บทที่ 289 หิมะต้นฤดูร้อน
บทที่ 289 หิมะต้นฤดูร้อน

ชางเจี้ยนหน้าซีดไปทันที

เห็นได้ชัดว่าชิงอวี่พูดจี้จุดเจ็บเข้าอย่างจัง

สำหรับชิงลั่วเยี่ยน เขาเป็นเพียงหมาก ไม่เคยได้รับความเห็นใจสักนิดจากนาง

แม้เขาจะทำทุกอย่างให้นางโดยไร้คำบ่นมาหลายปี แต่นางก็ไม่เคยมองเขาเต็มตาสักครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยฉุกคิดมาก่อน นั่นก็เพราะในใจของเขาชื่นชอบนางมากจริง ๆ หวงแหนนางไว้ภายในเงียบ ๆ

ไม่ว่าในสายตาคนอื่นนางจะโหดร้ายทารุณเช่นไร แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ได้เห็นเงาร่างที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืนของนาง ดูไร้หนทางและบอบบางเหลือเกิน

มีหลายครั้งที่เขาคิดว่านางแสดงความโหดเหี้ยมไปก็เพื่อปกป้องตัวนางเอง เขาเชื่อมั่นว่าอย่างน้อยลึก ๆ ในใจนาง เขาก็ต่างจากคนอื่น

แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้ว

พอมีคนที่ดีกว่า นางก็ทิ้งเขาไม่ไยดี ไม่คิดเลยว่าเขาทำอะไรเพื่อนางไว้บ้าง

ถึงขั้นที่นางอาจสั่งสังหารเขาตาไม่กะพริบหากเขาขวางทางนางเอาไว้

คิดได้แล้ว ในใจชางเจี้ยนก็จมลงสู่ห้วงความสิ้นหวังเรื่อย ๆ

ชิงอวี่มองใบหน้าเขาที่เปลี่ยนไปเรื่อยด้วยความขบขันพลางหัวเราะเสียงเบา “ดูท่าข้าคงไม่ต้องพูดแล้ว หัวหน้านักบวชคิดกระจ่างแล้วสินะ!”

ชางเจี้ยนหลุดออกจากภวังค์ ใช้ใบหน้าหม่นมองเด็กสาว “เจ้า….. เป็นใครกันแน่? เกรงว่าเยว่เฝินไม่ได้บังคับจับเจ้ามาที่นี่ แต่เป็นเจ้าที่ยอมมาเองกระมัง!”

ชิงอวี่สายตาเป็นประกาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยเยาะ เกิดเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ

“อีกทั้งจิตศักดิ์สิทธิ์ของหงส์เพลิงทองคำที่เยว่เฝินพูดถึงกลับหายไปตอนเจ้าปรากฏตัว เจ้าต้องมีบางอย่างเกี่ยวพันกับหงส์เพลิงทองคำเป็นแน่” ชางเจี้ยนใช้สายตาเฉียบคมมองนาง กล่าวคำกระจ่างชัดเจน

“หัวหน้านักบวชพูดอะไรแปลก ๆ อีกแล้ว? ข้าไม่รู้เรื่องหงส์ไฟที่ท่านว่ามาสักกระผีก!” ชิงอวี่ยักไหล่กล่าว ใบหน้าใสซื่อสับสน

ชางเจี้ยนหัวเราะเหอะ รู้แล้วว่านางเพียงทำไร้เดียงสาไปอย่างนั้น ไม่สนใบหน้าตาใสของนางแล้วว่าต่อ “หากเป็นเรื่องอื่น เจ้าอาจจะไหลไปตามน้ำได้ แต่ไม่มีทางที่เจ้าไม่รู้เรื่องอสูรวิญญาณที่กลายเป็นยอดอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างหงส์เพลิงทองคำหรอก”

“ทั่วทั้งสายเลือดหงส์เพลิงทองคำ ไม่ว่าจะพลังบำเพ็ญหรือสติปัญญาก็เหนือกว่ามนุษย์ส่วนมากนัก พวกมันเป็นอิสระไม่ค่อยเชื่อง ทั้งยังปกป้องนายตนมาก เลือดชั้นสูงของมันและความสามารถสะท้านฟ้าทำให้มันเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ก้มหัวให้ใครเว้นแต่นายตนเท่านั้น”

ชางเจี้ยนว่าถึงจุดนี้ก็หันไปมองเด็กสาว “หงส์เพลิงทั้งหลายคืนชีพได้ และด้วยหงส์เพลิงทองคำที่มีพลังเหนือกว่าหงส์เพลิงใด มันไม่มีทางตายง่าย ๆ แต่พริบตาที่เจ้าปรากฏตัว จิตที่เหลืออยู่ของมันก็หายไปทันที เจ้าว่ามันบอกอะไร?”

ชิงอวี่ส่งยิ้มให้ “มันบอกอะไรงั้นหรือ?”

เห็นว่านางยังทำตาใสไม่รู้ความ ในใจชางเจี้ยนยิ่งดูถูกนางมากขึ้น “มันบ่งบอกว่ามีเพียงสองเหตุผลเท่านั้น หนึ่งคือเจ้าเป็นเจ้านายของหงส์เพลิงทองคำ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนรู้ว่ามันได้สยบให้เจ้านายมันเองเมื่อห้าร้อยปีก่อนแล้ว เจ้านายของมันคือองค์หญิงคนสุดท้องของพระเจ้าแห่งอาราม แต่นางหายตัวไปนานและไม่พบนางอีก”

“สองคือเจ้ากับหงส์เพลิงทองคำมีความเกี่ยวโยงพิเศษที่ทำให้มันเชื่อใจเจ้าเต็มที่ หรือว่า…..”

ชางเจี้ยนหยุดเล็กน้อยแล้วโน้มตัวเข้าใกล้เด็กสาว หยุดอยู่ตรงใบหน้าที่เผยรอยยิ้มจาง ก่อนจะเอ่ยความสงสัยที่เก็บไว้มาเนิ่นนาน “เจ้าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงองค์สุดท้ายของพระเจ้าแห่งอาราม องค์หญิงสิบเอ็ดที่หายไปจากอารามศักดิ์สิทธิ์เมื่อครานั้น”

“ข้าโชคดีเคยพบนางมาก่อน ต้องบอกเลยว่านัยน์ตาของแม่นางอวี่ชิงดูเหมือนกับขององค์หญิงสิบเอ็ดอย่างน่าตกใจ…..”

ก่อนหน้านี้ ชิงลั่วเยี่ยนย้ายนางมารับใช้ข้างกาย ก็เพราะนางหน้าตาเหมือนคนผู้นั้นจนอยากทดสอบไม่ใช่หรือ?

โชคไม่ดีที่ผ่านไปนาน ไม่เพียงชิงลั่วเยี่ยนไม่เจอสิ่งใดต้องสงสัย แต่กลับทำให้นางเชื่อเสียสนิทใจ เมื่อชางเจี้ยนไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป ก็ถูกคนอื่น ๆ มองดูถูกเหยียดหยาม บ้างกระทั่งหมายจะเหยียบเขาให้จมดิน แต่เขายังสงบใจไว้ได้และค้นพบว่าเด็กสาวคนนี้มีหลายอย่างผิดปกติ

แค่การที่เด็กสาวจากแดนต่ำผู้อ่อนแอบอบบางคนหนึ่งสามารถเอาตัวรอดบนแดนเมฆาสวรรค์ได้ดีเช่นนี้ก็เหลือเชื่อมากแล้ว

เขาคิดว่าหลังจากพูดไปแล้วจะได้เห็นนางทำสีหน้าตกใจตกตะลึงบ้าง ให้นางเสียท่าทีสงบไป

แต่ชิงอวี่กลับรอให้เขาพูดจบเงียบ ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปรบมือสองสามครั้ง แล้วก็เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง “ข้าคิดว่าหัวหน้านักบวชคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ยามฟ้ามืดได้เก่งกาจที่สุด รู้ว่าเป็นลางดีหรือร้าย ไม่คิดเลยว่าหัวหน้านักบวชจะช่างจินตนาการด้วย ถึงได้นึกคิดเรื่องหรรษาเช่นนั้นได้ เป็นความน่าเคารพแบบใหม่จริง ๆ”

มุมปากชางเจี้ยนที่ยกขึ้นเจือแววขันพลังแข็งค้าง สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่น่ามอง

ไม่คิดเลยว่าตนเองกล่าวคำไปตามตรงเช่นนั้น เด็กสาวก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ทั้งยังตอบปฏิเสธทุกอย่างอย่างโผงผาง หากเขาไม่มีหลักฐานหรือสัญญาณอะไรมาก่อนหน้าก็คงเชื่อการแสดงชั้นยอดของนางไปแล้ว

ชางเจี้ยนหัวเราะหยัน เอ่ยคำเสียงร้ายกาจ “อยากปฏิเสธก็ทำไป ข้าหาหลักฐานมาได้เมื่อไหร่ก็หวังว่าเจ้าจะยังตอบปฏิเสธได้อย่างมั่นใจเล่า!”

“หัวหน้านักบวชเชิญตามสบาย” ชิงอวี่ยิ้มตอบ ทั้งยังผายมือเชื้อเชิญ

ชางเจี้ยนหน้าทะมึนราวกับถ่าน สะบัดแขนเสื้อแล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไป

ดูท่าจะโกรธไม่ใช่น้อย

ชิงอวี่ส่ายหน้าเดินจากมาเช่นกัน เดินไปนางก็อดยกมือขึ้นลูบคางครุ่นคิดไม่ได้ พึมพำกับตนเองเสียงแผ่ว “ข้าเผลอเผยตัวตนไปตอนไหนกัน? ไม่กระมัง….. ข้าออกจะแสดงได้ดีไร้ที่ติ…..”

แต่ดูท่าชางเจี้ยนผู้นี้หลอกไม่ง่าย!

เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น ก็ได้แต่หวังว่านางจะไม่ถูกเปิดโปงต่อหน้าชิงลั่วเยี่ยนก่อนยอดเขาใจสงบจะปรากฏตัวก็แล้วกัน

ไม่รู้ว่าท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง…..

ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี หว่างคิ้วนางเจือรอยกังวล อดรู้สึกไม่ได้….. ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

———————————-

— เขตตัดพรมแดนแห่งแดนเมฆาสวรรค์—

คนจำนวนมากมารวมตัวกัน คนจากขุมอำนาจใหญ่ทั้งห้ายกเว้นอารามศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันมาที่นี่ อารามศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างไรในสายตาคนภายนอกก็ดูลึกลับอยู่บ้าง ย่อมไม่ส่งคนมารอก่อนอยู่แล้ว

เมื่อยามราตรีมาถึง ทุกที่ก็เงียบสนิท ไร้ทั้งเสียงนกแมลง มีเสียงกระซิบมาให้ได้ยินบางครั้งเท่านั้น

ภายในกระโจม จูเก่อฉงส่งเสียงบ่นเบา ๆ ใบหน้าหล่อเหลาบูดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่ามีสีหน้าไม่พอใจ

ในฐานะเจ้าสมาพันธ์นักล่าผู้ทรงอำนาจ การต้องมานอนอยู่ในกระโจมหยาบ ๆ เช่นนี้นับว่าลดเกียรติมาก ทั้งก่อนหน้าก็เกือบจะถูกอสูรวิญญาณชั้นต่ำที่คงจะตาบอดไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกัดเข้าให้

ยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาแย่ลงกว่าเดิม

เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้สมควรให้พวกลูกน้องทำ แต่ชิงเทียนหลินนั่นกลับลากเขามาด้วย หากไม่ใช่ว่ามีข้อเสนอที่ไม่อาจต้านทานได้แล้ว มีหรือเขาจะเอาตนเองมาลำบากเช่นนี้

มองสีหน้าบูดบึ้งของชายหนุ่มแล้ว ชิงเทียนหลินก็หัวเราะ “เอาน่า ที่นี่มีคนมาก เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว อีกทั้งเจ้าไม่ใช่ผู้นำคนเดียวหรอก ผู้นำขุมอำนาจอื่นย่อมมาด้วยตนเองเช่นกัน เจ้ามาก่อนพวกเขายิ่งทำให้เจ้าคุ้นเคยกับพื้นที่ได้มากกว่า จะได้หาทางเข้าไปก่อนเป็นอย่างไร?”

“เจ้าก็พูดมีเหตุผล” จูเก่อฉงขมวดคิ้ว แต่พอคิด ๆ ดูหัวคิ้วก็ค่อย ๆ คลาย

ที่อีกฝั่งหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนพิงหินก้อนใหญ่เพื่อพักเท้า

“ประมุขน้อย ไปหาคนผู้นั้นแล้วหรือ?”

