บทที่ 286 ครั้งแรกต้องระวัง
บทที่ 286 ครั้งแรกต้องระวัง
รู้สึกได้ถึงอ้อมแขนของนางที่โอบเอวปลอบโยนเขาแล้ว โหลวจวินเหยาก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง เขากอดนางนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะคลายวงแขนเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ชิงอวี่ยกยิ้มขึ้น “ไม่มีอะไร แค่ตัวตลกที่รอไม่ได้ อยากมาหาเรื่องข้าก็เท่านั้น”
ชิงอวี่เป็นที่ถูกใจของชิงลั่วเยี่ยนมากมายเช่นนี้ คนในอารามศักดิ์สิทธิ์มีแต่จะประจบเอาใจนาง ดังนั้นไม่มีใครโง่เขลามาแกล้งนางในตอนนี้แน่
หรือว่า…..
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะมองหน้านาง “คนจากยอดเขาใจสงบ?”
“อืม แต่ข้าจัดการแล้ว” ชิงอวี่เลิกคิ้วตอบ แต่ก็ไม่แปลกใจที่เขาเข้าใจรวดเร็วเช่นนี้
เพราะอย่างไรพวกนั้นเอาท่านแม่ไปแล้ว รายต่อไปก็ต้องเป็นเสี่ยวเป่ยกับนาง แต่นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือเร็วเช่นนี้
คิดแล้วชิงอวี่ก็ขมวดคิ้วมุ่น มองไปทางเขาด้วยสายตากังวล “ช่วงนี้เสี่ยวเป่ยเป็นอย่างไร? อาเหยา ท่านต้องช่วยข้าดูแลเขานะ ข้าห่วงว่าคนพวกนั้นจะพลันลงมือแล้วเสี่ยวเป่ยจะไม่ทันระวัง”
“เจ้าไม่ต้องห่วงเขามากนักหรอก เขาไม่ได้ไร้ฝีมืออย่างที่เจ้าคิด เจ้าปกป้องเขาเกินไปแล้ว”
โหลวจวินเหยาบีบแก้มนางเบา ๆ ริมฝีปากบางของเขาเอ่ยคำ “เขาเป็นบุรุษ ไม่ช้าก็ต้องเติบใหญ่ สมัยข้าอายุเท่าเขาข้าก็ผ่านอะไรมามากเช่นกัน แม้เจ้าจะเป็นพี่สาวเขา แต่จะตัดสินใจแทนเขาไปตลอดไม่ได้ เขาต้องเดินด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยเขาได้ เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?”
ชิงอวี่หลุบตาลงตอบเสียงเบา “ข้าเข้าใจ”
ไม่แน่ในสายตานาง ชิงเป่ยอาจเป็นเด็กตัวน้อยร่างกายอ่อนแอที่คอยให้นางกางปีกปกป้องอยู่ตลอดกระมัง…..
จู่ ๆ เห็นนางเงียบดูหม่นหมองลงไปเช่นนั้น โหลวจวินเหยาก็อดยกยิ้มไม่ได้ ใช้นิ้วเชยคางน้อยขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจพลันโน้มเข้าใกล้ เอาหน้าผากแตะกับนางเบา ๆ สายตาที่จ้องนางนิ่งจนนางอ่านไม่ออก
ชิงอวี่ชะงักไปด้วยความตกใจ สีหน้าสับสนอยู่บ้าง
“ข้าค้นพบบางอย่าง” โหลวจวินเหยาพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะไรหรือ?”
“ถึงไม่ได้เห็นหน้าข้าหลายวัน แต่เจ้ากลับไม่คิดถึงกันสักนิด เอาแต่เป็นห่วงเจ้าเด็กเสี่ยวเป่ยนั่น” โหลวจวินเหยาว่า สีหน้าเรียบเฉยนัก แต่ทันใดนั้นตาที่มองนางก็พลันเศร้า “หรือเจ้า….. จะเริ่มเบื่อข้าแล้ว?”
โหลวจวินเหยาเอ่ยเหมือนหยอกเสียมาก แต่ก็ยังมีแววความจริงจังเจือปนอยู่
ก็นางดูใส่ใจเขาน้อยกว่าช่วงแรกมากเรื่อย ๆ ทำให้โหลวจวินเหยาอดคิดว่าตนเองไร้ค่าไปแล้ว คิดว่าตนเองคงไม่น่าดึงดูดสำหรับชิงอวี่อีกต่อไปแล้ว…..
