บทที่ 255 พิชญากระโดดตึก

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“อะไรนะ?”วารุณีเม้มริมฝีปากอย่างสงสัย ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำพูดนวิยา

นวิยามองเธอด้วยความโมโห“คุณน่าจะยังจำได้ว่า เมื่อก่อนฉันเคยพูดกับคุณแล้วว่า ให้คุณอยู่ห่างจากนัทธีหน่อยนะ?”

ได้ยินดังนั้น วารุณีจึงพยักหน้าอย่างซับซ้อน“จำได้ค่ะ”

นั่นเป็นตอนที่พงศกรประสบอุบัติเหตุแล้วเพิ่งเข้าโรงพยาบาล นวิยามาเยี่ยมพงศกร แล้วเจอเธออยู่ที่นั่นพอดี จากนั้นก็พูดคำพูดพวกนี้กับเธอ

นวิยาตบผ้าห่ม น้ำเสียงก็สูงขึ้น“ในเมื่อคุณยังจำได้ งั้นทำไมคุณไม่ทำตาม คุณไม่ละอายใจต่อฉันเลยเหรอ?ฉันรักนัทธี ตั้งแต่เด็กก็รักแล้ว ทั้งๆที่คุณรู้อยู่แล้ว กลับยังคบกันนัทธี คุณรู้ไหมว่าพฤติกรรมของคุณแบบนี้เรียกว่าอะไร?เรียกว่ามือที่สาม!”

วารุณีถูกเธอถามแบบนี้ ในใจก็เสียใจหน่อยๆ ละสายตาลง“ขอโทษจริงๆค่ะคุณนวิยา ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้ทำตาม แต่ว่าสิ่งต่างๆในโลกล้วนแต่ยากที่จะคาดเดา อีกอย่างฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะมือที่สามของคุณกับประธานนัทธี”

“ไม่คิดว่า?”ดวงตานวิยาเบิกโตออกมา“ความหมายของคุณคือ คุณไม่คิดว่าคุณแย่งนัทธีไปจากฉัน?”

“ค่ะ”วารุณีเงยหน้าขึ้น ด้วยท่าทางจริงจัง“ประธานนัทธีบอกกับฉันว่า เขาไม่เคยรักคุณเลย เขาเห็นคุณเป็นน้องสาว พวกคุณก็ไม่เคยคบกัน ดังนั้นประธานนัทธีเป็นโสด ในเมื่อเป็นโสด งั้นฉันคบกับเขา ก็ไม่ถือว่าแย่งมา”

ถ้าหากในใจของนัทธีมีนวิยา ถึงแม้จะมีแค่นิดเดียว

เธอก็จะไม่คบกับนัทธี

“แก……แก……”นิ้วมือของนวิยาชี้ไปที่วารุณีอย่างสั่นๆ เห็นได้ชัดว่าโกรธเพราะคำพูดของเธอ

ผ่านไปไม่กี่วินาที นวิยาก็เอามือลง“ไป แกออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากเห็นแกแล้ว ไปสิ!”

เธอตะโกนเสียงดัง

ริมฝีปากของวารุณีขยับ แต่ก็กันกลับออกไป

หลังจากออกไปแล้ว ก็เผชิญหน้ากับการจับตามองของนัทธีกับพิชิต เธอส่ายหน้า ไม่พูดอะไรสักคำ เดินไปที่ลิฟต์

นัทธีมองแผ่นหลังของเธอ แล้วตามไป

ในลิฟต์ หลังจากนัทธีกดชั้นล่างแล้ว ก็ถามว่า“นวิยาพูดอะไรกับคุณ?”

วารุณีไม่ปิดบังเขา หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ ก็เอาคำที่พูดกับนวิยา พูดออกมา

นัทธีฟังจบ ก็เอาเธอมากอดไว้ในอ้อมแขนแน่นๆอย่างเบามือ“คำพูดของนวิยา คุณอย่าเอามาใส่ใจ”

วารุณีอยู่ในเอวที่แข็งแกร่งของเขา เอาหน้าเอนไปที่ไหล่เขา“แน่นอนว่าฉันไม่เก็บไปใส่ใจ ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดด้วย ฉันไม่ได้เป็นมือที่สามของพวกคุณอยู่แล้ว และก็ไม่ได้แย่งคุณไปเลยด้วย”

