ตอนที่ 304 ทำไมลูกชายคนอื่นถึงได้เอาถ่านขนาดนี้

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 304 ทำไมลูกชายคนอื่นถึงได้เอาถ่านขนาดนี้

หลินเซี่ยไม่ค่อยคุ้นเคยกับละแวกนี้เท่าใด เธอมักจะเข้าออกซอยนี้เวลาไปมาหาสู่ครอบครัว และไม่เคยแวะไปที่อื่นเลย

ตอนนี้เธอกับเซี่ยอวี่เดินตามหญิงชราผ่านตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวหลายซอย จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าลานบ้านเก่าที่ว่างเปล่า

“ในที่สุดก็เจอสักที นี่ไงบ้านเก่าที่เราเคยอยู่”

หญิงชรากวาดตามองลานบ้านที่ทรุดโทรม ยืนเขย่งเท้าและพยายามมองเข้าไปข้างในจากกำแพง “ฉันจำได้ว่าเราย้ายมาอยู่นี่เกือบสามสิบปีแหนะ”

ความทรงจำในวัยเด็กของเซี่ยอวี่นั้นคลุมเครือมาก และหล่อนปฏิเสธที่จะนึกถึงความยากลำบากในตอนนั้น

เรื่องนี้ช่างแสนหดหู่มาก ทำให้นึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างในวัยเด็ก

พ่อที่ป่วยหนัก แม่ที่ทำแต่งาน และตัวหล่อนเองที่เป็นลมเพราะต้องทนต่อความหิว

พี่ชายถูกทุบตีจนเลือดกำเดาไหล เพียงแค่ออกไปหาอาหารให้ครอบครัว

“ทำไมตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่เลยล่ะ? ฉันไม่รู้ว่าบ้านนี้ถูกใครซื้อไปรึยัง หรือตกเป็นที่ดินของรัฐไปแล้ว?”

บ้านส่วนใหญ่ในบริเวณนี้เดิมเคยเป็นบ้านจัดสรร

หลังจากที่หลายคนย้ายออกไป พวกเขาแค่เช่าบ้านเก่าเก็บเอาไว้

เซี่ยอวี่ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ราวกับว่าปีแห่งยากลำบากเหล่านั้นกำลังโบกมือทักทายหล่อนอีกครั้ง ชวนให้รู้สึกหายใจไม่ออก ก่อนหันไปพูดกับแม่ของตนว่า

“แม่ ฉันดูจนพอแล้ว เรากลับกันเถอะ”

เมื่อเห็นลูกสาวเริ่มไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด หญิงชราถอนหายใจและพยักหน้าตอบ “อืม กลับกันเถอะ”

สุดท้ายพวกเธอก็ทำผิดพลาดอีกครั้ง ก่อนเดินมาถึงบ้านหลิวกุ้ยอิง ทั้งสามเกือบหลงทางไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ หญิงชราจึงหัวเราะเยาะหลินเซี่ยและเซี่ยอวี่ โดยบอกว่าความทรงจำของคนหนุ่มสาวไม่ดีเท่าหญิงชราอย่างเธอ

ทันทีที่เข้ามาในลานหน้าบ้านหลิวกุ้ยอิง พวกเธอก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาเตะจมูก

หลิวกุ้ยอิงเทเหลียงเฝิ่นลงในกะละมัง และวางลงบนโต๊ะหินในสนามเพื่อทำให้แห้ง

“คุณย่าคะ นี่คือเหลียงเฝิ่นที่แม่ทำ กินแบบเย็นจะมีรสสัมผัสชัดเจนมากกว่า”

“มันทำจากแป้งมันฝรั่งสินะ ฉันเคยทำเหลียงเฝิ่นแป้งมันฝรั่งมาก่อน”

หลินเซี่ยฟังหญิงชราพูด ก็คอบกลับอย่างมีความสุขว่า “ว้าว เหลียงเฝิ่นแป้งมันฝรั่งก็อร่อยมากเหมือนกันค่ะ”

“ไว้ฉันเริ่มคุ้นเคยกับที่นี่ก่อน เดี๋ยวให้ตาลุงของเธอซื้อแป้ง แล้วฉันจะทำเหลียงเฝิ่นแป้งมันฝรั่งให้กินนะ”

