เมื่อเจินซื่อเฉิง ได้ยินเรื่องนี้ ก็ได้ตำหนิเจินเหิงเสียยกใหญ่ว่าทำตัวไร้สาระยิ่งนัก
เจินเหิงก้มหน้ายอมรับความผิดพลาดของตน “ลูกดื่มมากไปหน่อยขอรับท่านพ่อ”
เขายอมรับว่าเจียงชังแห่งจวนตงผิงปั๋วมีความสามารถ แต่เขาทนไม่ได้ที่จะให้คนอื่นมาเหยียบย่ำตนเองเพื่อที่จะโด่งดัง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าเขาจะสอบและได้ตำแหน่งเจี่ยหยวนกลับมา หากในอีกหลายปีข้างหน้าผู้คนต่างพากันกล่าวว่าเป็นเพราะเจียงชังสละสิทธิ์การสอบกลางคันจึงทำให้ตนได้ผลประโยชน์นี้ เขาคงจะอึดอัดใจตายเสียก่อน หากบัดนี้ไม่แก้หน้าให้ตนเอง จะรอแก้ตัวในอนาคตที่ไม่ชัดเจนหรือ
อีกอย่าง เมื่อนึกถึงจวนตงผิงปั๋ว เจินเหิงก็รู้สึกหน้าอกกระเพื่อมเล็กน้อย
การที่เขาพยายามอย่างยิ่งให้ได้ตำแหน่งเจี่ยหยวนมา ก็เป็นเพราะหวังว่านางจะเห็นถึงความสามารถของเขา…บางทีนางอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
การปฏิเสธในครั้งนั้นทำให้เจินเหิงต้องตัดสินใจเก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้เงียบๆ เพียงลำพัง แต่มันไม่ง่ายเลยสำหรับชายหนุ่มที่จะลืมการเต้นโครมครามของหัวใจในครั้งแรกเพราะสตรีได้
ถึงอย่างไร เขาก็ไม่พอใจนัก
ด้วยเหตุนี้เอง เจินเหิงจึงพยายามทำตนเองให้ดีขึ้นและเก่งขึ้น เก่งถึงขนาดว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่ชอบ แต่ก็คงไม่อาจเพิกเฉยต่อความเฉลียวฉลาดของเขาได้
“ท่านพ่อขอรับ พาลูกไปรับผิดขอโทษที่จวนตงผิงปั๋วได้หรือไม่”
เจินซื่อเฉิงรู้สึกว่าข้อเสนอของบุตรชายคนนี้ไม่เลวเลย
หญิงสาวผู้นั้นเรียกเขาว่าท่านลุง อีกทั้งในจวนตงผิงปั๋วก็ค่อนข้างจะเกรงใจเขา บัดนี้กล่าวได้ว่าเป็นพี่น้องกันแล้ว เช่นนั้น การที่บุตรชายของเขาดื่มสุราจนมึนเมาและสร้างเรื่องพฤติกรรมอันเย่อหยิ่งนี้ออกมา เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ การพาบุตรชายไปขอโทษที่จวนตงผิงปั๋วนับว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำยิ่งนัก
เมื่อเจินเหิงเห็นท่าทางของผู้เป็นบิดาก็รู้อยู่ในใจว่าคงจะสำเร็จแน่ ดังนั้นริมฝีปากของเขาจึงเผยอยิ้มขึ้น
เจินซื่อเฉิงพยักหน้า แต่ทันทีที่เขาเห็นรอยยิ้มจางๆ จากริมฝีปากของบุตรชาย ก็ดูเหมือนจะนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ เขาเป่าลมออกมากระทบกับเครา กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าต้องการไปที่จวนปั๋วเพื่อเอ่ยขอโทษ หรือจะไปหาสตรีกันแน่”
แค่กๆๆ! เจินเหิงไอออกมาอย่างรุนแรง ใบหูขาวราวหยกของเขาเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อทันที จากนั้นกล่าวออกมาอย่างทำตัวไม่ถูกว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดถึงเรื่องอันใดกัน”
บิดาเห็นเขาเป็นคนเช่นนั้นหรือ
“อีกอย่างหนึ่ง ลูกเป็นคนที่มีมารยาทรู้กฎรู้เกณฑ์ดี จะไปหาสตรีได้อย่างไร”
เจินซื่อเฉิงลูบเคราของเขาช้าๆ แล้วครุ่นคิด “เช่นนั้นหรือ ก็ดีข้าจะทำการนัดแนะคุณชายเจียงออกมาเพียงลำพัง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ออกไปมากมาย”
คุณชายใหญ่แห่งจวนตงผิงปั๋วอับอายขายหน้ามามากแล้ว หากเรื่องที่พวกเขาเดินทางไปพบถูกเผยแพร่ออกไปเขาก็จะสร้างความลำบากใจให้แก่จวนตงผิงปั๋วอีก ดังนั้นเจินซื่อเฉิงจึงตั้งใจจะกระทำการอย่างเงียบๆ
แน่นอนว่าที่เขากล่าวออกไปว่าจะนัดแนะคุณชายรองเจียงออกมา เป็นเพียงเรื่องที่หยอกล้อกับบุตรชาย
“ท่านพ่อขอรับ ลูกคิดว่าเดินทางไปที่จวนน่าจะเหมาะสมและดูจริงใจกว่า” เจินเหิงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสเดินทางไปที่จวนของนางอีก และในครั้งนี้เขาจะเดินทางไปด้วยท่าทางอันภูมิอกภูมิใจ
เจินเหิงไม่กลัวว่าใครจะจำได้ว่าเขาคือคนรับใช้ที่เจินซื่อเฉิงพาไปที่จวนปั๋วด้วยในครั้งนั้น
ในตอนนั้นเขาแต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้แล้วเดินตามหลังบิดาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คงไม่มีใครจำเขาได้แน่ มีเพียงคนเดียวที่จำได้ว่าเขาเป็นใครนั่นก็คือ คุณหนูสี่แห่งจวนเจียง
เจินเหิงกลัวว่าเจียงซื่อจะจำได้ว่าเขาเป็นใครหรือ แน่นอนว่าเขาไม่กลัว เขารู้สึกว่าตนเองหน้าตาไม่เลว บัดนี้ชื่อเสียงก็ไม่เลวเช่นกัน คงเป็นการง่ายที่จะสร้างความประทับใจเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวใช่หรือไม่… แต่เมื่อเจินเหิงนึกถึงหญิงสาวผู้งดงามไร้ที่ตินางนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา
เมื่อเจินซื่อเฉิงเห็นท่าทางของบุตรชายเปลี่ยนไปเป็นยากจะคาดเดาเช่นนั้น เขาจึงได้ใช้พัดเคาะไปที่กะโหลกศีรษะของบุตรชายแล้วกล่าวว่า “เจ้าเด็กโง่นี่!”
ในเมื่อบุตรชายยังไม่ถอดใจ ในฐานะบิดาก็ควรจะช่วยเขาสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรตนก็เป็นคนขุดหลุมพรางนี้ขึ้นมาเอง
เจินเฉิงอายจนหน้าแดงเรื่อ แต่เขาก็พยายามสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “จะไปเมื่อใด ท่านพ่อบอกลูกได้เสมอ”
“งานเลี้ยงฉลองของเจ้าและผู้ร่วมชั้นเรียนมีมากมายมิใช่หรือ”
“ทุกงานล้วนเลื่อนวันออกไปก่อนได้” เมื่อเจินเหิงกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกขายหน้าจนทนไม่ไหว ก่อนจะหาข้ออ้างรีบเดินจากไป
เมื่อเห็นร่างของบุตรชายที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เจินซื่อเฉิงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
เอาเถอะ เขาจะลองช่วยบุตรชายดูอีกสักครั้งก็แล้วกัน
ชายหนุ่มแม้จะพบกับความผิดหวังสักสองสามครั้งคงไม่เป็นไร ผิดหวังไปผิดหวังมาบางทีอาจจะชิน ไม่ใช่สิ บางทีอาจจะสำเร็จก็ได้ใครจะไปรู้
เจินฮูหยินเมื่อได้ยินว่าเจินซื่อเฉิงจะพาบุตรชายไปยังจวนตงผิงปั๋ว นางครุ่นคิดแล้วก็เข้าใจถึงความปรารถนาของทั้งสอง จึงได้เอื้อมมือไปหยิกใบหูของเจินซื่อเฉิง ตะโกนออกมาด้วยความโมโหว่า “เจ้านี่ ทำร้ายบุตรชายมาครั้งหนึ่งแล้วยังไม่พอหรือ ยังจะทำร้ายเขาอีกเป็นครั้งที่สอง? เจินซื่อเฉิง เจ้าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ แม่นางผู้นั้นหลอกให้เจ้าดื่มยาเสน่ห์หรือ”
หากไม่ใช่เพราะว่าทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ยังแก้ผ้าเล่นกันอยู่ละก็ นางคงจะสงสัยว่าชายชราผู้นี้ต้องการจะแต่งภรรยาเข้ามาเสียเอง
“เจ้าปล่อยข้าก่อนสิ อย่างน้อยก็รอให้บ่าวรับใช้ออกไปเสียก่อน!” สีหน้าของเจินซื่อเฉิงแดงเรื่อ
เจินฮูหยินจึงได้เห็นว่ามีบ่าวรับใช้อีกสองคนยืนอยู่ในห้อง นางรีบปล่อยมือออกแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้ายังไม่รีบออกไปอีก ไม่เห็นหรืออย่างไร!”
บ่าวรับใช้ทั้งสองนางได้แต่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องจึงเหลือเพียงสองสามีภรรยา เจินฮูหยินนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “เจินซื่อเฉิง ข้าขอบอกกับเจ้าเอาไว้ก่อนว่าหากเจ้าทำร้ายบุตรชายข้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”
รสชาติของความรู้สึกในเยาว์วัย นางเองก็เคยผ่านมันมาก่อน หากทั้งสองคนมีใจตรงกันก็ไม่เท่าไร แต่หากใครคนใดคนหนึ่งรักอยู่ฝ่ายเดียวก็คงจะปวดใจยิ่งนัก เมื่อนางรู้สึกว่าบุตรชายของตนช่างมีความสามารถเหลือหลาย แต่กลับต้องมาพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงทำให้เห็นใจและปวดใจยิ่งนัก
“เหิงเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กที่จะหนีปัญหาง่ายๆ เมื่อเขาเลือกพุ่งชนกำแพง คงทำได้เพียงปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไว้ในอนาคตค่อยหาสตรีที่เพียบพร้อมให้แก่เขา เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป แต่เจ้ากลับไปกระตุ้นความต้องการของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ไม่ใช่เป็นการทำร้ายเขาหรอกหรือ” เจินฮูหยินยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห บัดนี้นางอยากจะไปหยิบไม้แขวนเสื้อมาตีเจินซื่อเฉิงและสั่งให้เขาคุกเข่าลงเหลือเกิน
ทันใดนั้นเอง ก็มีน้ำเสียงของชายหนุ่มดังกังวานขึ้นด้านนอกว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ให้ลูกเข้าไปได้หรือไม่”
สองสามีภรรยามองหน้ากัน เจินฮูหยินจัดการกับอารมณ์ของตนแล้วกล่าวว่า “เข้ามา”
เสียงเปิดประตูดังอี๊ดอ๊าด จากนั้นเจินเหิงก็เดินเข้ามาด้านใน
“เหิงเอ๋อร์ มีเรื่องอันใดหรือ” เมื่อเจินเหิงปิดประตูลงเรียบร้อย เจินฮูหยินก็เอ่ยถามขึ้น
เจินเหิงโต้ตอบกับเจินฮูหยินว่า “ท่านแม่ เมื่อครู่ที่ท่านมีปากเสียงกันกับท่านพ่อ ลูกอยู่ด้านนอกบังเอิญได้ยินเข้า”
หนวดเคราของเจินซื่อเฉิงกระตุกเล็กน้อย
บังเอิญได้ยิน? สมกับที่เป็นเจี่ยหยวนจริงๆ ใช้คำได้มีระดับเหมือนเขาในตอนนั้นเหลือเกิน
เจินฮูหยินมองไปทางบุตรชาย ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
“ท่านแม่ อย่าได้โทษท่านพ่อเลย คือลูก…เป็นลูกเองที่อยากจะเดินทางไปจวนปั๋วอีกครั้ง… ” เมื่อกล่าวประโยคสุดท้ายออกมา ใบหูของชายหนุ่มก็แดงเรื่อ การที่เขาเผยความในใจออกมาต่อหน้าบิดามารดาเช่นนี้ หากไม่เคอะเขินคงเป็นไปไม่ได้ แต่เพื่อโอกาสหนึ่งในล้านเช่นนี้ เพียงเรื่องเล็กน้อยจะไปอายอะไร
“เหิงเอ๋อร์!”
“ท่านแม่ขอรับฟังลูกพูดก่อน” เจินเหิงเงยหน้าขึ้นจ้องตากับเจินฮูหยินอย่างไม่เกรงกลัว “ท่านแม่คิดแทนลูก ลูกรู้และเข้าใจทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า… หากยอมแพ้ง่ายๆ คงจะเต็มไปด้วยความเสียดายภายหลัง ท่านแม่ขอรับ ลูกไม่อยากรู้สึกเสียใจเช่นนั้น”
เขาจะต้องลองดูอีกสักครั้ง ลองด้วยตัวตนของเขาที่แท้จริง
อย่างน้อยก็ควรให้นางได้รับรู้ว่าตนเป็นใคร อย่างน้อยเขาก็อยากจะให้แม่นางที่ทำให้ตนใจเต้นโครมครามได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วตัวตนของเขาหน้าตาเป็นอย่างไร
ต่อให้เขาและนางถูกกำหนดไว้ว่าทำได้เพียงคนที่เดินเฉียดไหล่แล้วผ่านไป แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่เคยแม้แต่จะเดินเฉียดไหล่กัน
เจินเหิงไม่เคยรู้สึกเสียดายที่พบหญิงสาวแปลกหน้าในป่าอันเงียบสงบโดยบังเอิญในวันนั้น ถึงแม้ว่าต่อจากนั้นเขาจะต้องพบกับความเจ็บปวดตลอดมาก็ตาม
“เหมยเหนียง การที่ชายหนุ่มรู้จักเข้มแข็งและอดทนเป็นเรื่องดี เจ้ายังจำเรื่องของพวกเราในครานั้นได้หรือไม่”
สีหน้าของเจินฮูหยินเปลี่ยนไป ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ…