บทที่ 295 องค์หญิงหนีไปแล้ว
บทที่ 295 องค์หญิงหนีไปแล้ว
เขาไม่อยากไป!
กว่าจะสามารถขุดตัวเองขึ้นมาร่วมประชุมขุนนางในหน้าหนาวได้ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้แรงใจไปมากเท่าใด ตอนนี้ยังจะให้เขาออกไปด้านนอก นั่นมันเป็นการฆ่าเขาชัด ๆ
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม กระหม่อมไม่มีความรู้อันใดเกี่ยวกับเตียงเตาเลย”
หนานกงสือเยวียน “งั้นหรือ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา เจ้าเพียงแค่ต้องเรียนรู้ ข้าเชื่อว่าเซียวเหยาอ๋องไม่ใช่คนไร้สมอง”
หนานกงหลี “…”
ข้าเป็นคนรูปงามโง่งมไร้สมองที่ท่านกล่าวถึงเอง เสด็จพี่โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!
ไม่รอให้เขาได้เอ่ยอันใด หนานกงสือเยวียนก็พูดต่อทันที “ได้ยินมาว่าช่วงนี้ยามเจ้าออกไปเที่ยวเล่น เสื้อผ้าล้วนแต่ตัดขึ้นใหม่ เสื้อตัวเดิมเจ้าใส่ไม่ได้แล้วหรือ”
ทำร้ายจิตใจ ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว!
ใช่แล้ว ในช่วงฉลองปีใหม่เขากินมากเกินไปทั้งยังขี้เกียจเกินกว่าจะขยับร่างกาย เสื้อผ้าชุดเดิมจึงใส่ไม่ได้แล้ว ใบหน้าของเขาเองก็ดูกลมขึ้น
แต่เขายืนกรานว่าตนเองยังคงรูปงามที่สุดในบรรดาชายหนุ่มทุกคน!
เอ่อ… ต้องยกเว้นเสด็จพี่ของเขาไว้คนหนึ่ง
เรื่องก็จบลงเช่นนี้ หนานกงหลีทำได้เพียงจ้องถมึงไปทางหลานชายของตน
ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าสามที่ปกติมักจะเงียบอยู่เสมอ กลับสามารถสร้างความยุ่งยากครั้งใหญ่ให้เขาได้อย่างไร้สุ้มเสียง
หนานกงฉีอวิ๋น “…”
หากเขาอธิบายว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ เสด็จอาจะเชื่อหรือไม่
ยามนั้นเดิมทีเขาต้องการจะปฏิเสธเสด็จพ่อออกไปอย่างสุภาพ ทว่าเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเสด็จพ่อ จึงเกิดความคิดขึ้นอย่างกะทันหัน…อันเป็นการขุดหลุมใส่ท่านอาเจ็ด
เตียงเตามีประโยชน์อย่างมากในฤดูหนาว ทว่าก็มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน
อิฐมีราคาแพงยิ่ง คนจำนวนมากไม่มีแม้กระทั่งบ้านไม้เสียด้วยซ้ำ มิต้องกล่าวถึงเตียงเตาเลย
ขุนนางที่คุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านทั่วไปเอ่ยเสนอแนะขึ้นว่า “สามารถลดต้นทุนโดยการใช้โคลนเหลืองได้ นี่อาจทำให้มีชีวิตรอดผ่านฤดูหนาวอย่างไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเย็นยะเยือก ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงเต็มใจสละเวลาเพื่อตามหาโคลนเหลือง”
“เช่นนั้นสิ่งที่ต้องมีก่อนก็คือบ้านโคลนเหลือง แล้วเหล่าคนที่อาศัยอยู่ในบ้านมุงฟางจะทำเช่นไรเล่า”
“มิหนำซ้ำทั่วอาณาจักรยังมีช่างฝีมือจำนวนมาก จะเผยแพร่ให้ทุกคนทำตามได้ในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร”
“เตียงเตานี้เป็นสิ่งใหม่ ราคานับว่าสูงเป็นอย่างมากสำหรับชาวบ้านทั่วไป ไหนเราจะยังไม่เคยสัมผัสกับของจริงมาก่อนด้วย เพียงแค่ได้ยินคนบอกปากเปล่าย่อมไม่ยอมทุ่มเงินสร้างอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจำเป็นต้องหาวิธีทำให้ทุกคนรับรู้ประโยชน์ของเตียงเตา”
หนานกงสือเยวียนรู้สึกค่อนข้างพึงพอใจเมื่อเห็นพวกเขาเริ่มถกปัญหากัน ขอเพียงแค่ไม่โต้แย้งกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องและคอยตั้งตัวขัดเขา ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็สามารถตระหนักเห็นและแก้ไขได้
หลังจากปรึกษาหารือจนได้หนทางแก้ไขทั้งหมดแล้ว การประชุมขุนนางครั้งนี้ก็สิ้นสุดลง
หนานกงสือเยวียนเป็นคนไม่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการเตรียมทุกอย่างให้พร้อมในเวลาสั้นที่สุด พอวันที่สามเขาก็บอกให้บุตรชายคนที่สามของตนและหนานกงหลีเก็บสัมภาระออกเดินทางจากเมืองหลวง พร้อมกับเหล่าช่างที่รู้วิธีสร้างเตียงเตา
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมอบองครักษ์อีกจำนวนไม่น้อยตามไปปกป้องพวกเขาด้วย
ภายในวังหลวง หนานกงสือเยวียนยุ่งอยู่กับงานราชกิจจนถึงมืดค่ำ พลันรู้สึกว่าวันนี้เงียบเหงาเกินไปหน่อย
“องค์หญิงเล่า?”
เหตุใดตอนนี้จึงยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เปลือกตาของเขาจึงกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ฝูไห่กงกงตอบ “ชุนสี่กล่าวว่าองค์หญิงไปหาเหล่าองค์ชายที่ห้องหนังสือพ่ะย่ะค่ะ”
“นางไปเพียงลำพัง?”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ทูลฝ่าบาท นางกำนัลขององค์หญิงน้อยมีเรื่องต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูไห่กงกง : ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
และแล้วสิ่งเลวร้ายก็เกิดขึ้นภายใต้จมูกของพวกเขาจนได้
อย่างเช่นเรื่องที่เจ้าก้อนแป้งหนีไป เหลือทิ้งไว้เพียงจดหมายกับยาในขวดกระเบื้องสีขาว
“ฝ…ฝ่าบาท องค์หญิง องค์หญิง…”
ชุนสี่ตัวสั่นเทาไม่กล้าเอ่ยต่อ กระทั่งใบหน้าของฝ่าบาทยังไม่กล้ามอง
เปลือกตาของหนานกงสือเยวียนกระตุก เขาสั่งให้คนนำจดหมายมาให้ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
‘ท่านพ่อ ถ้าท่านอ่านจดหมายนี้ เสี่ยวเป่าก็คงจากไปพร้อมกับพี่สามและท่านอาเจ็ดแล้ว ท่านอย่าได้โกรธไปเลย เสี่ยวเป่าจะดูแลตนเองเป็นอย่างดี อาจารย์เองก็มากับเสี่ยวเป่า ทั้งยังมีเฮยอู๋ฉางและไป๋อู๋ฉางอีก*[1] นอกจากนี้ข้ายังนำเฟิงเฟิงและต่ออีกหลายตัวตามมาด้วยเพื่อความปลอดภัย
เสี่ยวเป่าแค่อยากออกไปเที่ยวชม ตอนที่ท่านแม่คนสวยยังมีชีวิตอยู่ ท่านแม่ชื่นชอบหนานเจียงที่ปกคลุมไปด้วยสายฝนและหมอก เสี่ยวเป่าเลยอยากพาป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปท่องชม ข้าจะคอยติดตามพี่ชายไม่ห่าง ท่านพ่อรอเสี่ยวเป่ากลับไปได้หรือไม่ หลังจากกลับไปแล้วเสี่ยวเป่าจะเป็นเด็กดีกว่าเดิม!
ส่วนภายในขวดกระเบื้องมียาอยู่ หากท่านรู้สึกไม่สบายหรือนอนไม่หลับก็อย่าลืมกินยา เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านมาก ๆ ท่านพ่ออย่าโกรธเลยนะ แล้วก็อย่าได้ลงโทษผู้ใดได้หรือไม่ เป็นเสี่ยวเป่าที่ต้องการออกไปด้วยตัวเอง เสี่ยวเป่ารักท่านพ่อที่สุดของที่สุดเลย’
ท้ายจดหมายมีรูปวาดตุ๊กตาหัวโตของเสี่ยวเป่านั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพร้อมประสานมือเข้าหากันด้วยท่าทางน่าสงสาร มองแล้วน่ารักมิน้อย เขียนไว้ว่า ‘ท่านพ่ออย่าโกรธเสี่ยวเป่าเลยนะ’
หนานกงสือเยวียนไม่ได้ระเบิดโทสะ แต่เขาโกรธจนหัวเราะออกมา!
รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาจะโกรธแต่ก็ยังทำ เจ้าตัวน้อยนี่ช่างหาญกล้าเกินไปแล้ว!
ฝูไห่เหลือบมองฝ่าบาทด้วยความระมัดระวัง ใบหน้าของฝ่าบาทมืดมนจนชวนให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านยิ่ง
องค์หญิง ท่านสร้างเรื่องยุ่งยากให้กระหม่อมเสียแล้ว!
ทว่าฝ่าบาทก็มิได้ระเบิดโทสะออกมาอย่างที่คิดเอาไว้
เขาไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา บรรยากาศทั่วทั้งตำหนักฉินเจิ้งราวกับถูกแช่แข็ง เงียบงันระคนกดดัน
หนานกงสือเยวียนนวดคลึงดั้งจมูกของตนเอง จากนั้นก็วางจดหมายลงบนโต๊ะ
“นับวันช่างหาญกล้าขึ้นเรื่อย ๆ”
เขารู้ด้วยซ้ำว่าเด็กน้อยสามารถหนีออกไปได้อย่างไรโดยไม่ถูกคนพบเข้า
เป็นเขาที่ให้อภิสิทธิ์กับนางมากเกินไป รวมถึงสิทธิ์ในการเข้าออกวังได้อย่างอิสระ การถือหางเข้าข้างของเขา ทั่วทั้งวังหลวงต่างรู้ดี
ดังนั้นเมื่อเสี่ยวเป่าออกจากวังพร้อมกับเสือสองตัวอย่างผ่าเผย ก็ไม่มีใครคิดอะไรมาก
“ฝ่าบาทจะให้ส่งคนไปพาตัวองค์หญิงกลับมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฝูไห่ถามขึ้นด้วยความระมัดระวัง
หนานกงสือเยวียนโบกมือ “ปล่อยไป ให้นางได้ออกไปเที่ยวเล่นเสียบ้าง”
แม้พระราชวังจะกว้างใหญ่ เมืองหลวงจะเจริญรุ่งเรือง แต่หากใช้ทั้งชีวิตอยู่เพียงแค่ในโลกเล็ก ๆ แห่งนี้ มันจะต่างอะไรกับนกคีรีบูนในกรงทองอันแสนงดงาม
สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือเสี่ยวเป่ายังอายุน้อยเกินไป หากต้องเผชิญหน้ากับภยันตรายภายนอก
“อิ่งอี”
ชายสวมหน้ากากผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
“ไปปกป้ององค์หญิง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนพินิจขวดยาให้มือ “เจี่ยเจิน ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!”
ยังกล้าใช้เลือดของเสี่ยวเป่าทำยาให้เขา!
ประโยคนั้น ไม่ว่าฟังเช่นไรก็รู้ว่ากัดฟันพูด
“ฮัดชิ่ว!”
ขณะนั่งรถม้าออกจากเมืองหลวง เจี่ยเจินก็พลันจามออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“พวกเจ้า…พวกเจ้าอยากตายก็ช่างเถิด เหตุใดถึงต้องลากคนแก่ ๆ เช่นข้ามาด้วย! จบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้จะต้องโกรธข้าอย่างแน่นอน หลังจากกลับไป ข้าจะไม่ถูกเขาจัดการใช่หรือไม่!”
ฝ่าบาท ท่านต้องเชื่อข้า ข้าถูกบังคับ!
เสี่ยวเป่าตบหลังของเขาแล้วเอ่ยปลอบด้วยเสียงนุ่มนิ่ม “อาจารย์อย่าได้คิดมากไปเลย จะต้องเป็นเพราะท่านต้องลมหนาวจนไม่สบายเป็นแน่”
[1] เฮยอู๋ฉางคือชื่อของเจ้าเสือดำ ส่วนไป๋อู๋ฉางคือชื่อของเจ้าเสือขาว