แต่ได้ยินคำเช่นนี้จากบุรุษ ชิงอวี่ตอนแรกก็ชะงักไป ก่อนนัยน์ตาทั้งสองจะเปลี่ยนเป็นเส้นโค้ง มุมปากแต้มยิ้ม “ท่านเป็นคนคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“เจ้าจะบอกว่าไม่ใช่หรือ?” ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าหดหู่ปนขุ่นเคืองเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าจะพิสูจน์ว่ายังรักข้าเหมือนกับตอนสารภาพรักเป็นอย่างไร?”
“แล้วท่านอยากให้ข้าทำอย่างไรเล่า?” ชิงอวี่อดยิ้มกับตนเองไม่ได้ คนผู้นี้เมื่อครู่ยังทำตัวเป็นผู้ใหญ่และตำหนิให้นางดูอยู่เลย แต่พริบตาเดียวก็กลายเป็นเด็กน้อยไปแล้ว ไม่รู้ว่านางควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
พอนางพูดจบ นัยน์ตาเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เขาพลันกดร่างนางลงบนเตียงนุ่ม ใบหน้าห่างกันเพียงนิดเท่านั้น ก่อนจะจ้องนางด้วยรอยยิ้มจางแทบมองไม่เห็น นิ้วเรียวไล้แก้มนวลนางแผ่วเบา ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มน่าหลงใหลขึ้น “ข้าไม่สน หลัง ๆ มานี้เจ้าทอดทิ้งข้าบ่อยเหลือเกิน เจ้าต้องชดใช้”
ว่าแล้วเขาก็มุ่งตรงไปยังริมฝีปากฉ่ำของเด็กสาว ครอบครองความหวานล้ำด้วยท่าทีที่คล้ายกับอยากจะลงโทษอยู่เล็กน้อย
ทว่าการกระทำดุดันเช่นนั้นกลับไม่ทำให้เด็กสาวตกใจสักนิด นางกลับตอบสนองอย่างอ่อนโยน แขนเรียวบางโอบรอบคอชายหนุ่มไว้ ยินยอมโอนอ่อนต่อความดุดันที่ราวกับพายุกระหน่ำแต่โดยดี ไม่ต่อต้านแม้สักนิด
ดวงตาสีม่วงของโหลวจวินเหยายิ่งลึกล้ำเข้มขึ้น เขาไม่อ้อยอิ่งอยู่เพียงริมฝีปากงามของนางอีกต่อไป ค่อย ๆ เคลื่อนลงไปช้า ๆ ก่อนจะกัดลำคอนุ่มของเด็กสาวเบา ๆ
“อืมมม…..” เสียงครางแผ่วอย่างพึงพอใจเล็ดลอดออกจากริมฝีปากเด็กสาว
ก่อนหน้าที่นางกำลังหลับนางก็ไม่ได้มิดชิดมากมาย เมื่อต้องกลิ้งขยับไปมาเช่นนี้ชุดที่สวมอยู่จึงดูไม่เรียบร้อยนัก
กระดูกไหปลาร้าที่งามราวกับถูกสลักของเด็กสาว พร้อมทั้งผิวขาวราวหิมะจึงเผยออกให้เห็น ทั้งยังเส้นโค้งน่าหลงใหลใต้คอเสื้อที่ดึงดูดเอาสายตาเขาให้จับจ้องมันอย่างไม่อาจห้ามใจได้
หากไม่นับใบหน้างดงามเย้ายวนของเด็กสาวแล้ว ทั่วร่างนางก็ราวกับได้รับความโปรดปรานจากพระผู้สร้างอย่างไรก็อย่างนั้น งดงามเสียยิ่งกว่าภาพวาด ราวกับว่าหากจ้องมองนางอีกคราแล้วจะทำให้ความงามความไร้ที่ติต้องแปดเปื้อนเอาได้
ทว่าเหงื่อคนงามที่น่าหลงใหลเช่นนาง ตอนนี้กลับนอนอยู่ใต้ร่างเขา ปล่อยให้เขากระทำตามใจชอบไม่ขัดขืน
พริบตานั้นเอง ใบหน้าหล่อเหลาที่มักมีรอยเกียจคร้านเมินเฉยก็เต็มไปด้วยแรงปรารถนา ถึงนัยน์ตาเข้มลึกจะเปลี่ยนไปมาด้วยอารมณ์ตีรวนอยู่ภายในนั้น สุดท้ายเขาก็ฝังหน้าลงกับลำคอนุ่มของนาง หอบหายใจเบา ๆ ฟังดูคล้ายกับว่าเขากำลังพยายามกดความรู้สึกในกายเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
ชิงอวี่มองคนที่นอนทับร่างนางไว้ ริมฝีปากแดงฉ่ำเม้มแต้มแววขัน ก่อนน้ำเสียงแหบเสน่ห์หลังจากจุมพิตดูดดื่มจะดังขึ้น “เป็นอะไรไป?”
ได้ยินเสียงกระชากใจของนางเช่นนั้น โหลวจวินเหยาก็ยิ่งหงุดหงิด เอ่ยเสียงดุน้อย ๆ ออกมา “เจ้าอย่าพูด”
ชิงอวี่กะพริบตาใสซื่อ “…..”
เขาเป็นอะไรไป?
เมื่อครู่ยังทำหน้าตาราวกับอยากกลืนกินนางอยู่แท้ ๆ แต่จู่ ๆ ก็หยุดนิ่งไป ทำท่าจนใจเศร้าใจเสียอย่างนั้น ฟังเสียงเขาดูดี ๆ แล้ว กระทั่งจับความหงุดหงิดในนั้นได้อยู่เล็กน้อย
จริง ๆ แล้วนางไม่ได้ต่อต้านหรือพยายามหยุดเขาเลยนี่?
ถึงเขาทำขึ้นมาจริง ๆ นางก็อาจไม่ปฏิเสธ นางรักเขาจริง ไม่คิดรังเกียจหากต้องชิดใกล้ ในเมื่อเขากับนางลิขิตมาให้คู่กัน เช่นนั้นจะใกล้ชิดกันมากหน่อยก็ไม่เป็นไรกระมัง?
นางไม่ใช่เด็กสาวไม่รู้ความอีกต่อไปแล้ว นางชัดเจนกับความรู้สึกของตนเองที่มีต่อโหลวจวินเหยามาก
ทั้งเมื่อชาติก่อนและชาตินี้ นางก็รักเพียงคนคนเดียวเท่านั้น
กระทั่งกับเสี่ยวเยี่ยที่นางสนิทสนมที่สุดนางยังไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้
ความรู้สึกคิดถึง รัก และอยากครอบครอง
ใช่แล้ว ไม่ใช่เพียงบุรุษที่อยากครอบครองหรอก สตรีเองก็มีความสุขกับความรู้สึกได้ครอบครองคนอื่นเช่นกัน
เพราะเมื่อคนหนึ่งรักอีกคนมากเกินไป ก็จะต้องการให้อีกฝ่ายเป็นของตนคนเดียวเท่านั้น
ไม่เพียงแต่หน้าตาของโหลวจวินเหยาที่แม้แต่ม่อจิ่งอวี้ยังคิดว่าอีกฝ่ายต้องใช้ใบหน้านี้ลวงลูกสาวเขามาแน่ ย่อมหมายความว่าหน้าตาเขาโดดเด่นเหนือใคร ทั้งยังนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้น ยามมันต้องมองมาอย่างอ่อนโยน เกรงว่าสตรีใดก็ไม่อาจหนีพ้น
แม้ชิงอวี่กับเขาจะรู้จักกันมานานแล้ว แต่ยามที่สบตาโดยบังเอิญ ก็ยังรู้สึกราวกับถูกทำให้ลุ่มหลง พวกมันมีพลังวิเศษที่สามารถกระชากใจคนได้จริง ๆ
“อาเหยา…..” ชิงอวี่เอ่ยเสียงอ่อนโยน
เห็นเขาไม่ตอบ นางก็ไล้นิ้วไปตามแผ่นหลังกว้าง เขาพลันเกร็งร่างขึ้น เหมือนพยายามอดกลั้นบางอย่างอยู่เต็มที่
“ท่าน….. ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถามเสียงแผ่ว
แม้นางจะไม่รู้เรื่องระหว่างบุรุษสตรีมากมายนัก แต่มีส่วนหนึ่งของบุรุษที่เมื่อถูกกระตุ้นจะทำให้คลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ง่าย ๆ และหากไม่ผ่อนคลายมันลง ก็ดูท่าจะไม่ดีต่อร่างกายกระมัง
คิดแล้วชิงอวี่ก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ เอ่ยขึ้น “ไม่ให้ข้า….. ช่วยท่าน…..”
