ตอนที่ 311 แต่งตั้งองค์รัชทายาท

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 311 แต่งตั้งองค์รัชทายาท

เวลาส่วนใหญ่ แนวทางการพัฒนาของเรื่องมักเกินความคาดหมายของทุกคน รวดเร็วทำให้คนตั้งตัวไม่ทัน

รอจนตั้งสติกลับมาได้ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ราวกับสายไปแล้ว!

การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเพิ่งจบลง ราชวงศ์อูเหิงแห่งซีอวี้นำทัพลงใต้ร่วมกับชนเผ่ามากมายบนที่ราบอย่างกะทันหัน

กองทัพม้าอันแข็งแกร่ง กำลังพลจำนวนมากบุกรุกเข้าจากด่านชายแดนต้าเว่ยที่มีการเฝ้าระวังอ่อนแอที่สุด

การบุกรุกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงและตั้งตัวไม่ทัน

ไม่มีผู้ใดได้ยินข่าวตั้งแต่แรก

ราชวงศ์อูเหิงห่างไกลจากต้าเว่ยหลายพันลี้ เหตุใดไม่เล่นดินโคลนอยู่ที่ซีอวี้ กลับวิ่งมาก่ออาชญากรรมที่ต้าเว่ย

เวลาหนึ่ง ทุกคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดบอกเหตุผลได้

อีกทั้ง ความร้ายกาจของกองทัพราชวงศ์อูเหิงนั้น ราชวงศ์ซีหยงเมื่อตอนต้นปีไม่อาจเทียบได้อย่างสิ้นเชิง

เพียงแค่จำนวนคนก็ชนะราชวงศ์ซีหยงอย่างขาดลอยแล้ว

กองทัพบุกรุกลงใต้ มุ่งตรงมายังเมืองหลวงของต้าเว่ย

เมืองหลวงวิกฤต!

กองทัพเหนือเคลื่อนไหว!

ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการให้บรรดากองทัพทั้งหลายจับกุมคนในราชวงศ์

ความหมายก็คือปล่อยอันตรายจากโจรกบฏไปก่อน

ราชวงศ์อูเหิงคืออันตรายที่แท้จริง

โจรกบฏที่ถูกปราบปรามจนไม่อาจต่อต้านได้แล้วได้รับโอกาสหายใจ ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง

คนส่วนใหญ่อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าชนเผ่าที่ราบร่วมมือกับโจรกบฏแล้วหรือ

เหตุใดทุกครั้งที่โจรกบฏใกล้จะพ่ายแพ้ลง ชนเผ่าที่ราบก็เริ่มลงใต้

ทั้งสองฝ่ายใจตรงกันเพียงนี้ หากบอกว่าพวกเขาไม่ได้มีการติดต่อลับหลัง ผีก็ยังไม่เชื่อ

แต่ความจริงก็คือทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการติดต่อกันจริง

มีเพียงโอกาสในการทำสงคราม

เมื่อเห็นโอกาส พวกเขาย่อมจะโจมตีจุดอ่อนของราชวงศ์ต้าเว่ยอย่างหนักหน่วง

โจรกบฏ “…”

ขอบใจ ‘พี่น้อง’ บนที่ราบ ให้พวกเขาได้พักหายใจ ฟื้นฟูพลังชีวิต

ราชสำนักทำได้เพียงโทษโชคชะตาที่ไม่เข้าข้าง!

คราวนี้ เซียวอี้นำกองทัพใต้กลับเมืองหลวงอย่างสมเหตุสมผล

กองทัพเหนือเคลื่อนไหว กองทัพใต้ยังไม่กลับมา เมืองหลวงเหลือเพียงทหารไม่กี่พันนาย การเฝ้าระวังอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด

ส่วนแม่ทัพประตูเมืองนั้นคงไม่อาจหวังพึ่งได้ตอนเกิดสงครามขึ้นจริง

พวกเขาเป็นเพียง ‘ผู้ดูแลเมือง’ ที่เฝ้าประตูใหญ่ จะคาดหวังให้พวกเขาทำสงครามได้หรือ

เกรงว่าคงจะถูกกำจัดตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ

ภายในราชวัง!

ภายในตำหนักซิงชิ่ง ฮ่องเต้หย่งไท่คลุมผ้าห่มขนจิ้งจอกแดง นอนอยู่บนเตียงหลัวฮั่น

ใบหน้าของเขาผอมซูบจนบุบลงไป

ทั้งตัวดูเหมือนจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเพียงชั้นเดียว

น่ากลัวอย่างมาก!