เสียงแหบของสตรีนางหนึ่งดึงชิงเยี่ยหลีหลุดจากภวังค์ เขาจึงหันไปมองสตรีด้านหลังตน

นางสูงผอม ผมยาวปิดหน้าไปกว่าครึ่ง อีกครึ่งหนึ่งงดงามเฉียบคม ทั้งยังเย้ายวนน่ามอง ดวงตาสีดำสนิทราวกับเรืองแสงได้ใต้ฟ้ายามราตรี

ชิงเยี่ยหลีเหลือบมองนางแล้วก็เบนสายตาจากไป เอ่ยเสียงรีบขึ้น “ไปแล้ว”

“ประมุขน้อยดูสีหน้าหนักใจ หรือจะคิดถึงคน8oนั้นอยู่?” นางยังใช้เสียงแหบ ๆ ถามต่อ

“ถ้าใช่แล้วอย่างไร?” ชิงเยี่ยหลีทอดสายตาไปไกล ไม่รู้ว่าพูดกับนางหรือพึมพำกับตนเอง “ได้เฝ้ามองนางเช่นนี้ก็พอแล้ว”

“ทุกครั้งที่เอ่ยถึงนาง ประมุขน้อยของข้าก็มักทำตัวด้อยค่าเช่นนี้ ทำให้ข้าฉงนนักว่านางเป็นคนอย่างไร ถึงได้ทำให้ประมุขน้อยเป็นเช่นนี้ได้…..”

“เจ้าย่อมไม่เข้าใจ” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยขัดด้วยเสียงไร้อารมณ์ “เจ้าไม่รู้จักความอบอุ่นอ่อนโยนด้วยซ้ำ พวกเจ้ามาจากเผ่าอสรพิษ เดิมมีนิสัยเลือดเย็น เทียบกับเจ้าแล้ว ข้ายังโชคดีกว่าเยอะเลยไม่ใช่หรือ?”

นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนมุมปากจะแข็งค้าง น้ำเสียงยามเอ่ยคำแปร่ง ๆ ออกไป “ใช่แล้ว ข้าคงไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกนั้น”

เห็นชิงเยี่ยหลีไม่อยากพูดถึงอีก นางก็ไม่ทำตัวน่าดูแคลนด้วยการถามต่อ เดินไปด้านข้างเงียบ ๆ

เวลาผ่านไป พริบตาเดียวก็เข้าสู่ช่วงดึกสงัด

ชิงเยี่ยหลีไม่ง่วงงุนแม้สักนิด เขามองดาราระยับบนฟ้า นึกย้อนไปเมื่อครั้งที่เขากับชิงอวี่ออกเดินทางฝึกตน ทั้งคู่กลับพลาดตกหลุมลึกไป

ในหลุมพื้นที่แคบ ๆ นั่น แหงนหน้ามองก็เห็นเพียงดาวส่องแสงรำไร ดังเช่นเหมือนตอนนี้

แต่ตอนนี้เรื่องมันต่างไปแล้ว ชิงอวี่ไม่ได้อยู่ข้างกายเขาอีก

ยิ่งเขาเข้าใจว่าระหว่างเขากับนางมีหุบเหวลึกและอุปสรรคกีดขวางมากเท่าไหร่ ชิงเยี่ยหลีก็ยิ่งนึกย้อนถึงความหลังมากขึ้น เขาจำได้ว่ายามพบกันครั้งแรก มันเป็นวันหิมะพรำที่หนาวจับใจเหลือเกิน

พลันที่แก้มก็สัมผัสความเย็นเฉียบ เป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่ง เพิ่มเป็นสอง….. ชิงเยี่ยหลียกมือขึ้นปัดออก พบว่าเป็นหิมะขาวบริสุทธิ์ติดอยู่บนนิ้ว

เขาชะงักไป มองมันค่อย ๆ ละลายบนนิ้วอยู่เช่นนั้นไม่ขยับกายอยู่พักใหญ่

หิมะโปรยลงมาแล้ว

ขณะที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อน ท้องฟ้าที่บอกลาฤดูหนาวไปแล้วหลายเดือนก่อนกลับมีหิมะโปรยลงมาเสียได้