ตอนที่ 299 สิงโตตัวเมียโมโห
วันจันทร์ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ มู่เถาเยา เย่ว์จือกวง และลู่จือฉินก็เตรียมออกเดินทาง
“ลุงจงคะ ช่วงหลายวันนี้ก็ฝึกตามคลิปวิดีโอไปก่อนนะคะ มีตรงไหนไม่เข้าใจถามตี้อู๋เปียนหรืออาของหนูก็ได้ค่ะ”
เธออัดวิดีโอไว้ล่วงหน้าสำหรับการฝึกหกวัน ทั้งยังมีคำอธิบายอย่างละเอียด อีกอย่าง ระยะนี้ตี้อู๋เปียนคุยเรื่องการฝึกวรยุทธ์กับเธอได้เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว
ถ้าไม่ติดว่าร่างกายของเขายังแบกรับไม่ไหว เขาคงฝึกได้ดีระดับหนึ่งแล้ว
พ่อบ้านจงยิ้มพูด “ลุงเข้าใจแล้วเสี่ยวเยาเยา”
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อย อันที่จริงพวกเธอพาพ่อบ้านจงไปด้วยก็ได้นะ เขาช่วยแบกของได้”
ไปป่าพิษหมาป่าโดยมีคนตระกูลเย่ว์ไปด้วยก็ไม่อันตรายเท่าไร ไม่ถึงกับเสียชีวิต
ถ้าเป็นป่าเซียนโหยว เขาไม่มีทางเสนอแบบนี้
พ่อบ้านจงก็มองมู่เถาเยาด้วยสีหน้าคาดหวัง
“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้มีของอะไรมาก” มู่เถาเยาปฏิเสธทันที
ขึ้นเขาครั้งนี้มีจุดประสงค์ชัดเจนมาก
เธอกับอาจารย์มีหน้าที่หาสมุนไพร พี่รองคุ้มกัน
ถ้ามีพ่อบ้านจงไปเพิ่ม พี่รองยังต้องคอยพะว้าพะวง
เย่ว์จือกวงเห็นน้องสาวพูดจบก็พูดกับทุกคน “พวกเราจะกลับมาบ่ายวันเสาร์หน้า ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
ทุกคนพยักหน้า
มองพวกเขาขับรถกระบะออกไป
จากนั้นเย่ว์จือเหิงก็ไปส่งคุณตาคุณยายกลับบ้านตระกูลเป่ย
เหลียงจีก็ขอตัวลา
ปาอินกับเฉิงอันนั่วกินข้าวกลางวันที่ตำหนักพระจันทร์ก่อนแล้วถึงออกไปเที่ยวรอบๆ
“เสี่ยวอิน เธอก็ไม่ค่อยได้มาตำหนักพระจันทร์เหรอ” ดูท่าทางเธอเหมือนตื่นตาตื่นใจไปหมด
“พี่ชายฉันมาบ่อย แต่ฉันไม่เคยมา ฉันอายุเท่าเสี่ยวเยาเยา กลัวทำน้าเป่ยสะเทือนใจ คนในบ้านก็เลยไม่เคยพาฉันมาที่ตำหนักพระจันทร์”
เฉิงอันนั่วพยักหน้า “ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว อาจารย์อาเล็กกลับมาแล้ว”
“อืม พวกเราออกไปเดินเล่นกัน เดี๋ยวกลับมานั่งคุยกับปู่เย่ว์ย่าเย่ว์สักพัก”
“ได้”
ทั้งสองคนขับรถนำเที่ยว ค่อยๆ ชมไปเรื่อยๆ
“เสี่ยวเฉิง ช่วงสองสามวันนี้ฉันจะพานายไปเที่ยวป่าภูเขาในเมืองก่อน ไว้พวกเสี่ยวเยาเยากลับมาแล้วฉันค่อยพานายนั่งรถชมทั่วเผ่า จากนั้นก็น่าจะใกล้ได้เวลาเปิดเทอมแล้ว”
“ได้ ฟังจากที่อาจารย์ปู่เล่า รถนำเที่ยวของเผ่าหมาป่าพระจันทร์จะขับแค่ตอนกลางวัน ตอนเย็นจะหยุดพัก รถหนึ่งคันมีคนขับสองคน ผลัดกันตอนกินข้าว ระหว่างแล่นไปไม่มีจุดจอด ไม่รับคนขึ้นและก็ไม่ปล่อยคนลง”
“ใช่แล้ว พวกเรามีรถนำเที่ยวสองแบบ แบบหนึ่งก็คือขับเฉพาะกลางวันตามที่นายว่า ตอนเย็นหยุดวิ่ง นักท่องเที่ยวจะเลือกค้างโรงแรมใกล้ๆ ก็ได้ นอนบนรถก็ได้ มีแบบเป็นห้องด้วย สี่คนต่อหนึ่งห้อง มีห้องน้ำในตัว กว้างพอสมควร ต่อให้อยู่บนรถก็พักผ่อนได้”
“พวกอาจารย์ปู่เคยนั่งแบบนั้น บางวันก็ไปพักในโรงแรม บางวันก็นอนบนรถ สะดวกมาก เป็นประสบการณ์ที่ดี”
“อืม ขอแค่นักท่องเที่ยวมาขึ้นรถให้ทันเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นพอ ถ้าไม่ทัน…อืม และยังอยากนั่งรถประเภทนี้ล่ะก็ ต้องรออีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อนั่งรถรอบถัดไป ถ้ามีที่ว่างนะ ใช้ตั๋วเดิมได้เลย ตั๋วมีอายุหนึ่งเดือน เพราะรถนำเที่ยวประเภทนี้วิ่งรอบเผ่าใช้เวลาหนึ่งเดือน”
“ดีนะ คนที่มีเวลาเยอะๆ มานั่งได้”
“ถึงได้ให้เวลานักท่องเที่ยวอยู่ในเผ่าสามสิบห้าวันยังไงล่ะ”
“แล้วรถอีกแบบล่ะ”
“รถอีกแบบขับทั้งกลางวันกลางคืน พักแค่สิบนาทีตอนคนขับรถเปลี่ยนเวรกัน ไม่อนุญาตให้ลงจากรถตลอดเส้นทาง ครึ่งเดือนก็วนครบรอบเผ่า”
“นั่งรถนำเที่ยวแบบนี้ดีจริงๆ ประหยัดเวลาเปลี่ยนรถ ไม่ต้องรอ ประเทศอื่นไม่มีแบบนี้”
“ใช่แล้ว”
“และก็เพราะเผ่านี้ร่ำรวย ถนนหนทางดี…”
ปาอินยิ้มกว้าง “นักท่องเที่ยวที่มีเวลาเยอะจะชอบนั่งแบบแรก แบบหลังตอนกลางคืนต้องนอน จะพลาดวิวสวยๆ ไปเยอะ”
เฉิงอันนั่วพยักหน้า
“อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวชอบแบบแรกเลย แม้แต่คนในเผ่าก็ชอบ ถ้ามีธุระ ตอนเย็นก็ยังลงจากรถได้ หรือเวลามีเรื่องด่วนก็ลงจากรถตอนคนขับเปลี่ยนเวรได้ แต่ต้องเขียนใบคำร้องนะ ให้หัวหน้าประจำรถประทับตราอนุญาต แต่สถานการณ์แบบนี้ก็มีน้อยมาก”
“ทิวทัศน์ของเผ่าหมาป่าพระจันทร์เป็นธรรมชาติที่สวยแบบดั้งเดิม แทบจะคงสภาพเดิมไว้ทั้งหมด เดินทางสะดวก ผู้คนก็เป็นมิตรมาก ไม่มีการขูดรีดนักท่องเที่ยว จะคนท้องถิ่นหรือคนต่างถิ่นก็ราคาเดียวกัน ก็ไม่แปลกที่จะถูกยกย่องว่าเป็นบ้านที่มีความเข้าอกเข้าใจมากที่สุด ถ้าไม่ติดว่าเข้มงวดเรื่องการอพยพย้ายถิ่นฐานคงมีคนต่างชาติทะลักย้ายเข้ามา”
ช่วงหลายวันนี้เขาได้รู้ว่าราคาบ้านในเผ่าไม่ได้สูงเท่าเมืองเย่ว์ตู เพราะที่นี่ประชากรน้อย มีบ้านกันครอบครัวละสองสามหลัง แค่พออยู่ ไม่ค่อยชอบซื้อไว้เก็งกำไร
แต่ละครอบครัวไม่เดือดร้อนเรื่องบ้าน แทบจะไม่มีการเช่าบ้าน แล้วจะซื้อเก็บเอาไว้ทำไมเยอะแยะ
ทางรัฐบาลก็ห้ามบริษัทอสังหาริมทรัพย์บุกเบิกที่ดินมากเกินไปด้วย อยากซื้อเก็บไว้ก็ทำไม่ได้เท่าไร
ตอนเฉิงอันนั่วไม่มายังไม่เท่าไร พอมาถึงก็ต้องตกใจ
เรียกได้ว่าเผ่าหมาป่าพระจันทร์สมบูรณ์แบบมากๆ