ก็แค่ในใจของเธอนั้น ยังรู้สึกผิดหน่อยๆ

นวิยาโทษที่ตอนนั้นเธอรับปากว่าจะอยู่ห่างนัทธีแล้ว แต่เธอทำไม่ได้จริงๆ

“อือ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ทำ”นัทธีหัวเราะเบาๆ จูบไปที่หน้าผากของวารุณี

วารุณีถูไถบ่าของเขา แล้วรัดอ้อมแขนของเขาแน่นขึ้น“งั้นคุณล่ะ คุณคุยกับคุณนวิยาแล้วไม่ใช่เหรอ คุยอะไรไป?”

นัทธีลูบผมนุ่มๆของเธอ“ผมบอกนวิยาไปว่าผมไม่ได้รักเธอ คนที่รักคือคุณ คนที่จะคบด้วย ก็คือคุณ”

วารุณีกะพริบตา“ตรงๆแบบนี้เลย?ไม่น่าล่ะคุณนวิยาถึงร้องไห้”

ตอนที่เธอเข้าไป นวิยาก็เช็ดน้ำตาอยู่นี่?

“พูดตรงไปหน่อย จะได้ทำลายความคิดของเธอไปเลย ล้วนแต่เป็นเรื่องดีของเธอกับพวกเรา”นัทธีจูงวารุณีออกไปจากลิฟต์

วารุณีกอดแขนของเขา“แต่ถ้าเธอไม่หยุดความคิดที่มีต่อคุณล่ะ?”

ชัดเจนว่านัทธีไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ เขาเปิดประตูรถด้านที่นั่งข้างคนขับให้เธอ“ผมเชื่อว่านวิยาจะต้องคิดได้”

“เหรอ……”วารุณีละสายตาลง ปกปิดอารมณ์ที่อยู่ในดวงตาแล้วนั่งเข้าไปในรถ ไม่พูด

เธอไม่เชื่อว่านวิยาจะคิดได้ ยังไงก็รักนัทธีมาสิบปี ถ้าจะปล่อยไป ก็คงปล่อยไปนานแล้ว

อีกอย่าง หลายๆครั้ง ถึงจะไม่มีความรู้สึกแล้ว ความหมกมุ่นก็ยังมีอยู่ และความหมกมุ่น ก็น่ากลัวที่สุดด้วย

นัทธีปิดประตูรถที่นั่งคนขับ เดินผ่านหน้ารถเข้าไปในที่นั่งคนขับ“จะไปไหน?”

“สตูดิโอค่ะ”วารุณีคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ ก็บอกที่อยู่ไป

นัทธีบิดกุญแจรถ ขับรถออกไป

ครึ่งชั่วโมงถัดมา ก็มาถึงอาคารสตูดิโอ

วารุณีโบกมือ มองส่งนัทธีขับรถออกไปไกล จนกระทั่งมองไม่เห็น แล้วจึงเอามือลง หันกลับเข้าไปในอาคาร

มาถึงสตูดิโอ วารุณีก็ถูกหยอกล้อที่มาจากเพื่อนสนิท“โหย ใครกันเนี่ย หน้าตาเบิกบานเชียวนะ”

วารุณีจ้องเธอเขม็งอย่างไม่พอใจ เดินผ่านเธอเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง เอากระเป๋าลงมาจากไหล่ แขวนไว้ที่ชั้นตรงมุม

ปาจรีย์ตามวารุณีเข้ามา ยืนอยู่หน้าโต๊ะออฟฟิศ มองเธอทำงานอย่างล้อเลียน“วารุณี เมื่อกี๊ฉันเห็นแล้ว ประธานนัทธีมาส่งเธอ แล้วเธอยังจูบเขาด้วย พวกเธอ……”

“อย่าเปิดเผย อย่าไปบอกใครล่ะ !”วารุณีชูนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง ทำท่าพูดเบาๆ

ปาจรีย์ได้รับคำตอบ ก็กระโดดขึ้นมา“ห่า นี่จะไม่บอกใครได้ไงกัน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ได้แล้ว วารุณี เธอต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ ไม่ได้บอกเหรอว่า?คนที่สละโสด ต้องเลี้ยงข้าวอีกคน”

วารุณีดึงเก้าอี้ทำงานมานั่ง ตอบกลับอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“ได้ ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอ”

