บทที่ 287 ผู้อยู่เบื้องหลังการตายของพวกเขาเมื่อครานั้น
บทที่ 287 ผู้อยู่เบื้องหลังการตายของพวกเขาเมื่อครานั้น
หากแต่แรงกระเพื่อมที่แก่นพลังส่งสัญญาณว่ามีคนสิ้นใจนั้นมาจากที่ไกลนัก ไม่ได้เกิดขึ้นในยอดเขาใจสงบ
มัน….. หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
คนบนยอดเขาใจสงบเกิดตายกะทันหันในสถานที่อื่นหรือ!
สตรีที่กำลังงีบหลับพลันลืมตาตื่น มันใสกระจ่างราวกับน้ำแข็ง งดงามตานัก แค่มองแวบเดียว ก็ราวกับได้จ้องมองผืนน้ำแข็งกว้างใหญ่ไร้พรมแดน เยือกเย็นไปถึงจิตใจ
คนด้านนอกเหมือนได้ยินเสียงขยับเบา ๆ จึงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเคารพ “เจ้าเหนือหัว”
สตรีนัยน์ตาสีเงินงามสง่านางนี้คือผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งยอดเขาใจสงบ ไม่มีใครรู้ว่านางมาจากที่ใด เป็นผู้ที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง ที่ยอดเขาใจสงบกลายเป็นแดนสูงสุดไม่อาจเทียบเทียมได้ทั่วใต้หล้าก็เป็นเพราะมีเต้าครองแดนที่ถือครองพลังไร้พ่ายเช่นนาง
ไม่มีใครรู้ชื่อนาง แต่ทุกคนเรียกนางว่าเจ้าเหนือนรก
นางลงจากเก้าอี้นอน เดินออกประตูมา ทอดสายตาไปที่ไกล นัยน์ตานางไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่อาจล่วงรู้จิตใจนางได้ คนด้านหลังยืนก้มหน้ารอคำสั่งจากนางนิ่ง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ นานจนคนด้านหลังคิดว่านางคงไม่เอ่ยอันใดแล้ว แต่นางพลันเอ่ยเสียงขึ้น
“เอาตัวคนร้ายมา”
น้ำเสียงนางไร้อารมณ์ ราวกับไม่อาจมีมันได้ เย็นชาเสียจนเสียดแทงเข้ากระดูก
ได้ยินแล้วคนด้านหลังพลันรู้สึกร่างเย็นวาบ ก้มหัวให้นางอย่างเคารพแล้วเอ่ยรับคำทันที “ขอรับ”
เจ้าเหนือหัวไม่เคยใส่ใจว่าคนบนยอดเขาใจสงบจะอยู่หรือตาย สนแต่ผลประโยชน์ต่อตัวนางเท่านั้น ทุกคนที่นี่เป็นของนาง แม้นางจะเขี่ยทิ้งแล้ว แต่ก็ห้ามคนอื่นแตะต้อง
ดูท่าจะมีคนล่วงเกินนางเข้าแล้ว และ….. นางก็ไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
——
ด้วยเรื่องมีศพปรากฏขึ้นที่พรมแดนตัดกัน อารามจันทร์กระจ่างได้หาคำอธิบายให้มันได้แล้ว ว่าตรงจุดนั้นจะเป็นจุดที่ยอดเขาใจสงบจะปรากฏ และคงเป็นในอีกไม่นาน แต่เป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจมีใครคาดการณ์ได้
ขุมอำนาจใหญ่ทั้งห้ารวมทั้งจอมยุทธ์ไร้สังกัดและตระกูลแยกสันโดษทั้งหมดล้วนแจ้งเตือนให้คนของตนเดินทางไปยังเขตแดนตรงนั้น
ดูจากรูปการณ์แล้ว ดูท่าจะไปซุ่มรออยู่ที่นั่น จะได้ไม่พลาดการเผยตัวของยอดเขาใจสงบ
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในชุดสีทองระยับแสบตาส่องมาให้เห็นจากไกล ๆ เป็นสีน่าสงสัยเด่นจับตานัก บนอกมีตราเหยี่ยวท่าทางดุร้ายประดับอยู่ อันเป็นเครื่องหมายว่าเป็นคนจากสมาพันธ์นักล่า
เห็นแล้วบางคนก็หลีกหนีไป ด้วยกลัวว่าจะพบกับพวกเขาเข้า
