บทที่ 296 พักชั่วคราวที่อารามร้าง

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 296 พักชั่วคราวที่อารามร้าง

บทที่ 296 พักชั่วคราวที่อารามร้าง

รถม้าออกเดินทาง ในกลุ่มของพวกเขามีคนแต่งกายที่มองออกว่าเป็นคนของราชสำนัก กลุ่มโจรภูเขาเองก็ไม่กล้ายั่วยุคนของราชสำนัก

ทว่าวันนี้โชคไม่ดีสักเท่าไหร่ ยังไม่ทันจะหาโรงเตี๊ยมได้ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเสียแล้ว

สุดท้ายก็พบเพียงอารามร้างในป่าเขาอันห่างไกลสายตาผู้คนที่พอจะใช้บังแดดบังฝนได้

เสี่ยวเป่าที่อุ้มจิ้งจอกน้อยเอาไว้ ทั้งตัวถูกห่อเอาไว้ด้วยเสื้อคลุม มีเพียงดวงตากลมโตครึ่งดวงและคิ้วละเอียดอ่อนงดงามที่โผล่พ้นออกมา

ข้างกายของนางมีเสือสีขาวและสีดำก้าวตามอย่างแช่มช้า เพราะว่าสีดำและขาวดูพิเศษแตกต่างเป็นอย่างมาก นางจึงคิดอยู่นานยามตั้งชื่อให้ สุดท้ายก็คิดว่าเฮยไป๋อู๋ฉาง*[1]เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับพวกมันทั้งสอง

เฮยไป๋อู๋ฉาง ฟังแล้วดูน่าเกรงขามนัก

ในยามนี้เฮยไป๋อู๋ฉางที่ดูน่าเกรงขามเป็นพิเศษกำลังอยู่ยืนด้านข้างของนางราวกับสัตว์ผู้พิทักษ์ ทำให้เสี่ยวเป่ารู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก

เหล่าองครักษ์จัดเตรียมพื้นที่บางส่วนด้วยความฉับไว จากนั้นก็ปูหญ้าแห้งลงไปชั้นหนึ่ง สุดท้ายทุกคนก็มีที่นั่งเป็นของตัวเอง

หลายคนล้อมวงเข้าด้วยกัน ส่วนตรงกลางเป็นกองไฟที่ช่วยให้ร่างกายของพวกเขาอบอุ่นขึ้นมา

เสี่ยวเป่าเอนร่างพิงท้องนุ่มฟูของเสือขาว รู้สึกสบายกายไม่ใช่น้อย

หนานกงหลีมองดูด้วยความอิจฉาเล็กน้อย เสี่ยวเป่าพิงร่างเสือตัวใหญ่ เกรงว่าไม่ต้องใช้กองไฟก็อบอุ่นแล้ว

“เสือมีตั้งสองตัว เหตุใดถึงให้ข้าพิงสักตัวไม่ได้”

เขารำพึงเสียงเบา ร่างของเสือดูนุ่มนิ่มฟูฟ่องมาก หนังเสือย่อมไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับเสือตัวใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สักนิด

ทว่าเสือพวกนั้นดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเสี่ยวเป่าแล้วไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้

“ทำของกินหน่อยเถิด”

เหล่าคนรับใช้ตั้งหม้อเริ่มต้มน้ำทันที

พวกเขาหยิบอาหารที่สะดวกต่อการพกพามาหลากหลาย…ถึงกับนำพ่อครัวหลวงมาเสียด้วยซ้ำ

ใช่แล้ว เป็นพ่อครัวอู๋ที่เสี่ยวเป่าลักพาตัวมาด้วย

ในพระราชวังมีพ่อครัวหลวงอยู่จำนวนมาก ทว่าคนที่มีความสัมพันธ์ดีสุดกับเสี่ยวเป่าย่อมต้องเป็นพ่อครัวอู๋ คราวนี้จึงพาเขาออกมาข้างนอกด้วย

“องค์หญิงต้องการเสวยสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำให้พระองค์ทันที”

เขาตบหน้าอกตนเองเสียงดัง กล้ามเนื้อบนแขนเขานั้นสามารถเทียบได้กับเหล่าผู้ฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งเขาเป็นคนตัวสูงไหล่กว้างเอวหนา เพียงแค่ส่วนหน้าท้องที่มีเนื้อก้อนกลมยื่นออกมา เนื่องจากเขาอยู่ในห้องครัวหลวงมาเป็นระยะเวลานาน ใบหน้าของเขาจึงดูขาวกว่าคนอื่น ๆ มาก

เสี่ยวเป่า “วันนี้อยากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!”

พ่อครัวอู๋ “…”

สิ่งนี้ไม่มีพื้นที่ให้สำแดงทักษะการทำอาหารของพ่อครัวหลวงอย่างเขาเลย!

เจี่ยเจินยกมือขึ้นเพื่อสนับสนุนคำพูดของเสี่ยวเป่า

“ไม่ได้กินนานแล้ว ข้าเองก็คิดถึงมัน”

หลังจากทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาแล้ว เสี่ยวเป่าก็ส่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้เจี่ยเจินกับตระกูลโจวเป็นจำนวนไม่น้อย ยามที่เริ่มกินนั้นรสชาติช่างอร่อยเป็นอย่างยิ่ง เขาและโจวเหยียนถึงกับกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดต่อกันไปสามวัน ทว่าหลังจากนั้นก็เริ่มเบื่อเสียแล้ว

เมื่อเบื่อก็ทิ้งช่วงไป ตอนนี้กลับรู้สึกคิดถึงแปลก ๆ

พ่อครัวอู๋ “เอาเถิด แม้ว่าจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่กระหม่อมจะทำให้รสชาติออกมาดีที่สุด”

เสี่ยวเป่าปรบมือให้ “สู้เขาเหล่าอู๋!”

ด้านของพวกเขากำลังทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขณะอีกด้านหนึ่งหัวหน้าองครักษ์ได้พาคนตรวจสอบอารามร้างแห่งนี้อย่างระมัดระวัง

อย่างไรเสียในขบวนครั้งนี้ก็หาได้มีเพียงแค่องค์ชายและท่านอ๋องเท่านั้น แต่ยังมีองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงรักและเอ็นดูที่สุดด้วย!

มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าหัวใจของพวกเขาพังทลายมากเพียงใดเมื่อพบว่าบนรถม้ามีองค์หญิงน้อยอยู่ด้วย พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนของฝ่าบาทจะตามมาพบพวกเขาโดยไวที่สุด ก่อนจะนำตัวบรรพบุรุษน้อยผู้นี้กลับไป ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดมา

ภายในใจหัวหน้าองครักษ์รู้สึกขมฝาด บรรพบุรุษน้อยผู้นี้อายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น! หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดจะต้องทุกข์ทรมานเป็นแน่

ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแต่ระมัดระวังรอบคอบทุกการเคลื่อนไหว

ข่าวดีก็คือองค์หญิงน้อยผู้นี้พาองครักษ์ที่แข็งแกร่งยิ่งมาด้วยสองตน ดังนั้นจึงวางใจเรื่องความปลอดภัยได้มากขึ้น

หลังจากตรวจสอบแล้ว เขาก็พบความผิดปกติของที่นี่

“ก่อนพวกเราจะมา ที่นี่มีคนอยู่ก่อนแล้ว”

เนื่องจากมีร่องรอยบางอย่างแสดงให้เห็นว่ามีคนอยู่ที่นี่อย่างชัดเจน ทว่าอีกฝ่ายมีความระมัดระวังไม่น้อย จึงลบร่องรอยจำนวนมากออกไป

“รีบไปปกป้องพวกองค์หญิง”

หัวหน้าองครักษ์เอ่ยเสียงเบากับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างกาย จากนั้นก็กวาดตามองสำรวจอย่างเงียบงัน ตามหาสถานที่ซ่อนอันเป็นไปได้หลายแห่ง พร้อมกับชักดาบก้าวออกไปด้านหน้า

ทว่าแม้จะไปหายังสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่พบผู้ใดเลย

หรือว่าจะออกไปแล้ว?

เขาขมวดคิ้วขบคิด ในตอนนั้นเองก็พลันมีกลิ่นหอมเย้ายวนโชยมาเตะจมูก

กลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเดิมทีก็หอมล่อใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผ่านการปรุงโดยพ่อครัวหลวงมา

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แต่เดิมมีราคาถูกกลับสูงขึ้นในพริบตาภายใต้ฝีมือของเขา กลิ่นหอมที่โชยออกมาหอมมากกว่าเดิมนับหลายเท่า

“อึก”

ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่กลืนน้ำลาย ในยามนี้ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเรื่องนี้

เพราะพวกเขาต่างก็เผยความตะกละขึ้นมา

หลังจากเดินทางมานาน ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนหิวจนตาลาย เช่นนั้นแล้วใครจะทนกับกลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี้ได้กัน

“เอาละ ทุกท่านมากินกันเถิด”

พ่อครัวอู๋ที่มีใจลำเอียงส่งชามให้องค์หญิงน้อยก่อน ซึ่งด้านในมีส่วนผสมหลากหลายมากที่สุด ทั้งยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูเต็มชาม

“ขอบคุณพ่อครัวอู๋”

เสี่ยวเป่ารับมาพร้อมกับขอบคุณอย่างสุภาพ ทว่าชามใหญ่ถึงเพียงนี้นางไม่อาจกินหมดด้วยตัวคนเดียวได้

“งี้ด ๆ”

ความตะกละของเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ถูกกลิ่นนี้กระตุ้นเช่นเดียวกัน มันยืนอยู่บนไหล่ของเสี่ยวเป่าพร้อมแกว่งหางไปมาอย่างอยู่ไม่สุข

พ่อครัวอู๋หัวเราะทันทีที่เห็นภาพนี้

“พ่อครัวอู๋ทำอาหารอร่อยมาก หงหงเองก็ชอบเช่นกัน”

เสี่ยวเป่าเอ่ยออกมาอย่างปากหวาน จากนั้นก็เตรียมหยิบน่องไก่ในชามส่งให้จิ้งจอกน้อยกิน

“องค์หญิง พระองค์เสวยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเตรียมของสำหรับพวกเขาเอาไว้แล้ว”

เสี่ยวเป่าพลันยิ้มออกมาจนคิ้วโค้งขึ้น “เช่นนั้นข้าจะกินมันเอง”

ไม่เพียงจิ้งจอกน้อยที่ได้ขาไก่ไป ส่วนของเสือทั้งสองตัวก็ไม่ถูกลืม ซ้ำยังมีกระดูกชิ้นใหญ่เอาไว้ให้พวกมันแทะเล่นอีกด้วย กินเสร็จยังมีน้ำต้มกระดูกอุ่น ๆ ให้ดื่มเป็นการปิดท้าย

แน่นอนว่าของเพียงเท่านี้ไม่พอให้พวกมันอิ่ม รอตกดึกเสือทั้งสองตัวจะออกไปล่าอาหารเองในภูเขา

ภายในอารามร้าง เปลวเพลิงขยับไหว ทุกคนต่างนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปร้อน ๆ บนพื้น ช่างรู้สึกสบายทั้งกายและใจ

โครก…

ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดถูกกลิ่นหอมยั่วยวนจนกลืนน้ำลายไม่หยุด ท้องส่งเสียงคำรามอย่างต้องการกินเช่นกัน

“พี่ชาย ข้าหิว”

เสียงยังไม่ประสามีความคับข้องใจอยู่ภายใน ทว่าก็ยังคงเป็นเด็กดีไม่เอะอะแต่อย่างใด

“อดทนไว้ รอจนกว่าพวกเขาจะจากไป”

เสียงนั้นโตกว่าเพียงไม่มาก แต่กลับมีความสุขุมยิ่งกว่า

จริง ๆ แล้วเขาเองก็อยากกินเป็นอย่างมาก ทว่าไม่สามารถออกไปด้านนอกได้

คนด้านนอกดูแล้วเหมือนผู้มีฐานะสูงส่งอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากพวกเขาไปล่วงเกินเข้า อาจโดนตีจนตายก็เป็นได้

พวกเขาต้องทนทรมานต่อกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังคงไม่จากหาย พวกเขาทำได้แต่ทนมองอาหารอันมีกลิ่นหอมด้วยความตะกละผ่านรอยแยกเท่านั้น

ทว่ายิ่งมองก็ยิ่งหิว

จ๊อก จ๊อก…

เดิมทีทุกวันก็ไม่ได้กินอิ่มท้องอยู่แล้ว ท้องจึงไม่อาจทานทนต่อกลิ่นหอมนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

“หิวมากเลย…”

มีคนจวนเจียนจะทนไม่ได้เริ่มร้องไห้ออกมา

“พี่ชาย ร่างของเสี่ยวอันร้อนไปหมด ควรทำเช่นไรดี”

“พวกเราไปขอร้องใต้เท้าเหล่านั้นดีหรือไม่ ข้าไม่อยากให้เสี่ยวอันตาย”

“ไม่ได้ พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเป็นขุนนางในเมืองที่ทุบตีเสี่ยวอันจนกระอักเลือดตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกนั้นล้วนแต่เป็นคนเลว”

“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี เสี่ยวอันตัวร้อนมาก ฮือออ…”

[1] เฮยไป๋อู๋ฉาง หรือในอีกชื่อหนึ่ง ยมทูตขาวดำ เป็นสองเทพในตำนานจีน มีหน้าที่นำทางดวงวิญญาณของผู้ตายไปยังปรโลก