันแข็ง จากนั้นมองไปที่เซี่ยอวี่ซึ่งกำลังนั่งเล่นเพจเจอร์อยู่ด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้

ดูอิงจื่อสิ นี่แหละคือสิ่งที่คนวัยสี่สิบควรจะเป็น ไม่ใช่แบบนั้น

ลูกสาวและลูกชายคนสุดท้องยังคงทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิดเลย

ช่างน่าหดหู่มาก

ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ยังคงทำตัวเหมือนเด็ก เมื่อแก่ตัวลงจะมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวหรือเปล่า

ไม่รู้จะกังวลเรื่องน้ำมัน เกลือ ซอส และน้ำส้มสายชูอย่างไร

ขณะที่นางกำลังตำหนิเซี่ยอวี่และลูกชาย เซี่ยอวี่ก็ตอบกลับเสียงดัง

หญิงชราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลืนคำพูดที่มาถึงลำคอลงไป

เซี่ยอวี่เดินไปที่ประตูแล้วรับโทรศัพท์

“ฉันบอกว่าต้องการรับช่วงต่องานนี้ พวกคุณควรจะติดต่อกลับมาโดยเร็วที่สุดด้วย

สรุปราคาเท่าไหร่? นี่คือบ้านเกิดฉัน ถ้าไม่มีที่นี่ ฉันจะอยู่รอดมาถึงอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง? พูดดี ๆ กับฉันด้วยเวลาคุยเรื่องงาน อย่าพูดถึงทีมดาราด้วยจมูกที่ลอยไปในท้องฟ้าของคุณอีก

อืม มาถึงแล้วก็โทรหาฉันด้วย”

เซี่ยอวี่มักดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทั้งที่เป็นสาววัยกลางคนแล้ว

แต่เมื่อใดที่หล่อนอุทิศตนให้กับงาน หล่อนก็มีราศีเต็มเปี่ยม จนแม้แต่หญิงชราก็ไม่กล้าแย้ง

หญิงชรารู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อคิดว่าเป็นเวลาหลายปีที่พวกเขาต้องพึ่งพางานของลูกสาวเพื่อสนับสนุนชีวิตประจำวัน คิดแบบนั้นแล้วหัวใจก็รู้สึกเป็นทุกข์

สุดท้ายแล้วจะขอร้องพวกเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ เป็นนางกับเซี่ยเหลยเองที่ลากลูกสาวไปยังจุดนั้น ทำให้หล่อนพลาดช่วงอายุที่ดีที่สุดในการแต่งงานไป

หลินเซี่ยนั่งลงข้าง ๆ และมองเซี่ยอวี่ด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง

ช่องว่างระหว่างคนรอบข้างใหญ่แค่ไหนกัน?

เซี่ยอวี่และหลิวกุ้ยอิงต่างเป็นตัวอย่างที่มีชีวิต

ผู้หญิงทั้งสองคนถูกหล่อหลอมขึ้นจากสภาพแวดล้อมสองแห่งที่แตกต่างกัน มีชะตากรรมและสถานะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ไม่สามารถเทียบได้ว่าใครมีความสุขมากกว่ากัน หลิวกุ้ยอิงเลี้ยงลูกสามคน สำหรับหล่อนแม้ว่าหนทางจะขรุขระบ้าง แต่ก็ไปถึงความสำเร็จเหมือนกัน

ในฐานะราชินีแห่งภาพยนตร์ เซี่ยอวี่ประสบความสำเร็จมากกว่าจากมุมมองทางโลก

แต่ไม่มีมาตรฐานการวัดแบบรวมสำหรับคำจำกัดความของความสำเร็จ

แค่มีความสุขกับตัวเองก็พอแล้ว

คงต้องใช้เวลาสักพักก่อนอาหารมื้อใหญ่จะพร้อม แม่เซี่ยจึงแนะนำให้หลินเซี่ยพาพวกเขาไปเดินเล่นในซอย

นางอยากจะไปชมบริเวณปากซอย เพื่อดูบ้านเก่าที่เคยอาศัยอยู่

หลินเซี่ยไม่คุ้นเคยกับสถานที่แถวนี้มากนัก ดังนั้นทั้งสามจึงเดินไปรอบ ๆ ในตรอกด้วยกัน กระทั่งหญิงชราพบทางกลับบ้านหลังเก่าในความทรงจำ

“เสี่ยวอวี่ ยังจำสถานที่พวกนี้ได้ไหม?”

“แม่ ฉันจำได้อยู่ค่ะ แต่แค่ไม่อยากจำมันก็เท่านั้น”

เมื่อตอนที่พวกเขายังอาศัยอยู่ละแวกนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ใช้ชีวิตตนเองให้มีความสุขเถอะค่ะ นิยามความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

ไหหม่า(海馬)