แม้สมาพันธ์นักล่าจะเป็นหนึ่งในขุมอำนาจใหญ่ทั้งห้า แต่ภายหลังก็แสดงจุดยืนเด่นชัด ชื่อเสียงฉาวโฉ่ เทียบกับขุมอำนาจอื่นไม่ได้เลย
แม้แคว้นมารเองจะรู้จักว่าเป็นขุมอำนาจนอกรีต แต่ก็เป็นคนมีความสามารถ ระหว่างจูเก่อฉงแห่งสมาพันธ์นักล่ากับท่านจอมมารโหลวจวินเหยา ก็เปรียบเทียบกันได้มากแล้ว ทั้งยังเรื่องที่ครั้งหนึ่งจูเก่อฉงเคยเป็นลูกน้องโหลวจวินเหยา พลังบำเพ็ญต่ำต้อยกว่าโหลวจวินเหยานัก
และแม้ท่านจอมมารจะเย่อหยิ่งพิสดารไปบ้าง ไม้ให้ค่าใครอื่น แต่การกระทำก็มีคุณธรรมกว่านัก ส่วนคนทรยศอย่างจูเก่อฉงนั้นทุกคนรู้ดี คนจากสมาพันธ์นักล่าชอบส่งเสียงดังทำว่าตนสูงส่ง ราวกับเกรงว่าคนอื่นจะไม่รู้ ยิ่งทำให้กลายเป็นตัวน่ารำคาญน่ารังเกียจ
ที่น่าตกใจคือจูเก่อฉงเองก็อยู่ในหมู่คนด้วย
แต่ดูเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าใบหน้าดูไม่ดีเท่าไหร่ เขาฝืนทนมาตลอดทาง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีก ถามคนข้าง ๆ ขึ้นว่า
“ทำไมข้าต้องมากับคนพวกนี้ด้วย? ไม่มีใครรู้ว่าจะจริงหรือไม่นี่? พวกคนจากอารามชอบเล่นเล่ห์ ข้าว่าเจ้าก็รู้ดี! ไม่ต้องให้ชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยอะไร ข้าก็รู้แล้วว่าพวกนักบวชอารามของนางไร้ประโยชน์ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นไปจริงหรือว่าพวกเขาจะทำนายสถานที่ที่ยอดเขาใจสงบจะปรากฏขึ้นได้? ไม่แน่อาจเป็นเพียงคำอธิบายครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่นางใช้หลอกคนอื่นก็เป็นได้!”
“ฮ่า ๆ ก็ดีกว่ามานั่งเสียใจนี่? ข้าว่าไม่ว่าที่นางพูดจะจริงหรือไม่ เราก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องทำอยู่แล้วนี่? แค่รอดูสักหน่อยจะเป็นไรไป?”
ชายหนุ่มเอ่ยปลอบประโลมพร้อมรอยยิ้ม ตัดกับใบหน้าไม่พอใจของจูเก่อฉง
คนกล่าวสวมชุดสมาพันธ์นักล่า สีทองระยับดูฉูดฉาด แต่เมื่อเขาใส่แล้วกลับดูสูงส่งสง่าผ่าเผย ใบหน้าหล่อเหลาแผ่กลิ่นอายพลังอำนาจออกมา
กลายเป็นว่าเขาคือชิงเทียนหลิน
จูเก่อฉงได้ยินแล้วก็มุ่นคิ้ว เอ่ยเสียงไม่พอใจ “ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องมาเองนี่? ข้าเป็นหัวหน้าสมาพันธ์นักล่า คนฐานะเช่นข้ามาทำเช่นนี้นับว่าดูต่ำต้อยไปหน่อยกระมัง”
ชิงเทียนหลินหัวเราะหยัน เอ่ยเปิดโปงคำลวงเขาทันใด “ข้าว่าเจ้ากลัวว่าจะต้องอับอายต่อหน้าคนจากแคว้นมารมากกว่า? หรือกลัวจะเจอเจ้านายเก่าแล้วรู้สึกว่าตนด้อยกว่าเขาแล้วเสียหน้ากันเล่า?”
จูเก่อฉงราวกับถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ เปลี่ยนสีหน้าไปทันที
เห็นดังนั้นชิงเทียนหลินก็หัวเราะ ไม่สนใจสีหน้าจูเก่อฉง “เจ้ามีอะไรด้อยกว่าเขา? เขาเพียงแต่โชคดีกว่าเจ้าเรื่องชาติกำเนิด ดวงดีกว่านิดหน่อยเท่านั้น เรื่องอื่น ๆ พวกเจ้าก็อยู่จุดเดียวกัน เขาเป็นเจ้าแคว้นมาร เจ้าก็เป็นหัวหน้าสมาพันธ์นักล่า ต่างเป็นหัวหน้าครองอำนาจเหนือคนในแดนตน ไม่มีใครต่ำสูงกว่าใครทั้งสิ้น”
จูเก่อฉงกัดกรามเงียบ ๆ “แต่…..”
