บทที่ 260 ภารกิจลุล่วง

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 260 : ภารกิจลุล่วง

เหล่าแม่มดบรรพกาล ตามตำนานกล่าวไว้ว่าพวกเธอคือตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเกิดจากความยุ่งเหยิง และเป็นผู้ควบคุมกฏที่ปกครองโลกใบนี้

ซิลเวอร์ผู้ควบคุมเหมันต์ วัลเพอร์กิสผู้ควบคุมรัตติกาล ไลฟ์ผู้ควบคุมชีวิต และฟราซินัสผู้ควบคุมพฤกษา

จะว่าไปแล้ว มันก็เป็นความรู้ทั่วไปที่สี่แม่มดบรรพกาลนั้นควบคุมมากไปกว่าสิ่งที่เจาะจงดังกล่าวทั้งสี่นี้ และหากเป็นเช่นนั้น คำว่า ’บรรพกาล’ ก็คงไม่ได้เหมาะสมเสียทีเดียว

นักวิชาการจากรุ่นต่าง ๆ ต่างออกสรรหาคำอธิบายที่เหมาะสมหลังจากศึกษาตำนานเหล่านี้มาเป็นพัน ๆ ปี

เหมันต์กาลแทนสี่ฤดู คือ กาลเวลา

รัตติกาลแทนท้องนภา คือ สรวงสวรรค์

เปลวเพลิงแทนการทำลายและการเกิดใหม่ คือ โชคชะตา

พฤกษาแทนเส้นทางและการเชื่อมโยง คือ มิติ

มีแต่ต้องกล่าวเช่นนี้เท่านั้นที่จะพูดได้ว่าสี่แม่มดบรรพกาลควบคุมทุกอย่างบนโลกจริง ๆ

หากมีการจัดการสอบเข้ามาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติล่ะก็ นี่คงจะเป็นคำถามที่ต้องมีในหัวข้อความรู้ทั่วไปในฐานะข้อสอบแจกแต้มแน่นอน

ความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับแม่มดบรรพกาลที่จี้จือซู่มีไหลผ่านในใจเธอ ในขณะที่จับจ้องไปที่แผ่นศิลาที่ดูไม่มีอะไรสลักสำคัญบนแผ่นนั้น

หลังจากความมืดมิดของแดนนิมิตเข้ากลืนกินอาซีร์ แม่มดบรรพกาลก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้แม้ว่าพวกเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน

ทั้งหมดที่พวกเธอทำได้ก็คือสร้างกำแพงหมอกเพื่อป้องกันไม่ให้การบุกรุกจากแดนนิมิตเกิดขึ้นต่อไป แต่จากนั้นมาพวกเธอก็ต้องอยู่ในสภาวะจำศีลในแดนนิมิตและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จี้จือซู่รู้ว่าตระกูลเก่า ๆ บางตระกูลก็ยังคงซื่อตรงต่อพันธสัญญาของตนเองอยู่

ยกตัวอย่างเช่น มหาปราชญ์เอลฟ์ที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยจี้จือซู่ไว้และไปยังร้านหนังสือตามคำแนะนำของเธอก็มาจากตระกูลไอริสซึ่งเป็นผู้ติดตามผู้ภักดีของซิลเวอร์

และตระกูลซานดร้า ตระกูลผู้เชี่ยวชาญโอสถอาถรรพ์ที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุไปก็เป็นผู้ติดตามของวัลเพอร์กิส

แม่มดบรรพกาลทั้งสองนี้คือผู้ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุด พวกเธอทำพันธสัญญากับตระกูลต่าง ๆ มากมายและสร้างผู้ได้รับการเจิมขึ้นมากกว่านั้นอีก ทว่ารายแรกนั้นรับเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่มีอายุขัยยืนยาวเท่านั้น ในขณะที่ผู้ที่รายหลังเจิมนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นมนุษย์

เทียบกันแล้ว แม่มดอีกสองตนที่เหลือนั้นลึกลับกว่ามาก

จากตำนานแล้ว ฟราซินัสคือผู้สร้างหลักของกำแพงหมอก

แม้ว่าความจริงจะพร่ามัวไปแล้วในตอนนี้ แต่ด้านในของกำแพงหมอกสีเทาจากปากคำของบุคคลสุดท้ายที่ได้เข้าไปในนั้นกล่าวไว้ว่ามีแต่กิ่งก้านสาขาขนาดยักษ์ของต้นไม้เต็มไปหมด