ดวงตาของเขาบางครั้งขุ่นมัว บางครั้งสดใส

เวลานี้ยังเป็นฤดูใบไม้ร่วง ภายในตำหนักก็ก่อความร้อนขึ้นใต้พื้น ทำให้คนร้อนจนเหงื่อตก

แต่ฮ่องเต้หย่งไท่ยังคงรู้สึกหนาว หนาวจนเขาตัวสั่น

เขามองรายงานสงครามตรงหน้า มือก็สั่นตาม

ราชวงศ์อูเหิงรวบรวมกองกำลังสองแสนกว่าบุกรุกลงใต้ แต่กองทัพเหนือกลับมีกองกำลังไม่ถึงสามหมื่นนาย จะชนะได้หรือ

ฮ่องเต้หย่งไท่กังวลอย่างมาก

เขากังวลว่ากองทัพเหนือจะพ่ายแพ้ กังวลว่ากองทัพเหนือจะเสียหาย เมืองหลวงจะสูญเสียหลักแหล่งที่แข็งแกร่งที่สุด กังวล…

เขาถามอย่างรีบร้อน “มีรายงานสงครามล่าสุดหรือไม่”

ซุนปังเหนียนส่ายหน้าเล็กน้อย “วันนี้ยังไม่ได้รับรายงานสงครามล่าสุดพ่ะย่ะค่ะ”

“ส่งคนไปดู หากไม่ได้จริงก็ส่งคนไปแนวหน้า”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ซุนปังเหนียนโน้มตัวถอยออกไปเพื่อจัดการเรื่องที่ได้รับสั่ง

องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้เฝ้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้หย่งไท่

“เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวลพระทัยเกินไป กองทัพเหนือไร้เทียมทาน ไม่มีสงครามใดที่ไม่ชนะ คราวนี้ก็ไม่ยกเว้น”

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่ายหน้า “อย่างไรก็ตามกำลังพลของกองทัพเหนือน้อยเกินไป”

กองกำลังไม่ถึงสามหมื่นเผชิญหน้ากับกองกำลังสองแสน จะชนะได้จริงหรือ

ฮ่องเต้หย่งไท่ก็ไม่กล้ารับรอง

“ให้องครักษ์จินอู่เพิ่มการเฝ้าระวัง ควบคุมทั้งเมืองอย่างเข้มงวด หากพบผู้ที่มีร่องรอยน่าสงสัย จับให้หมดโดยไม่สนว่าเป็นผู้ใด”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้โน้มตัวเล็กน้อย

ฮ่องเต้หย่งไท่มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดมน พายุกำลังมา

เขาพูด “กองทัพใต้ยังอยู่ระหว่างทาง การเฝ้าระวังในเมืองหลวงอ่อนแอ เวลานี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่าให้ผู้อื่นฉวยโอกาสได้”

“กระหม่อมจดจำคำสอนของเสด็จพ่อ”

“มีกองทัพใดสามารถมุ่งหน้าไปยังสนามรบแนวหน้าเพื่อร่วมมือกับกองทัพเหนือได้เร็วที่สุด”

องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ตะกุกตะกัก ไม่รู้ควรพูดอย่างไร

ฮ่องเต้หย่งไท่ขมวดคิ้ว “ไม่มีข่าวของกองทัพใดเลยหรือ”

เซียวเฉิงอี้รีบพูด “ข่าวที่ได้รับในเวลานี้ กองทัพเหลียงโจว กองทัพโยวโจว กองทัพอวี้โจว…ต่างกำลังมุ่งหน้าไปยังด่านซานเฟิง แต่จะเดินทางไปถึงเมื่อใด กระหม่อมก็ไม่อาจบอกเวลาได้แน่ชัด”

ฮ่องเต้หย่งไท่หน้าดำทะมึน “การเฝ้าระวังในพื้นที่เผชิญหน้ากับราชวงศ์อูเหิงคงไม่มีแม้แต่แรงต่อต้าน เวลานี้ทำได้เพียงคาดหวังให้แม่ทัพเหล่านี้สามารถเดินทางไปถึงสนามรบได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่…”

สถานการณ์ไม่ดีนัก!

เขารู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงกระแอมไอออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

เมื่อกระแอมไอออกมาก็หยุดลงไม่ได้

“หมอหลวง หมอหลวงรีบมา…”

องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ตกใจอย่างมาก

ฮ่องเต้หย่งไท่ล้มประชวรลงอีกครั้ง

ครั้งนี้ร้ายแรงกว่าครั้งใด เพราะเขาไม่อาจลุกขึ้นจากเตียงได้

เขารู้ตัวว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว จำเป็นต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

พระราชโองการฉบับแรกที่ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงออกเมื่ออยู่บนเตียงก็คือแต่งตั้งองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้เป็นองค์รัชทายาทของราชวงศ์ต้าเว่ยอย่างเป็นทางการ สืบทอดราชบัลลังก์หลังเขาตาย

บรรดาขุนนางต่างโห่ร้อง

ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยอย่างชาญฉลาดอย่างหาได้ยาก

องค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่ที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น แต่ก็หมดหนทาง

เขาจะทำอย่างไรได้ในเมื่อมีการกำหนดไว้แล้ว

ไม่!