“ขอบคุณค่ะคุณย่า”

หลินเซี่ยพูดคำว่าคุณย่าแทบทุกประโยค แถมยังใช้น้ำเสียงแบบธรรมชาติและอ่อนหวาน หญิงชราได้ฟังก็มีความสุขจนล้นอก

เมื่อหลิวกุ้ยอิงเห็นพวกเธอกลับมาจึงพูดขึ้นว่า

“อาหารจะพร้อมเร็ว ๆ นี้แล้ว รีบเข้ามารอได้เลยค่ะ”

หลินเซี่ยรีบไปล้างมือ และนำอาหารมาจัดวางบนโต๊ะ เมื่อเซี่ยไห่กลับมา หลินจินซานก็ติดตามกลับมาด้วย

เขากลืนน้ำลายเมื่อเห็นหลินเซี่ยจัดโต๊ะอาหาร “เพิ่งทำเสร็จเลยนี่นา กลับมาทันจนได้”

หญิงชราพูดไม่ออกเมื่อเห็นลูกชายซึ่งเป็นถึงเถ้าแก่ใหญ่ แต่กลับแสดงความอยากอาหารตรงหน้าจนน้ำลายสอ

“ทำไมกลับมาเร็วจัง ลูกได้บอกพี่ใหญ่หรือยัง?”

“บอกแล้ว พี่ใหญ่เขาทำอาหารกินเองได้ เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับด้วย เลยต้องนอนทันทีหลังกินข้าว”

เซี่ยไห่เริ่มคุ้นเคยกับบ้านนี้แล้ว เริ่มหาที่นั่งให้ทุกคนพร้อมสรรพ

“ที่บ้านมีแขกเหรอ?”

เมื่อหลินจินซานเข้ามาในบ้าน เขาก็ทักทายแขกอย่างอบอุ่น

“คุณคือแม่ของเถ้าแก่เซี่ยใช่ไหมครับ?”

“อืม”

หลินจินซานแนะนำตัวเองอย่างเคร่งขรึมว่า “ผมเป็นลูกชายของแม่หลิวกุ้ยอิง และเป็นพี่ชายของหลินเซี่ย ทั้งยังเป็นหัวหน้าแผนกในห้องเต้นรำของเถ้าแก่เซี่ยด้วย ชื่อหลินจินซานครับ”

แม่เซี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “จินซาน ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ ฉันได้ยินเสี่ยวไห่เล่าว่าเซี่ยเซี่ยมีพี่ชายที่กระตือรือร้นกับงานมาก ๆ คนหนึ่ง”

หลังจากหลินจินซานทักทายหญิงชรา เขาก็จ้องมองไปยังใบหน้าของเซี่ยอวี่ “สวัสดีครับคุณผู้หญิง ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวของเราที่ได้ต้อนรับคุณในบ้านแสนต่ำต้อยหลังนี้ ผมน่ะเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยครับ”

“จริงเหรอ?” เซี่ยอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วถามกลับ “คุณเคยเห็นฉันในหนังหรือละครเรื่องไหนบ้างล่ะ?”

“กระบี่เริงระบำ ใช่เรื่องนี้ไหมครับ?”

หลินจินซานเกาหัวด้วยความเขินอาย “ผมรู้สึกประหม่าจนตาพร่ามัวไปหมดเลย แต่ผมเป็นแฟนหนังของคุณจริง ๆ นะ”

ด้วยความกลัวว่าดาราสาวจะผิดหวังในตัวเขา จึงเริ่มเดาสุ่มสี่สุ่มห้าออกไปว่า “หรือคุณแสดงนำในเรื่องมังกรหยกหรือเปล่า?”

“แล้วหนังตำรวจเรื่องนั้นที่คุณดูเหมือนจะแสดงด้วยล่ะ?”

