บทที่ 259 ไวน์อมฤต

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 259 : ไวน์อมฤต

จี้จือซู่มองไปรอบ ๆ

ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเหนือธรรมชาติชิ้นใด ๆ บนชั้นวางต่างก็ถูกผนึกในรูปแบบที่ต่างกันออกไป และแต่ละชิ้นก็สามารถสร้างเรื่องราววุ่นวายในหมู่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ง่าย ๆ ทั้งนั้น…ต่างกันเพียงมากน้อยแค่ไหน

เพราะถึงอย่างไร มูลค่าของสิ่งที่ถูกกู้ขึ้นมาจากเมืองเขตล่างนี้ไม่ได้มีเพียงแค่จากการใช้งานของพวกมัน

สิ่งเหล่านี้…คือสิ่งที่หลงเหลือจากสมัยโบราณ เป็น ‘ฟอสซิล’ ของอารยธรรมที่มีมานับพัน ๆ ปี!

จี้จือซู่ไม่เคยเห็นของส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่มาก่อนเลย นี่ก็หมายความได้ด้วยว่าวิธีการสรรสร้างและฝีมือช่างของของเหล่านี้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว

บางที ของแต่ละชิ้นที่นี่อาจจะเป็นชิ้นสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่แล้วก็ได้

การเหลือเพียงชิ้นเดียวหมายความว่าวัตถุเช่นนี้จะเป็นไพ่ตายได้หากใช้เป็นอาวุธหรืออุปกรณ์ร่ายมนตร์ในการต่อสู้ เพราะจะไม่มีใครรู้ความสามารถของพวกมันเลย

ยิ่งกว่านั้น จี้จือซู่ยังสัมผัสได้ด้วยว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นวัตถุอันตราย ไม่ว่าชิ้นใดต่างก็ง่ายที่จะถูกคัดให้เป็นสินค้าชิ้นสุดท้ายประจำงานประมูลของหอการค้าแอชได้ทั้งนั้น

การรวมกันของความเป็นเอกลักษณ์และอำนาจสามารถทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนคลั่งไคล้มันได้

และสำหรับพวกนักวิชาการในสมาคมแห่งสัจธรรมพวกนั้น มูลค่าของของเหล่านี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

มูลค่าทางประวัติศาสตร์ของโบราณวัตถุจากใต้ดินเหล่านี้เกินกว่าจะจินตนาการได้ พวกมันมาจากเมื่อหลายสหัสวรรษก่อน วัตถุโบราณเหล่านี้คือตัวแทนที่ดีที่สุดของความเป็นอยู่ในสมัยนั้น…

พูดอีกอย่างก็คือ ของพวกนี้จัดอยู่ในหมวด ‘ข้อมูลเกี่ยวกับยุคก่อน ๆ โดยเฉพาะยุคที่สอง’ ที่คุณหลินให้ความสนใจมาก จากที่ระบุไว้ในรายงานข่าวกรอง

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเหล่าผู้นำรุ่นก่อน ๆ ของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ที่สรรหาของเหล่านี้มารองรังพวกเขาเอาไว้ จี้จือซู่อดคิดเช่นนี้ไม่ได้ในขณะที่เธอศึกษาวัตถุเหนือธรรมชาติเหล่านี้อย่างตั้งใจ

ของสะสมที่มากขนาดนี้ต้องเริ่มเก็บกันมาตั้งแต่สมัยผู้ก่อตั้งอย่างแน่นอน แล้วพวกเขาก็ค่อย ๆ เติมแต่งมันขึ้นมาจนยิ่งใหญ่ชวนกรามค้างเช่นนี้…

จิ้จือซู่รู้ว่าในอดีตมีความขัดแย้งมากมายที่เกิดขึ้นในระหว่างทายาทผู้สืบทอด ที่จริงแล้วมีบางคนทำแม้กระทั่งฆ่าผู้นำรุ่นก่อนตัวเองเพื่อแย่งตำแหน่งมาก็มี

ทว่าราวกับปาฏิหาริย์ คนเหล่านี้กลับตัดสินใจทำตามประเพณีกันโดยพร้อมเพรียงเมื่อมาค้นพบคลังวัตถุโบราณนี้ แล้วส่งมอบมันต่อลงไปจากรุ่นสู่รุ่น

บางทีผู้นำแต่ละรุ่นของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์อาจจะผ่านช่วงที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแค่ตัวเบี้ยสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากันหมดแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนักสักแค่ไหน พวกเขาก็ยังได้แต่ถูกคนอื่นดูแคลน

ดังนั้น เมื่อบุคคลแรกได้รับแหวนแห่งผู้สันโดดมา ความทะเยอทะยานนี้ก็จะถูกจุดขึ้น และความคิดอย่างใจกล้าก็ลอยขึ้นมาในใจเขา

แล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะดิ้นรนอย่างลับ ๆ ที่จะลักลอบขนวัตถุเหนือธรรมชาติที่ถูกขุดพบมาได้โดยใช้การอำพรางร่องรอยของแหวนแห่งผู้สันโดด จากนั้นก็ซ่อนมันไว้ในห้องลับ

ด้วยการคัดเลือกวัตถุเหนือธรรมชาติที่เหมาะสมอย่างระมัดระวังและการใช้ข่ายมนตร์ที่ไม่ต่อเนื่องกัน ห้องลับนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นแบบทุกวันนี้

นับวัน สิ่งของต่าง ๆ ก็จะถูกสรรหามาจัดเก็บไว้ในห้องลับนี่อย่างระมัดระวังมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เนื่องจากสายตาที่จับจ้องอยู่ของเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขาเลยไม่เคยมีโอกาสได้ทำตามความทะเยอทะยานนี้สักที

ดังนั้น ความทะเยอทะยานของปุถุชนนี้จึงทำได้เพียงส่งต่อสู่รุ่นถัดไป…

และด้วยลักษณะนี้ ของในห้องลับจึงเริ่มสะสมขึ้นไปตามรุ่นต่าง ๆ ราวกับกำลังใช้เวลารอคอย…จนตอนนี้

จี้จือซู่ทอดสายตามองพ่อของเธอ ดวงตาของชายวัยกลางคนนั้นเปี่ยมด้วยแสงแห่งความหวัง หรือบางทีอาจจะเป็นความบ้าคลั่งก็ได้ แล้วใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยของเขาก็ดูราวกับหนุ่มขึ้นหลายปี

ห้อง ๆ นี้ไม่ได้มีเพียงวัตถุโบราณจากสมัยโบราณเท่านั้น มันยังบรรจุเจตจำนงจากรุ่นสู่รุ่นของประธานรุ่นก่อน ๆ ของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ด้วย

โอกาสที่พวกเขารอมาแสนนาน ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!

จี้ป๋อหนงเดินนำทาง แล้วสรุปโดยย่อถึงวัตถุโบราณทุกชิ้นให้จี้จือซู่ฟัง แม้ว่าประธานบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ทุกคนจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาก็ตาม แต่การที่พวกเขาติดต่อกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่บ่อย ๆ หมายความว่าความรู้และการตัดสินของพวกเขาเหนือชั้นกว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติโดยทั่วไปอยู่มาก

ไม่ต้องบอกก็รู้ ด้วยของสะสมที่พอกพูนมาจากรุ่นสู่รุ่นนี้ รุ่นหลัง ๆ ก็ย่อมต้องสานต่อปัญหาที่รุ่นก่อนเผชิญมา และสุดท้ายเวลาก็จะแก้เรื่องส่วนใหญ่ลงได้

แต่ก็ยังมีปัญหาบางอย่างที่แก้ยังไงก็ไม่ได้เสียทีอยู่เหมือนกัน

เมื่อมาถึงใจกลางห้องลับ คู่พ่อลูกก็พบเข้ากับของสามอย่าง และยังเป็นสามสิ่งที่ทำให้จี้จือซู่รู้สึกกดดันด้วย

“ของสามอย่างนี้คือของที่มีค่าที่สุดในทั้งห้องลับ”

จี้ป๋อหนงชี้แอปเปิลทองคำบนชั้นวางของ แล้วเขาก็เริ่มอธิบาย “เราเรียกมันว่า ‘ผลไม้แห่งความขัดแย้ง’ ทันทีที่เปิดผนึกมัน ใครก็ตามที่เห็นมันจะมีความรู้สึกอยากได้ อยากครอบครองมัน พี่น้องจะสู้กัน ผัวเมียจะทะเลาะกันจนกว่าฝ่ายใดจะตายลง”

“ถึงมันจะดูกินได้…แต่ไม่มีใครเคยกล้าลองชิมมันมาก่อน จนวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าผลจากการกินมันเข้าไปจะเป็นยังไง”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อ “เราเสียคนของเราไปมากในสมัยที่เราได้มันมาครั้งแรก มากกว่าวัตถุใด ๆ ที่นี่ หลังจากนั้นสัตว์มายาระดับภัยพิบัติตนหนึ่งก็ถูกอัญเชิญมาเพื่อเป็นฉากบังหน้า แล้วก็ต้องสังเวยไปอีกหลายต่อหลายชีวิต”

จี้จือซู่ขนลุกซู่จนผิวของเธอตะปุ่มตะป่ำเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แม้จี้ป๋อหนงจะอธิบายแค่คร่าว ๆ แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าใครก็ตามที่เห็นแอปเปิลทองคำผลนี้ในครั้งนั้นต่างพบจุดจบกันหมดแล้ว เลือดมากมายถูกสาดกระเซ็นเพียงเพื่อจะปกปิดการมีอยู่ของมัน

ดูเหมือนว่าวัตถุเหนือธรรมชาติทุกชิ้นที่นี่ต่างเปื้อนเลือดมาแล้วทั้งนั้น

จี้ป๋อหนงเลื่อนไปชี้ที่แท่งปริซึมทับทิมแดงที่วางอยู่บนสุดของชั้นวางของสั่งทำทรงตัว Y ทับทิมก้อนนี้มีขนาดประมาณฝ่ามือและกำลังหมุนช้า ๆ ในขณะที่ตัวมันลอยในอากาศ ด้านในของมันดูกลวงและมีของเหลวสีแดงข้นที่ระบุไม่ได้เหลืออยู่ในนั้นแค่เพียงหนึ่งในสาม

จี้ป๋อหนงเหลือบมองต่างหูปริซึมที่หูลูกสาวของเขาแล้วพูดต่อ “นี่คือ ‘ไวน์อมฤต’ และมาด้วยกันกับ ‘จอก’ หรือก็คือต่างหูที่พ่อให้ลูกไว้ในวันที่ลูกตัดสินใจมาเป็นนักล่านั่นแหละ”

จี้จือซู่เผลอถูเครื่องประดับเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็งที่หูของเธอโดยไม่รู้ตัว

จี้ป๋อหนงทอดสายตามองลูกสาวของเขาอย่างเมตตาแล้วพูดต่อ “‘ไวน์อมฤต’ นี้ไม่ได้ทำให้คนเป็นอมตะ แต่หากผู้ถือ ‘จอก’ ตายลง เขาจะคืนชีพขึ้นมาในบริเวณใกล้ ๆ กับ ‘ไวน์อมฤต’ และเมื่อเกิดการคืนชีพขึ้น ของเหลวด้านในจะหายไป 1 ใน 3 ส่วน ก่อนหน้านี้มันเคยถูกใช้ไปแล้วสองครั้ง ซึ่งก็หมายความว่า…”

“มีโอกาสคืนชีพเหลืออยู่แค่ครั้งเดียว…ค่ะพ่อ” จี้จือซู่พึมพำอย่างว่าง่าย

“ฮ่า ๆ ทุกอย่างที่นี่ต่างใช้เป็นเครื่องเดิมพันได้ทั้งนั้น ยกเว้น ‘ไวน์อมฤต’ นี่” จี้ป๋อหนงหัวเราะเบา ๆ พลางตบไหล่ลูกสาวของเขา ก่อนที่จะหันไปชี้สิ่งของชิ้นสุดท้าย

นี่คือของที่ดูธรรมดาที่สุดในห้องนี้แล้ว แต่มันกลับถูกวางไว้ในจุดที่สำคัญที่สุด

ดวงตาของจี้จือซู่ทอดลงมองสิ่งที่ดูเหมือนเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของแผ่นศิลาจารึก มีอักษรรูนโบราณสลักไว้บนนั้น ดูราวกับเป็นเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้

“นี่คือชิ้นส่วนของ ‘แผ่นจารึกแห่งกองเพลิง’ แต่เรายังไม่มีวิธีใช้ที่จับต้องมันได้ แต่ว่า…จากเบาะแสบางอย่างทำให้เราคาดไว้ว่าเศษศิลาจารึกนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับไลฟ์ แม่มดบรรพกาลที่ควบคุมเพลิง”