มันอาจไม่เป็นผลสุดท้าย!

แต่…

ภายในใจของเซียวเฉิงเย่ทุกข์ทนอย่างมาก เหงื่อของเขาไหลพราก

เขามีความคิดที่บ้าระห่ำอย่างมาก หากสำเร็จ…หากล้มเหลว…

เขาตกใจกับความคิดของตนเองอย่างมาก

เขาไม่ทันสังเกตว่าชุดของตนเองนั้นเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ

พระราชโองการฉบับที่สองของฮ่องเต้รับสั่งให้หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่นำทหารปกป้องพระราชวังและเมืองหลวง

โดยมีองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้รับช่วงในการเฝ้าระวังประตูเมือง ขุนนางราชสำนักไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้หากไม่มีพระราชโองการ

บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากัน

หมายความว่าอย่างไร

เมืองหลวงมีอันตรายอย่างนั้นหรือ

กองทัพเหนือพ่ายแพ้สงครามหรือ?

หรือกังวลว่ามีคนเป็นสุนัขรับใช้ของต่างเผ่า หักหลังราชสำนัก

ทุกคนต่างกังวลใจ รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงออกพระราชโองการฉบับที่สาม มันเป็นพระราชโองการเปลี่ยนถ่ายขุนนาง

มีการปรับเปลี่ยนต่อฝ่ายทหาร ฝ่ายราชการ และสำนักหยาเหมินที่สำคัญ

คนตระกูลจ้งก็อยู่ในขอบเขตการปรับเปลี่ยน ขาดตำแหน่งสำคัญไปจำนวนหนึ่ง พวกเขาต่างถูกโยกย้ายไปยังตำแหน่งที่ไม่สำคัญ

คนที่มีปฏิกิริยาว่องไวต่างมองเห็นเจตนาของฮ่องเต้จากพระราชโองการฉบับนี้ทันที

ฮ่องเต้ทรงต้องการกดขี่ตระกูลจ้ง

หรืออาจบอกได้ว่าฮ่องเต้ทรงต้องการกดขี่คนขององค์หญิงเฉิงหยาง กำจัดอุปสรรคในการขึ้นครองราชย์แทนองค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงออกพระราชโองการฉบับที่สี่มอบอำนาจในการประหารก่อนทูลรายงานแก่องครักษ์จินอู่

ทุกคนต่างตื่นตระหนก

เรื่องอื่นยอมได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ยอมไม่ได้

องครักษ์จินอู่เป็นสุนัขรับใช้ เป็นเหยี่ยว เป็นมือสังหาร

พวกเขาต่างยโสโอหังและบ้าคลั่งอยู่แล้ว เวลานี้ฮ่องเต้ทรงให้อำนาจในการประหารก่อนทูลรายงานแก่องครักษ์จินอู่อีก ซึ่งหมายความว่าองครักษ์จินอู่อยากกำจัดผู้ใดก็กำจัด

บรรดาขุนนางคัดค้าน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ปลิวว่อน ยกอดีตมาโจมตีปัจจุบัน โจมตีการตัดสินใจของฮ่องเต้

ฮ่องเต้หย่งไท่ “…”

เขาหัวเราะเสียงเย็น

เขาใกล้ตายอยู่แล้ว จะสนใจการโจมตีของขุนนางหรือ

ล้อเล่นหรืออย่างไร

“เรื่องนี้ตกลงตามนี้!”

ฮ่องเต้ทรงเด็ดเดี่ยว การเกลี้ยกล่อมของบรรดาขุนนางไร้ผล ทำได้เพียงพุ่งเป้าไปยังองค์รัชทายาทคนใหม่อย่างเซียวเฉิงอี้

เซียวเฉิงอี้ “…”

เขาลังเลเล็กน้อย พลันพูดอย่างระมัดระวัง “เสด็จพ่อ เพื่อป้องกันองครักษ์จินอู่สังหารผู้บริสุทธิ์ ควรจะมีมาตรการบางอย่างหรือไม่”

ฮ่องเต้หย่งไท่มองเขาด้วยความเย็นชา “เจ้าลืมคำสอนของข้าแล้วหรือ”

องค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้รีบก้มหน้าด้วยความกลัว “กระหม่อมไม่ลืม”

ในฐานะโอรสสวรรค์ อย่าได้ยอมจำนนต่อขุนนางราชสำนักเพียงเพราะความสงสาร

มีครั้งแรกย่อมจะมีครั้งที่สอง

จำเป็นต้องวางท่าทีแข็งกร้าวตั้งแต่แรก ยกบรรทัดฐานของตนเองให้สูง ทำให้ขุนนางหวาดกลัว