เซี่ยอวี่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับการแสดงออกทางสีหน้า ก่อนยิ้มตอบและส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก แต่ก็ขอบคุณมากนะ”

หลินเซี่ยรู้สึกอับอายต่อหลินจินซานจริง ๆ เธอไม่อยากให้เขาทำตัวเสนอหน้าแบบนี้อีกต่อไป จึงหาข้ออ้างที่จะส่งเขาออกไป “พี่ชาย ไปที่ห้องแล้วยกเก้าอี้มานั่งเถอะ”

“ได้เลย”

หลินจินซานกลับเข้าห้องแล้วยกเก้าอี้ออกมานั่ง เมื่อเขาเห็นหลิวกุ้ยอิงยกเหลียงเฝิ่นเข้ามา เขาจึบรีบไปรับทันที “แม่ เดี๋ยวผมทำเอง”

“จินซาน ถ้าไม่อยากกินเหลียงเฝิ่นจะกินซาลาเปาแทนก็ได้นะ แม่มีซาลาเปาลูกใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเช้า จะได้เอามากินคู่กับข้าวได้”

น้ำเสียงของหลินจินซานอ่อนหวานกว่าครั้งไหน ๆ “ขอบคุณนะแม่ แม่ใจดีที่สุดเลย”

ดวงตาของแม่เซี่ยอ่อนลงเมื่อเห็นว่าหลิวกุ้ยอิงในฐานะแม่เลี้ยง สามารถปรับตัวเข้ากับลูกเลี้ยงของหล่อนได้เป็นอย่างดี ราวกับเขาเป็นลูกแท้ ๆ ของหล่อนเอง

หลิวกุ้ยอิงวางเหลียงเฝิ่นลง แล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า “มันเป็นอาหารพื้นๆ ธรรมดา อาจจะไม่ถูกปากนัก รีบกินกันเถอะค่ะ”

เซี่ยไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่อิงจื่อ ผมไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว ผมชอบอาหารทุกอย่างที่คุณทำเลย”

หญิงชราได้ชิมแล้วก็ชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เซี่ยอวี่นั้นกลัวอ้วน และไม่ค่อยกินแป้งมากนัก แต่หลังจากกินเหลียงเฝิ่นไปคำหนึ่ง หล่อนก็หยุดกินไม่ได้เลย

หลินจินซานหยิบซาลาเปานึ่งและกินผักไปสองสามคำ จากนั้นก็บอกว่าเขาอิ่มแล้ว

หลิวกุ้ยอิงยังคงปฏิบัติตามประเพณีในชนบท เมื่อแขกมาเยี่ยม หล่อนจะไม่กลับเข้าครัวไปเตรียมอาหารอีก แต่จะยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกและคอยอยู่ใกล้ ๆ เพื่อรอเติมข้าวและน้ำให้พวกเขา

หลินเซี่ยพูดคุยกับแม่เซี่ยหลายครั้งก่อนจะนั่งลง

หลังจากหลินจินซานกินเสร็จ เขาก็เฝ้าดูหลิวกุ้ยอิงหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอย่างมีความสุข และพูดว่า “แม่ วันนี้ฉันได้เงินเดือนแล้วนะ”

“แม่คิดว่าฉันได้เงินมาเท่าไหร่?” เขาจงใจถ่วงเวลาเอาไว้ พลางถามหลิวกุ้ยอิงอย่างชวนให้สงสัย

หลิวกุ้ยอิงเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า หลินจินซานจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นหลังเป็นหัวหน้างาน เมื่อดูสีหน้าตื่นเต้นของเขาแล้ว หล่อนเดาและตอบไปว่า “สองร้อย?”

หลินจินซานแสดงสีหน้าเหมือนคำตอบผิด ก่อนมองไปทางหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย คิดว่าไง?”

“ร้อยแปดสิบ?”

หลินจินซานเฉลยคำตอบอย่างมีความสุข “สองร้อยหกสิบ สองร้อยหกสิบถ้วนพอดี”

เซี่ยไห่ที่กำลังกินข้าวอยู่พูดเสริมขึ้นมาว่า “ตอนแรกฉันว่าจะให้เขาแค่สองร้อยห้าสิบ แต่คิดว่าตัวเลขนี้มันแปลก ๆ เลยเพิ่มให้อีกสิบหยวน”

“แม่ ผมจะเก็บเงินไว้ใช้เองแค่หกสิบหยวน ส่วนแม่เก็บสองร้อยหยวนไว้ใช้จ่ายก็แล้วกันนะ” หลินจินซานมอบเงินก้อนโตก้อนแรกให้กับหลิวกุ้ยอิง