“ไม่มีแต่ เจ้าต้องจำไว้ เจ้าต้องไปยอดเขาใจสงบ ไม่แน่ขึ้นไปแล้วเจ้าจะรู้สึกว่าไม่ต้องก้มหัวให้ใครอีก” ชิงเทียนหลินยิ้มมุมปากจาง ๆ
“ข้าย่อมต้องไป” จูเก่อฉงเอ่ยแล้วกำหมัดแน่น
เห็นอีกฝ่ายไม่ลังเลแล้ว ชิงเทียนหลินจึงพยักหน้ายิ้ม เอ่ยกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่แน่อีกไม่นานอาจได้พบหญิงรับใช้ที่เจ้าพบในอารามให้หายคิดถึงบ้าง จะมัวแต่คิดเรื่องทุกข์ไปทำไม?”
ยามได้ยินเช่นนั้น จูเก่อฉงก็เปลี่ยนสีหน้าไป เขาพบว่าตนเองคิดถึงนางไม่หยุดตั้งแต่ได้พบกัน ดูท่าสิ่งใดที่ไม่ได้มาครองคงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดกระมัง
“ได้เห็นนางอีกแล้วอย่างไร? นางชอบโหลวจวินเหยามากเสียจนข้าทำอะไรให้นางก็ไม่ใส่ใจ” จูเก่อฉงเอ่ยแล้วก็ให้มีสีหน้าโกรธขึ้ง “แค่มีหน้าตาหล่อเหลาหน่อย ทำไมพวกสตรีถึงได้จิตใจตื้นเขิน มัวหลงใหลกับรูปลักษณ์ของเขากัน!?”
ชิงเทียนหลินนัยน์ตาทะมึนลง นัยน์ตาปกคลุมไปด้วยความลึกล้ำ พลันเอ่ยปากขึ้น “ความชอบแค่ความรู้สึกชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น เมื่อเจ้าแกร่งกว่าเขา นางก็จะมาหา มาเอาใจเจ้าเอง สตรีทั้งหลายมักยกย่องบุรุษมีพลังอำนาจเป็นเรื่องปกติ”
ชื่นชอบหรือ?
เขารู้ว่าคนผู้นั้นมีใจไม่บริสุทธิ์ต่อชิงชิงของเขา แต่ชิงชิงต้องไม่ตกหลุมรักเจ้านั้นง่าย ๆ แน่ นางมีจิตใจเย็นชาและใจแข็งเสียยิ่งกว่าใคร เขามั่นใจว่านางไม่มีทางไปตกหลุมรักใครได้ง่าย ๆ
แต่หากนางทรยศเขาจริง เขาคงเสียการควบคุมแล้วลงมือทำเรื่องบางอย่างก็เป็นได้
ที่เดิมตามคนทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ คือซีจ้านเฉินที่ได้ยินทุกสิ่งอย่าง เขาสังเกตเห็นใบหน้าชั่วร้ายของชายหนุ่มแล้วก็อดรู้สึกกังวลในใจไม่ได้
ชิงเทียนหลินเป็นคนเสียสติ เขารู้มาโดยตลอด
แต่เขามีวันนี้ได้ก็เพราะชิงเทียนหลิน ดังนั้นจึงไม่อาจต่อต้านอีกฝ่ายได้ เต็มใจทำทุกอย่างให้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
แต่หลังจากได้เจอนาง ความคิดเช่นนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป
ในตอนแรก เขาเรียนรู้ที่จะซุกซ่อนความจริงไว้
จากนั้นก็เรียนรู้ถึงเรื่องที่ไม่ควรทำ เรื่องที่ไม่ควรเอ่ย คอยปกป้องนางอย่างไม่รู้ตัว ไม่อยากให้นางต้องพบอันตรายใด
แม้ว่าบางอย่างจะทำให้เขากลายเป็นคนทรยศไป
แต่ลึก ๆ ในใจเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว เพื่อนาง เขายอมทำเรื่องที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต เพียงอยากให้นางได้คลี่รอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เล่ห์เหลี่ยมดังเดิมออกมา
นางจะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนอยู่เสมอ คนที่มอบความอบอุ่นให้เขา เป็นห่วงเขาโดยไร้สิ่งใดขัดขวาง มอบความรู้สึกเช่นนั้นให้คนแปลกหน้าเช่นเขา