คำสอนของฮ่องเต้หย่งไท่ยังดังกังวานอยู่ข้างหู

องค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้กลับกระทำผิดในวันแรกที่กลายเป็นองค์รัชทายาท

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของขุนนาง ความคิดแรกของเขาคือยอมจำนน

เห็นได้ชัดว่าทำให้ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่พอใจอย่างมาก

ฮ่องเต้หย่งไท่ระลึกถึงชีวิตสิบกว่าปีในการเป็นฮ่องเต้ของตนเอง ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่การปลงพระชนม์บรรดาท่านอ๋อง หากแต่เป็นการยอมจำนน

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขายอมจำนนต่อขุนนาง จนทำให้ความต้องการของขุนนางนับวันยิ่งมากขึ้น การกระทำของพวกเขานับวันยิ่งไร้ความเกรงกลัว กล้าแม้กระทั่งข่มขู่เขา

เฮอะๆ !

เวลานี้ เขาหนุนหลังให้องค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้ ไม่ให้เซียวเฉิงอี้ยอมจำนนเป็นอันขาด จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เซียวเฉิงอี้

อย่าคิดว่าเขาเป็นองค์รัชทายาท เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แล้วจะรังแกง่าย

เห็นได้ชัดว่าการแสดงของเซียวเฉิงอี้ทำให้ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่พอใจนัก

เซียวเฉิงอี้ก็รับรู้ถึงความผิด เขาจึงไม่เข้าร่วมการปะทะระหว่างฮ่องเต้และขุนนางอีกต่อไป เพียงแค่เรียนรู้อยู่ด้านข้าง

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงแน่วแน่และมุ่งมั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าผู้ใดเกลี้ยกล่อม เขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงพระราชโองการ

หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังเบิกบานใจ

เมื่อมีพระราชโองการฉบับนี้ ผู้ใดจะกล้าหาเรื่ององครักษ์จินอู่อีก

ประหารก่อนทูลรายงาน กำจัดก่อนค่อยว่ากัน

บรรดาขุนนาง “…”

หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังคงตายไปพันครั้งแล้ว

หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังไม่หวั่นแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลายสิบคน อีกทั้งยังยโสเล็กน้อย

สมกับเป็นองครักษ์จินอู่ที่มีความกล้าในการประหารขุนนางและเชื้อพระวงศ์ รวมทั้งความตื่นเต้นในการทำคดีใหญ่

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงออกพระราชโองการฉบับที่ห้า

เพียงแต่พระราชโองการฉบับนี้เป็นพระราชโองการลับที่มีต่อกองทัพเหนือ

หากถึงคราวจำเป็น…

ระยะเวลาเพียงหนึ่งวันออกพระราชโองการอย่างเปิดเผยสี่ฉบับติดต่อกัน

ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายอย่างมาก พระอาการของฮ่องเต้ย่ำแย่อย่างมาก อาจจากไปได้ทุกเวลา

องค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้กลายเป็นอาหารที่เพิ่งออกจากเตา มีคนที่เข้าใกล้ตีสนิทไม่ขาดสาย

หากไม่ตีสนิทในเวลานี้ จะรอให้องครักษ์จินอู่ขึ้นครองราชย์ก่อนค่อยตีสนิทหรือ

เมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ตีสนิทก็ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด

จ้งซูอวิ้นได้ผลพลอยได้ ภายในหนึ่งวัน นางก็ได้รับของขวัญเต็มห้อง

นางดีใจอย่างมาก

อยากจะแบ่งปันความสุขนี้กับเซียวเฉิงอี้อย่างรอไม่ไหว

แต่เซียวเฉิงอี้กลับพักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งยังอยู่เป็นเวลานาน

จ้งซูอวิ้นไม่พอใจเล็กน้อย

ในเมื่อเซียวเฉิงอี้ไม่กลับจวน นางก็จะกลับจวนของท่านแม่ไปแบ่งปันความสุข

จวนองค์หญิงเฉิงหยางปกคลุมไปด้วยเมฆดำ!

ยังไม่ทันได้เดินเข้าห้องโถงก็ได้ยินเสียงแก้วจานตกพื้นดังสนั่น รวมทั้งเสียงตะโกนด่าขององค์หญิงเฉิงหยาง

จ้งซูอวิ้นประหลาดใจอย่างมาก

นางเดินเข้าห้องโถง “เหตุใดท่านแม่จึงโกรธ”

แต่ไม่คิดว่าจะถูกองค์หญิงเฉิงหยางถลึงตาใส่ สายตานั้นดุร้ายอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

นางกลัวจนใจสั่น เกือบล้มลงกับพื้น