ดังนั้นการหายตัวไปของอาจารย์อาเล็กจึงชวนให้ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ข้อสงสัยที่เป็นไปได้มากที่สุดแต่เดิมคือมีประเทศที่คิดไม่ดีอยากใช้ประโยชน์จากการที่ตระกูลเย่ว์เด็กหายมาทำลายความมั่นคงของเผ่า จากนั้นก็ขับไล่…ตอนนี้ตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งแล้ว ยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ว่าเผ่าที่แสนสมบูรณ์แบบนี้ทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้นขึ้น
กฎหมายของเผ่าก็รุนแรงมาก
ปาอินเห็นเฉิงอันนั่วไม่พูด แค่ขับรถมองไปข้างหน้า เธอจึงถาม “เป็นอะไรไปเสี่ยวเฉิง”
“เปล่า ฉันแค่นึกถึงเรื่องที่อาจารย์อาเล็กหายตัวไป”
ปาอินอายุเท่ามู่เถาเยา ย่อมไม่รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เรียกได้ว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผ่ายังมีเจ้าหญิงน้อยด้วย จนกระทั่งหาตัวมู่เถาเยาพบ
“คนสารเลวนั่น! กล้ามาขโมยเด็กของตระกูลเย่ว์…%&@@%&*…”
เฉิงอันนั่วอึ้งไปชั่วขณะ
เขาเพิ่งเคยเห็นปาอินด่าคนครั้งแรก
เหมือนสิงโตตัวเมียโมโห ดวงตายังฉายแววโกรธแบบไม่มีปิดบัง
แต่ว่า…คำด่าแต่ละคำดูบ้านๆ มาก ให้ความรู้สึกไม่เข้ากับเหตุการณ์สักเท่าไร…
ปาอินด่าอยู่สักพัก เหงื่อแตกเต็มหัว ใบหน้าก็แดงก่ำ
เฉิงอันนั่วอดลอบมองเธอหลายทีไม่ได้ จากนั้นก็หยิบกระดาษทิชชู่บนรถให้เธอสองแผ่น
“เช็ดเหงื่อก่อน”
“อือ”
ปาอินเช็ดส่งๆ
“เธอไม่ต้องโกรธขนาดนั้น ย่าเย่ว์ก็พูดไว้ตอนกินข้าวกลางวัน ทุกคนต่างมีสิ่งที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ตัดกันไม่ขาด
ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์อาเล็กอยู่กับอาจารย์ปู่ของฉันก็ไม่เคยต้องลำบาก ทั้งยังได้เรียนรู้มีวิชาเต็มตัว ต่อให้อาจารย์อาเล็กเติบโตในตำหนักพระจันทร์ก็ใช่ว่าจะโดดเด่นสะดุดตากว่าตอนนี้ เธอลองเปลี่ยนมุมมองอาจจะรู้สึกดีขึ้น”
“อืม”
ใช่ว่าปาอินจะไม่เข้าใจ ก็แค่ปวดใจ
แต่เสี่ยวเยาเยาไม่เคยลำบากเป็นเรื่องจริง
คนที่ลำบากอย่างแท้จริงคือคนตระกูลเย่ว์
สภาพจิตใจทุกข์ทรมานยิ่งกว่าทางร่างกาย
“พวกเรากลับกันเถอะ”
“ได้”
เฉิงอันนั่วขับรถนำเที่ยววนรอบหมู่อาคาร ครึ่งชั่วโมงต่อมาก็กลับถึงอาคารหลัก
ย่าเย่ว์ยิ้มพลางกวักมือเรียกพวกเขา
“ข้างนอกอากาศร้อน รีบมาดื่มชาเย็นๆ กันสิ ทำจากสมุนไพรที่เสี่ยวเยาเยาเก็บมาเลยนะ”
ปาอินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ยกแก้วชาที่พ่อบ้านจงรินให้แล้วดื่มรวดเดียว
“ขออีกค่ะ”
ยื่นมือจะไปยกกาน้ำชามาเทอีก
แต่ย่าเย่ว์ห้ามไว้
“เสี่ยวเยาเยาบอกว่า เมื่อคืนกินของฤทธิ์เย็นไปมาก วันนี้ดื่มน้ำชาเย็นๆ ได้แค่แก้วเดียว อีกทั้งดื่มได้แค่ตอนบ่ายที่อากาศร้อนที่สุดด้วย”
“อ้อ จริงค่ะ หนูต้องเชื่อฟังเสี่ยวเยาเยา”
ทุกคนพากันพยักหน้า
พวกเขาต่างเชื่อฟังเสี่ยวเยาเยา