บทที่ 288 ยุแยงตะแคงรั่ว
บทที่ 288 ยุแยงตะแคงรั่ว

เรื่องนี้มันเป็นอดีตไปนานแล้ว

หากนางไม่ฝันถึงคนผู้นั้น นางก็คงลืมเรื่องแปลก ๆ เหล่านี้ไปสิ้นแล้ว

ชิงหลานเฟยก็เป็นเพียงองค์หญิงคนหนึ่งในหมู่หลายคนในอารามศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งปีที่สิบที่นางเปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนหน้านั้น นางก็แค่เด็กโง่ที่เอาแต่ใจเท่านั้น

นางมีอะไร คนพวกนั้นถึงได้จับตามองใกล้ชิดจนกระทั่งหมายสังหารนางได้?

เดี๋ยว…..

สีหน้าชิงลั่วเยี่ยนพลันตกใจเมื่อมีบางอย่างวาดผ่านในหัว เร็วจนนางจับมันไม่ทัน

ทำไมนางถึงไม่เคยคิด…..

ชิงหลานเฟยก่อนและหลังอายุสิบขวบปี ความต่างนั้นไม่ใช่เพียงความต่างที่เรียกว่ามากเท่านั้น…..

ไม่เลย….. พวกนางเป็นคนสองคนที่แตกต่างกันต่างหาก

แต่ทุกคนรวมถึงนางคิดว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุนั่นที่ทำให้นางป่วยหนัก นางจึงมีนิสัยเปลี่ยนไป

แต่ลองนึกย้อนดู มันไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือ?

เด็กอายุสิบขวบ วัยนั้นไม่ใช่วัยไม่รู้ความแล้ว แต่นิสัยหลาย ๆ อย่าง ความคิดหลาเรื่อง ๆ จะถูกสลักลึกลงกระดูก และไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปได้มากเท่านี้

ชิงหลานเฟย….. หรือนางจะ…..

ราวกับนึกเรื่องเหลือเชื่อขึ้นมาได้ ชิงลั่วเยี่ยนหน้าซีดเผือด ม่านตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

หรือป่วยหนักครานั้นไม่เพียงทำให้ชิงหลานเฟยบอบช้ำเหลือทน แต่ได้สังหารนางไปเลย!

และชิงหลานเฟยที่ปรากฏหลังจากนั้นก็เป็นแค่ตัวแทน…..

คนลึกลับพวกนั้นหมายจะเอาชีวิตตัวแทนชิงหลานเฟยมาตลอดกระมัง ไม่เช่นนั้นเพียงเด็กโง่ไร้สมองคนหนึ่ง มีหรือจะทำให้พวกเขาต้องหลอกใช้นางเพื่อกำจัดชิงหลานเฟยได้?

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว แต่ตอนนี้นางกลับได้เห็นคนลึกลับคนนั้นอีก หรือจะเป็นลางว่ากำลังจะเกิดบางอย่างขึ้นหรือ?

ชิงลั่วเยี่ยนลุกขึ้นจากเตียง แหงนมองท้องฟ้าสีดำสนิทนอกหน้าต่าง เห็นพระจันทร์กลมเด่นลอยอยู่เงียบเชียบ

จันทร์ที่มองเห็นจากอารามจันทร์กระจ่างมักเป็นจันทร์เต็มดวง นั่นก็เป็นเพราะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ และด้วยเหตุที่ไม่มีใครรู้ที่ทำให้คนจากอารามศักดิ์สิทธิ์สามารถเห็นดวงจันทร์ในสภาวะที่งดงามที่สุด กลมเต็มดวง อันมักเป็นลางบอกข่าวดี

แต่ตอนนี้ จันทร์เต็มดวงกลับเหมือนมีส่วนเล็ก ๆ ที่ขาดหายไป ราวกับมันถูกหั่นหายไปอย่างกะทันหัน

นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของชิงลั่วเยี่ยนที่สะท้อนภาพดวงจันทร์ก็แปลกไป จันทร์ไม่เต็มดวง…..

ทุกครั้งที่จันทร์ไม่เต็มดวง ก็มักจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

ย้อนกลับไปตอนที่นางเสียสติควบคุมตัวและสังหารบิดาตนเองและลูกน้องเก่า ขึ้นครอบครองอารามศักดิ์สิทธิ์ นางคิดว่าทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการ แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดดำเนินไปตามแผนของคนผู้หนึ่ง

นางคิดมาตลอดว่าชิงหลานเฟยน่าสงสารน่าสมเพช ไม่จริง ๆ แล้วกลับเป็นนางต่างหาก ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยรู้เลยว่านางเป็นเพียงหมากที่คิดว่าตนทำสำเร็จมากมาย

ชิงลั่วเยี่ยนยกยิ้มเยาะเย้ยตนเอง

นางยกแขนขึ้นมองผิวที่ยังงดงามและได้รับการดูแลอย่างดี นิ้วงามราวกับเด็กสาวแรกแย้ม เฮ้อ….. มือสองข้างของนางเปื้อนเลือดไปเท่าไหร่แล้วนะ!?

—————————————

“ศิษย์พี่ ท่านฟื้นแล้ว”

มีคนตบแก้มนางเบา ๆ ชิงหลานเฟยจึงลืมตาตื่นพร้อมกับความมึนงงหนักหน่วง เห็นเป็นใบหน้างดงามของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังมองหน้าตนด้วยความเป็นห่วง

เห็นนางตื่นแล้ว อีกฝ่ายก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ป้อนอะไรเข้าปากนาง นางยังไม่ทันตอบสนองมันก็กลายเป็นฟองฟู่ละลายในปากทันที ก่อนจะไหลลงท้องไป

ชิงหลานเฟยที่ยังมึนงงอยู่พลันสร่างขึ้นเล็กน้อย “นั่น…..”

“ของหลายอย่างที่อาจารย์มอบให้ข้าตลอดหลายปี ในที่สุดก็พบของมีประโยชน์บ้าง ร่างกายท่านตอนนี้อ่อนแอเกินไป คงทนได้อีกไม่นาน ให้ข้าได้ช่วยรักษาร่างท่านลับ ๆ โดยไม่ออกอาการเบื้องหน้าเถอะ” เสียงไพเราะของอิงเกออธิบายเบา ๆ

ชิงหลานเฟยมุ่นคิ้วน้อย ๆ “เจ้าช่วยข้าเช่นนี้ หากถูกพบ…..”

“แล้วอย่างไร?” อิงเกอขัด เงยหน้ามองนางไร้อารมณ์ “ข้าไม่ยืนมองท่านตายไปต่อหน้าเฉย ๆ หรอก”

ชิงหลานเฟยเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย นางขยับริมฝีปากราวกับมีคำมากมายที่อยากเอ่ย แต่สุดท้ายก็เอ่ยเสียงงึมงำออกมาได้เพียง “อิงเกอ….. ขอบคุณเจ้า”

“ระหว่างเราไม่ต้องมีคำขอบคุณหรอก” อิงเกอตอบ

“ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”

นางติดอยู่คุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงไม่เห็นวันคืน พลังบำเพ็ญและพลังใจก็ค่อย ๆ เลือนหาย ไม่รู้ว่านางจากมาได้กี่วันแล้ว อยู่มาในนี้ได้กี่วันแล้ว

ที่นางห่วงที่สุดคือเรื่องว่ายอดเขาใจสงบลงมือกับลูก ๆ นางแล้วหรือไม่

“ท่านอยู่ที่นี่มาเดือนหนึ่งแล้ว และยอดเขาใจสงบ….. อาจปรากฏต่อสายตาคนภายในอีกไม่กี่วัน เมื่อถึงเวลา พวกที่มีคุณสมบัติจะกลายเป็นสายเลือดใหม่ของยอดเขาใจสงบ เจ้าเหนือหัวจะเลือกสักหลายคนจากในนั้นมาใช้ทดลอง”

สายเลือดใหม่ที่ว่าก็แค่เอาชีวิตคนมาเปลี่ยนเป็นอาวุธเท่านั้น

แม้คนจะมองว่าเป็นแดนเซียน แต่คนที่มายังยอดเขาใจสงบไม่อาจได้รับสมบัติหรือวิชาลับอะไรทั้งนั้น ได้แต่เป็นตัวทดลองชั้นยอดของยอดเขาใจสงบเท่านั้น

เพราะอย่างไรคนหนุ่มสาวมากมายที่ถูกเลือกมาตลอดหลายปี ก็ยังไม่มีใครอยู่รอดจนถึงชั้นสุดท้ายสักราย

ในการพัฒนาอาวุธที่โดดเด่นที่สุดแล้วนั้น อย่างไรก็ต้องล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนเสียก่อน

ยอดเขาใจสงบไม่เคยหยุดพัฒนาอาวุธยอดแกร่ง เสียเลือดผลาญชีวิตคนไปมากมายไปกับโครงการเปื้อนเลือดอันโหดร้ายนี้

แต่คนจากโลกภายนอกไม่ได้รู้อะไรเลย มีแต่อยากจะขึ้นมา ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

จังหวะที่ได้เริ่มขึ้นแรกไป ก็ไม่อาจถอยได้อีกแล้ว

ความรู้สึกเศร้าและตื่นตระหนกพลันท่วมท้นจิตใจชิงหลานเฟย นางคว้ามืออิงเกอเอาไว้ “อิงเกอ หากยอดเขาใจสงบลงมือกับลูก ๆ ข้าจริง เจ้าช่วย….. ช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดความสามารถได้หรือไม่? ข้ายังมีธาตุเปลวอัคคีในร่าง เจ้าใช้เลือดข้าแทนก็ได้ จะเอาไปเท่าไหร่ก็ได้ แต่อย่าทำร้ายพวกเขาได้หรือไม่? พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไร…..”

“ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เจ้าเหนือหัวตัดสินใจแล้วได้”

อิงเกอก้มหน้าลงเอ่ยเสียงเบา “ตอนกำจัดท่านก็เช่นกัน ตอนที่พวกเขาหมายเอาตัวลูก ๆ มาแทนท่านก็ด้วย ที่ตอนนี้พวกเขายังไม่ฆ่าคนทรยศเช่นท่านก็เพราะนางยังรู้สึกว่าท่านมีประโยชน์อยู่”

อิงเกอปัดฝุ่นที่มุมชุดออกก่อนลุกขึ้น “ท่านทำได้อย่างเดียวคือภาวนาให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ให้พวกเขารอดชีวิตออกไปได้ ศิษย์พี่ ท่านก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว เมื่อถึงเวลา ตัวท่านเองอาจยังเอาไม่รอด ไม่ต้องคิดถึงเรื่องช่วยลูก ๆ เลย”

พูดจบอิงเกอก็หมุนตัวเดินจากไปช้า ๆ

นางยังคงมาหาทุกครึ่งชั่วยามทุกวัน แม้ชิงหลานเฟยจะไม่รู้ แต่คนส่วนมากไม่อาจเข้ามาในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงได้ด้วยซ้ำ แล้วทำไมอิงเกอถึงไปมาตามใจได้ ดูท่าจะไม่ถูกผลใดจากที่นั่นทำร้ายด้วยซ้ำไป

อาจเพราะหลายร้อยปีที่ผ่านมาพลังบำเพ็ญของนางคงแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไรเลยกระมัง!

————————————

“พระจันทร์งดงามนักจนหัวหน้านักบวชอารมณ์ดีออกมาชมจันทร์แทนที่จะพักผ่อนเลยงั้นหรือ?”

ที่ปลายทางเดินหิน คนที่อยู่ในชุดสีน้ำเงิน แหงนหน้าเหม่อมองฟ้า ไม่ใช่ว่าคือหัวหน้านักบวชชางเจี้ยนหรอกหรือ?

นับตั้งแต่ที่เสียความไว้ใจจากชิงลั่วเยี่ยน เขาก็ไม่ค่อยเผยกายต่อหน้าคน และเมื่อพบหน้าใครก็จะทักทายเพียงพยักหน้าน้อย ๆ ไม่ไว้ตัวเย่อหยิ่งอีกแล้ว ทำตัวเงียบเชียบนัก

แต่พบเขาครั้งนี้ เขาไม่คิดหลบหน้านาง

ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนเดินเข้ามายืนข้างเขาช้า ๆ แล้วแหงนหน้าชมพระจันทร์เต็มดวงด้วยกัน ก่อนเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “ได้ยินว่าหัวหน้านักบวชมีพลังศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ไม่น่าเกินความสามารถท่าน ข้าแปลกใจนักว่าเหตุใดดวงจันทร์ถึงมีส่วนที่ขาดหายไปกะทันหันเช่นนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร?”

“เจ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” ชางเจี้ยนถามเสียงเรียบ

“รู้อะไรหรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถามกลับ

ชางเจี้ยนหัวเราะหยัน ก่อนหันมามองนางด้วยสีหน้าดูถูก “ที่นี่มีแต่เจ้ากับข้า ยังต้องเสแสร้งอีกหรือ?”

“หัวหน้านักบวชพูดอะไร? ข้าสับสนมากจริง ๆ” ชิงอวี่ส่ายหน้าเอ่ยเสียงจนใจ

“พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาถูกทำลายสิ้น เจ้าจะบอกว่าไม่รู้หรือ?” ชางเจี้ยนยกยิ้มชั่วร้าย “ตั้งแต่ตอนที่ข้าไปยังหอคัมภีร์ ขอให้เข้าช่วยหาวิชาสำหรับนักบวช เจ้าก็รู้แล้วใช่หรือไม่?”

“งั้นหรือ?” ชิงอวี่กะพริบตาใส “หากหัวหน้านักบวชไม่บอก ข้าก็ไม่รู้เลยนะเนี่ย! ก็ท่าทางของท่านไม่เห็นบอกว่ามีอะไรแปลกไป…..”

“หึ!” ชางเจี้ยนเหมือนหมดความอดทน บนใบหน้าไร้แววยิ้มอีก

“เลิกเล่นได้แล้ว ข้าอยากถามแค่เรื่องหนึ่ง”

“อะไรหรือ?”

“โรคนอนไม่หลับของท่านเจ้าอาราม ไม่คิดหรือว่าอย่างน้อยเจ้าควรอธิบายเหตุผลเบื้องหลังให้ข้าฟัง?” ชางเจี้ยนเอ่ยเสียงเยาะตนเอง

อย่างน้อยเขาก็มีฝีมืออยู่บ้าง นางคิดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเขาจะรู้เสียอีก!

คิดดังนั้นแล้วชิงอวี่ก็ยิ้มหวาน “แย่จริง ถูกหัวหน้านักบวชรู้เข้าแล้ว”

“เป็นเจ้าจริง ๆ ที่มีความคิดสกปรก!”

ชางเจี้ยนเบิกตากว้างไม่อยากเชื่อ ว่าเด็กสาวหน้าตาใสซื่อบอบบางเช่นนางที่ดูน่าสงสารอยู่ตลอด คนอ่อนแอที่โชคดีได้ขึ้นมาจากแดนต่ำ จะหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้

“เจ้าไม่กลัวข้านำไปบอกท่านเจ้าอารามหรือ?” ชางเจี้ยนเอ่ยเสียงทุ้ม

“บอกแล้วอย่างไร? อีกอย่าง ท่านไม่บอกหรอก”

ชิงอวี่ยิ้ม “ลึก ๆ แล้วหัวหน้านักบวชไม่มีความรู้สึกเกลียดชังต่อนางบ้างเลยหรือ? นางคิดถึงท่านแค่ตอนอยากใช้งาน ตอนอื่นท่านก็ถูกทิ้งราวกับรองเท้าคู่เก่า จากเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าทำให้ท่านหัวหน้านักบวชรู้ซึ้งถึงนิสัยนางหรอกหรือ? เช่นนั้นข้าคงเหนื่อยเปล่าแล้ว!”