“ไม่จำเป็น” ไม่รอให้นางพูดจบเขาก็ตอบปฏิเสธ สีหน้าไร้อารมณ์จ้องมองนางนิ่ง “ข้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่สมควรจะเป็นเรื่องวิเศษเช่นนั้นต้องมาพ่ายแพ้ในกำมือเจ้าหรอก หนทางข้างหน้าเรายังอีกยาวไกลนัก”
ได้ยินแล้วนางก็ชะงักไป ไม่อาจตอบสนองต่อความนัยในคำเขาได้ และเมื่อตั้งสติได้ หน้านางก็แดงฉาน ใช้สายตาขุ่นเคืองเขินอายจ้องหน้าเขา “ท่านกล้ากล่าวคำไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!?”
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วหน้าตาใสซื่อ “ข้าพูดสิ่งใดผิดไปตรงไหน?”
เขาก็พูดเรื่องจริงไม่ใช่หรือ?
หรือว่า…..
เมื่อคิดเรื่องหนึ่งได้ โหลวจวินเหยาก็คลี่ยิ้มชั่วร้ายทันที
“จิ้งจอกน้อย เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้ามีความคิดอยากใกล้ชิดกับข้าให้มากกว่านี้ใช่หรือไม่…..”
“หุบปากไปเลย!” ชิงอวี่จ้องเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง ผลักร่างเขาออกแล้วหันหน้าหนี หมายจะไม่สนใจเขาอีกต่อไป
เขามากเกินไปจริง ๆ เห็นชัด ๆ ว่านางคิดว่าให้เขาฝืนต่อไปคงทรมาน จึงใจดีคิดช่วยเหลือ ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาไม่ควรทำให้นางอับอายเช่นนี้?
แต่กลับกล้าโพล่งมันขึ้นมาอีก?
ครั้งหน้าเขาต้องการมากแค่ไหน นางก็ไม่ยอมให้แล้ว!
เห็นเจ้าตัวเขินอายตรงหน้าแล้ว โหลวจวินเหยาก็หัวเราะอย่างรักใคร่ ก่อนจะเอื้อมแขนไปรั้งร่างนางเข้ามากอด ทิ้งน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่งไว้บนร่างเด็กสาวก่อนถามเสียงเบา “โกรธหรือ?”
แม้ชิงอวี่จะถูกรัดร่างไว้เช่นนั้น แต่ก็ไม่คิดดิ้นหนี ทำเมินเขาต่อไปเท่านั้น
โหลวจวินเหยาก้มลงจูบแก้มนางแล้วเอ่ยกล่อมเสียงหวาน “เอาล่ะ ๆ ข้าผิดเอง ไม่น่าไปแกล้งเจ้าเลย เจ้าอย่าโกรธได้หรือไม่?”
“ข้าไม่ได้โกรธ” ชิงอวี่เอ่ยเสียงขุ่น
โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ “ข้าโล่งใจนักที่เจ้าไม่ได้โกรธข้า เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อเจ้าเดิมทีก็ไม่พอใจข้าอยู่แล้ว หากข้าฉวยโอกาสก่อนแต่ง เขาคงไม่อยากมองหน้าข้าอีก”
ได้ยินแล้ว ชิงอวี่ก็มุ่นคิ้ว “ข้าจะทำให้ท่านพ่อยอมรับท่านให้ได้ ท่านอย่าได้กังวล ข้าย่อมไม่ปล่อยให้ท่านต้องเสียใจกับเรื่องเช่นนั้นแน่”
คำของนางทำโหลวจวินเหยาซึ้งใจนัก แต่กลับรู้สึกว่ามันแปลก ๆ …..
อีกฟากฝั่งของยอดเขาใจสงบก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
กลางอากาศเกิดรูปบิดเบี้ยวขึ้น พลันเกิดเสียงระเบิดดังตูม ก่อนมันจะจางหายไปทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทุกคนบนยอดเขาใจสงบมีพลังเหนือใคร เชื่อมต่อกับแก่นพลังบนยอดเขาใจสงบ ดังนั้นแม้ยอดเขาใจสงบจะมอบพลังไร้ขีดจำกัดให้ แต่พวกเขาก็ยังมีพันธะกับกฎเกณฑ์ที่เป็นเหมือนกำแพง ที่คนบนยอดเขาใจสงบตั้งเอาไว้กับพวกเขาอยู่ดี
และเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ราวกับว่า….. เพิ่งมีคนจากยอดเขาใจสงบสิ้นชีพไป ดังนั้นแก่นพลังในยอดเขาใจสงบจึงทลายลงเช่นกัน