ดังนั้นจึงมีอีกตำนานหนึ่งที่อ้างว่า แทนที่เธอจะจำศีลไปในแดนนิมิต ฟราซินัสกลับแปลงกายเป็นกำแพงหมอกเสียเอง

พวกสาวกของโบสถ์แห่งโรคระบาดพวกนั้นจึงถือได้ว่าเป็นสาวกของฟราซินัส

ทว่าโบสถ์แห่งโรคระบาดนั้นนำทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหล่าแม่มดออกไปจากศาสนาของพวกเขาและปฏิเสธแง่คิดนี้ไปแล้ว และยังโยนทุกคนที่เห็นต่างเข้าไปในกำแพงหมอกด้วย

ส่วนไลฟ์ สิ่งที่หลงเหลือของเธอมีเพียงคำพูดต่าง ๆ…

จี้ป๋อหนงหยิบเศษแผ่นศิลาขึ้นมาแล้วบรรยายว่า “ว่ากันว่าท่านหญิงไลฟ์เคยตั้ง ‘แผ่นจารึกแห่งกองเพลิง’ นับไม่ถ้วนเอาไว้ที่ขอบความมืดที่ได้รับผลจากแดนนิมิตเพื่อเป็นเกียรติต่อเหล่านักรบที่ต่อสู้จนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย แผ่นศิลาเหล่านี้คือกองเพลิงที่ส่องสว่างให้แสงแก่ความมืดและไล่พวกสัตว์มายาออกไปได้ชั่วคราว ทำให้เหล่านักรบได้มีเวลาพักหายใจ”

“ทว่าสุดท้ายแล้วกองเพลิงก็ดับลง แล้วแผ่นศิลาเหล่านี้ก็พังทลายลงหลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากอำนาจมหาศาลของแดนนิมิต มันก็กลายไปเป็นก้อนหินไร้ค่ากองหนึ่ง”

“เหมือนอันนี้แหละ” จี้ป๋อหนงว่าพลางยกเสี้ยวแผ่นศิลาขึ้น

หลังจากพินิจพิเคราะห์เศษแผ่นศิลาอย่างระมัดระวัง จี้จือซู่ก็ถามขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น เศษศิลานี้ก็สามารถต่อต้านสัตว์มายาได้เหรอคะ?”

“พ่อก็ไม่รู้”

จี้ป๋อหนงตอบออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด

เขาส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “มีการคาดเดาอยู่บ้างนะ ทั้งหมดมาจากข้อสันนิษฐานของประธานคนก่อน ๆ ของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ที่มีต่ออักขระที่จารึกบนเศษแผ่นศิลานี้ พวกเขาแอบศึกษามันอย่างลับ ๆ…พ่อเองก็ได้ยินมันมาจากรุ่นก่อน แต่ก็คิดว่าพวกเขาคงไม่กล้าทดสอบข้อสันนิษฐานของพวกเขากับมันตรง ๆ หรอก”

“แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง งั้นคุณหลินคนนี้คงจะชอบมันเข้าอย่างจังแน่ ๆ”

จี้ป๋อหนงวางเศษศิลาจารึกลงบนมือลูกสาวของเขาพลางถอนหายใจ “พ่อจะแกล้งป่วยพรุ่งนี้แล้วไปร้านหนังสือกับลูกเพื่อชิงสิทธิ์กระจายหนังสือของร้านหนังสือ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นนะ”

“ค่ะ” จี้จือซู่พยักหน้า

ในใจแอนดรูว์ยังนึกถึงเรื่องข้อตกลงที่เขากับฮู้ดทำร่วมกันในขณะที่เขายืนอยู่หน้าร้านหนังสือ

ในอีกไม่ช้า พวกผู้แสวงหาปัญญาจะกลายมาเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นใหม่ของเขา และเพื่อเป็นการตอบแทน แอนดรูว์ก็จะใช้ชื่อเสียงของตัวเองเพื่อหนุนหลังพวกเขา แล้วสุดท้ายก็สร้างกลุ่มเสนาธิการขึ้นมาโดยเลือกจากคนในที่มีแวว

ด้วยเป้าหมายเดียวกัน เจตนารมณ์ที่ไปในทิศเดียวกัน และการทำงานที่มุ่งไปในทิศที่ถูกต้อง ทั้งฮู้ดและแอนดรูว์จึงส่งเสริมกันและเข้ากันได้ดีอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย

กลุ่มที่ถึกทนและเป็นปึกแผ่นที่สุดในสมาคมแห่งสัจธรรมจึงแอบ ๆ ถือกำเนิดขึ้นในห้องทำงานที่เจโรมพบจุดจบนั่นเอง

พวกเขาตัดสินใจจะคิดแผนคร่าว ๆ กันขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย แล้วอวนลากปากหนึ่งก็กำลังจะถูกปล่อยลงไปในสมาคมแห่งสัจธรรม

ก้าวแรกคือการเดินตามรอยโดยใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ความตายของเจโรมยังไม่เป็นที่รู้ในวงกว้างเพื่อกำจัดไส้ศึกที่ยังเหลืออยู่

ก้าวที่สองคือการขยายกลุ่มผู้แสวงหาปัญญาออกไปอย่างรวดเร็วแล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฝ่ายที่ใหญ่ที่สุดในสมาคมแห่งสัจธรรมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจากนั้นก็ควบคุมทั้งองค์กร

และจุดประสงค์สุดท้ายก็คือเลือกแอนดรูว์ขึ้นเป็นประธานสมาคมแห่งสัจธรรม หรือเปลี่ยนให้มาเรียมาเป็นหัวโขนของกลุ่มผู้แสวงหาปัญญาให้ได้

ในเมื่อเขาเคยประสบมาแล้วว่ากว่าจะไต่มาถึงตำแหน่งสูง ๆ ในสมาคมแห่งสัจธรรมมาได้นั้นลำบากเพียงใด แอนดรูว์ย่อมรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ในเมื่อมันเป็นเจตจำนงของคุณหลิน เขาก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ในขณะเดียวกัน ฮู้ดก็รู้ตำแหน่งของตัวเองดี เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ เขาไม่มีเจตนาจะมาแข่งแย่งตำแหน่งประธานกับแอนดรูว์เลย และเขาก็พอใจกับการเป็นผู้ช่วยอยู่แล้ว

แอนดรูว์รู้สึกว่าเจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนนี้ได้แปลงร่างไปแล้วโดยสมบูรณ์

นี่ต้องเป็นผลมาจากความพยายามของคุณหลินแน่นอน

กาลครั้งหนึ่ง ฮู้ดเคยเป็นไอ้หนุ่มวัยต่อต้านที่พึ่งแต่บารมีของมาเรียในการเถลิงอำนาจในกลุ่มผู้แสวงหาความจริง และนั่นทำให้เขามีลูกน้องพร้อมเป็นแขนเป็นขาให้ตัวเขาเองมากมาย

มีแต่คุณหลินเท่านั้นที่สามารถทำให้เขากลับใจและเกิดเป็นคนใหม่ได้ ราวกับได้เปลี่ยนร่างไปเป็นคนอื่นโดยสิ้นเชิงจากเจ้าโง่ไปเป็นคนฉลาด ถ่อมตัวและทรงพลัง

ปัญญาของคุณหลินสามารถชำระคราบตะกอนในวิญญาณของเราได้ และชำระล้างมันด้วยคุณธรรม

การที่ฮู้ดเปลี่ยนชื่อผู้แสวงหาความจริงไปเป็นผู้แสวงหาปัญญาจึงไม่อาจเหมาะสมไปกว่านี้ได้อีกแล้ว!

แอนดรูว์ตอกย้ำความทึ่งและอารมณ์ที่อยู่ลึก ๆ ในใจเขาอีกครั้งในขณะที่รัศมีแสงสีขาวในดวงตาของชายรูปงามก็ดูจะยิ่งแรงกล้าขึ้น จากหน้าต่าง เขาเหมือนจะมองเห็นหนังสือที่เรียงกันแถวแล้วแถวเล่าได้ลาง ๆ แล้วมือที่กำศิลานักปราชญ์ไว้แน่นก็ยิ่งกำแน่นขึ้นอีก

แม้ว่าสายลมที่โหมกระหน่ำในฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามา แม้บรรยากาศเย็นเฉียบจะส่งกลิ่นเหมือนน้ำแข็งแล้วก็ตาม หัวใจของแอนดรูว์ยังคงเต้นด้วยอารมณ์อันเร่าร้อน

หากเราไม่สามารถกระจายปัญญานี้สู่ทุกมุมของอาซีร์ได้ มันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมีสมาคมแห่งสัจธรรมเลย!

แอนดรูว์โอบกอดความคิดนี้ไว้ในขณะที่เขาก้าวเข้าไปในร้านหนังสือ แล้ววางศิลานักปราชญ์ลงไปบนเคาน์เตอร์

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “ภารกิจลุล่วง ผมพาเจโรมมาแล้วครับ”