แต่หลิวกุ้ยอิงปฏิเสธ “ลูกหาเงินมาเองก็เก็บไว้ใช้เองสิ”

“แม่ต้องเก็บไว้ให้ผมนั่นแหละ เดี๋ยวผมจะใช้มันหมดซะก่อน”

เวลานี้มีแขกอยู่ที่บ้าน หลิวกุ้ยอิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย หล่อนเหลือบมองแม่เซี่ยและคนอื่น ๆ ที่กำลังมองพวกเขาสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “แขกยังไม่กลับ ลูกเก็บไว้ก่อนเถอะ“

“แขกทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกในครอบครัวเรา พวกเขาเป็นคุณย่าและอาของเซี่ยเซี่ยไม่ใช่เหรอ? ย่าของน้องสาวก็เป็นย่าของผมเหมือนกัน”

หลินจินซานน่ารักมาก และแม่เซี่ยก็มีความสุขมากที่ได้ยินประโยคนี้กับหูตัวเอง

“เอาล่ะ แม่จะเก็บไว้ให้ก่อน ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ยังไงก็มาเอาได้ตลอด”

หลินเซี่ยตอบจากด้านข้างว่า “แม่ ถ้าเขาขอก็ไม่ต้องให้ พี่ชายบอกเองว่าเขาขอเงินติดตัวแค่หกสิบหยวนไม่ใช่เหรอ? บางคนไม่สามารถหาเงินหกสิบหยวนต่อเดือนได้ด้วยซ้ำ ยิ่งมีเยอะก็ต้องเก็บออม เพราะแม่ต้องเก็บเงินเผื่อไว้งานแต่งพี่ชายนี่นา“

หลินเซี่ยรู้ว่าหลินจินซานได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้นขนาดนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเพลิดเพลินกับการใช้เงินมากจนเกินไป

หลินจินซานเห็นด้วยอย่างมาก “ถูกของเซี่ยเซี่ย แม่ เก็บเงินไว้แทนผมและใช้เป็นค่างานแต่งเถอะ”

“จินซานมีแฟนแล้วเหรอ?” หลังจากได้ยินการพูดคุยระหว่างแม่และลูกชาย ดวงตาของแม่เซี่ยก็สว่างวาบขึ้น และถามอย่างสงสัย

น้ำเสียงของหลินจินซานนอบน้อมมากขณะตอบกลับ

“คุณย่า ผมยังไม่มีใครเลยครับ กำลังหาอยู่”

“ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ รู้วิธีหาคู่ครองเองเป็นด้วย”

นางถามหลินจินซานต่อว่า “แล้วปีนี้อายุเท่าไหร่ล่ะ?”

หลินจินซานตอบว่า “คุณย่าเซี่ย เร็ว ๆ นี้ก็จะยี่สิบห้าแล้วครับ”

แม่เซี่ยพยักหน้า “อายุถึงวัยที่สมควรจะแต่งงานแล้วนี่”

“ใช่ครับ ในชนบทอายุเท่านี้ถือว่าเป็นชายโสดสูงวัย ที่บ้านเกิดมักจะหาคนรุ่นราวคราวเดียวกับผมยากด้วยครับ เป้าหมายของผมในปีนี้คือสละโสดให้ได้ และแต่งงานปีหน้า จะได้มีหลานให้แม่อุ้มไว ๆ”

หลินจินซานมีเป้าหมายที่ชัดเจน แม่เซี่ยจึงชื่นชมเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก “ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ เธอมีความทะเยอทะยานที่ดีมาก”

หญิงชราเต็มไปด้วยคำชมเชยต่อหลินจินซาน จากนั้นก็จ้องมองอย่างขุ่นเคืองไปที่เซี่ยไห่ ผู้มีความอยากอาหารมากและปากก็เลอะไปด้วยน้ำมัน

ทำไมลูกชายคนอื่นถึงได้เอาถ่านขนาดนี้นะ!

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่ไห่น่าจะครองโสดยาวๆ ดูไลฟ์สไตล์แล้วไม่น่าจะมีแฟนล่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)