“ต้องแบบนี้สิ”ปาจรีย์หัวเราะอย่างร้ายกาจ

วารุณีเปิดคอม“ใช่สิ เรื่องที่ฉันคบกับประธานนัทธี เธออย่าเอาไปพูดนะ แม่ฉันกับพงศกรก็ห้ามบอก โดยเฉพาะพงศกร ฉันกลัวว่าจะไปกระตุ้นเขา”

ความหมกมุ่นของพงศกรคือเธอ

ถ้าให้เขารู้ ว่าเธอคบกับนัทธี อาการทางจิตจะต้องแย่อีกแน่ ส่วนแม่นั้น รอแม่กลับประเทศมาค่อยว่ากันอีกที

“วางใจเถอะ ในใจฉันรู้ดี”ปาจรีย์หัวเราะ แต่สายตากลับหม่นลง

วารุณีถอนหายใจ จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องคุย“ฉันจำได้ว่าเมื่อวานเป็นวันที่เสื้อผ้ารุ่นใหม่ออกขายนี่ ยอดขายเป็นไงบ้าง?”

“ฉันจะพูดกับเธอเรื่องนี้พอดี”ปาจรีย์ตบมือ“ฉันเห็นยอดขายแล้ว สูงกว่าเดือนที่แล้วหกสิบเปอร์เซ็นต์”

ดวงตาวารุณีเบิกโตขึ้นด้วยความช็อก“หกสิบเปอร์เซ็นต์?”

“ใช่!”ปาจรีย์พยักหน้าด้วยความดีใจอย่างมาก“หลักๆเป็นเพราะการแข่งชิงโควตากับความเห็นที่พ่อเลวๆคนนั้นของเธอทำออกมา ทำให้ชื่อเสียงของคุณพุ่งทะยานขึ้น ดังนั้นครั้งนี้พวกเราจึงทำเงินได้มาก”

“งั้นฉันต้องขอบคุณสุภัทรจริงๆ”วารุณีส่ายหน้าพลางหัวเราะ“โอเค เธอพรินต์ยอดขายมาหน่อยสิ จากนั้นแจ้งพวกเขา คืนนี้จัดงานฉลอง”

“โอเค”ปาจรีย์ตอบรับ จากนั้นก็ออกไป

วารุณีดึงลิ้นชักออก เอาอัลบั้มออกแบบด้านในออกมา แล้วเริ่มทำงาน

ตอนเที่ยง ปาจรีย์สั่งข้าวเสร็จ วารุณีลุกขึ้นบิดเอว กำลังจะกินข้าว จู่ๆโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นมา

เธอหยุดฝีเท้าลง หยิบโทรศัพท์มาดู เห็นเป็นนักสืบที่โทรมา ก็กดรับทันที

“คุณวารุณี แย่แล้วครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”น้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อยของนักสืบดังออกมาจากโทรศัพท์

หน้าเล็กๆของวารุณีก็เคร่งขรึมขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“พิชญา……พิชญากระโดดตึกฆ่าตัวตาย”

“อะไรนะ?”รูม่านตาของวารุณีหดลง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และเสียงก็แหลมขึ้นมา

ปาจรีย์ที่อยู่ด้านนอกออฟฟิศขนาดใหญ่ได้ยิน รีบเงยหน้ามาดู“วารุณี เป็นอะไรไป?”

“พิชญากระโดดตึก!”วารุณีกำโทรศัพท์แน่น รีบตอบเธอทันที

ตะเกียบในมือปาจรีย์หล่นลงพื้น แต่ไม่สนใจที่จะเก็บ รีบเดินเข้าไป เดินมาหยุดตรงหน้าวารุณี“จริงหรือเปล่าเนี่ย?”

“ฉันก็อยากรู้”วารุณีกัดริมฝีปาก

คำพูดของเธอนี้ พูดกับนักสืบที่อยู่ปลายสาย

นักสืบมองกลุ่มคนตรงหน้าที่ล้อมกันอยู่ไม่ไกล น้ำเสียงจริงจังอย่างมาก“จริงครับ ผมเห็นพิชญากระโดดลงมาจากหน้าต่างห้องเธอเองกับตา ตอนนี้รถพยาบาลกับตำรวจ และสื่อต่างรีบมา น่าจะมีข่าวในอินเทอร์เน็ต”