ราวกับนางสวรรค์
เขาชอบนาง มันเป็นความรู้สึกที่ได้แต่ฝังลึกไว้ในใจ เฝ้าหวงแหนมันไว้ตลอดกาล
ชิงลั่วเยี่ยนที่นอนหลับอยางสงบสุขมานาน วันนี้กลับสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก
หากแต่ในฝันนางกลับไม่ใช่ใบหน้าชิงหลานเฟย ทั้งยังไม่ใช่สีหน้าผิดหวังสิ้นหวังของท่านพ่อ แต่เป็นใบหน้าที่นางนึกไม่ถึง ใบหน้าของคนที่นางลืมไปเสียสิ้น
เป็นคนร้ายที่ร่ายมนตร์ใส่นางเมื่อคราวนั้น
เดิมที แม้นางจะรู้สึกเศร้าเสียใจไม่พอใจเพียงไหน แต่ก็ไม่คิดกลายเป็นคนเช่นนี้ เป็นคนที่แม้แต่ตัวนางเองยังจำไม่ได้
นางจะมีความกล้าสังหารพี่น้องสายเลือดเดียวกันได้อย่างไร ทั้งยังทำบาปหนาอย่างสังหารบิดาตนเอง…..
เรื่องพวกนั้นนางไม่ต้องการสักอย่าง
แต่ไม่รู้ว่าเริ่มเมื่อไหร่ ปีศาจที่มองไม่เห็นกลับมาปรากฏในโลกของนาง ล่อลวงจิตใจนางไม่มีที่สิ้นสุด ขยายจุดอันมืดมิดในใจนางในตอนแรกจนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
โลกของนางจึงเริ่มเต็มไปด้วยเสียงนั้น
“ความสว่างและความศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน? มีเพียงวิชาต้องห้ามเท่านั้นที่จะมอบพลังอำนาจให้เจ้าได้ จะไม่มีใครกล้าขวางเจ้า มีแต่ยอมสยบแทบเท้าเจ้า!”
“เอามาเป็นของตนเองไม่ได้? เช่นนั้นก็ทำลายเสีย จะได้ไม่มีใครอาจครอบครอง!”
“เจ้าเพียงแต่ต้องฆ่านาง บุรุษผู้นั้นก็จะเป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว!”
“ขัดขืนงั้นหรือ? เช่นนั้นก็ให้เขาได้ลิ้มรสชาติของการท้าทายเจ้าเสียหน่อย!”
“ใครกล้าขวางทางหยุดยั้งเจ้าก็ฆ่ามันให้หมด! สังหารคนที่กล้าท้าทายให้สิ้น…..”
สุดท้าย นางก็กลายเป็นนางปีศาจกระหายเลือดที่มีชีวิตเพื่อฆ่าสังหาร ใบหน้าที่เดิมทีงดงามน่ามองค่อย ๆ กลายเป็นใบหน้าเย้ายวนใจอย่างร้ายกาจ ไม่มีใครต้านทานเสน่ห์ของนางได้ จนกระทั่งความศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดายังไม่หลงเหลืออยู่บนตัวนางอีกต่อไป
จนถึงขั้นที่แม้ในใจนางไม่ได้อยาก แต่ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่นางต้องการไปแล้ว สุดท้าย เรื่องราวในอดีตทั้งหลาย นางที่จิตใจสับสนวุ่นวาย ล้วนทำให้พวกมันเกิดขึ้นทั้งสิ้น
และทุกคราที่นางลืมตาตื่นขึ้นจากฝันในกลางดึก ก็จะรู้สึกถึงความสูญเสียอยู่ทุกครั้ง
ถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นั้นถึงต้องเลือกนาง ทำไมต้องใช้นางเพื่อต่อต้านชิงหลานเฟยกับม่อจิ่งอวี้มากมายขนาดนั้น
แม้นางจะเกลียดทั้งสองที่ทรยศนาง นางก็ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตคนทั้งคู่
แต่คนลึกลับผู้นั้นกลับพยายามจบชีวิตพวกเขาให้ได้
อาจเพราะทั้งคู่บริสุทธิ์มากกระมัง กระทั่งสวรรค์ยังไม่อ้าแขนรับ จึงคืนชีพให้พวกเขา ปล่อยให้พวกเขาได้มีชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง