ตอนที่ 83-4 ไปวัด
ฮูหยินใหญ่ยิ้มแล้วมองไปที่หลี่เสี่ยวหรันและรีบกล่าวคําทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า
“นายท่านกลับมาแล้ว!”
หลี่เสี่ยวหรันมีสีหน้าเรียบเฉยขณะที่กล่าวว่า
“ฮูหยินทํางานหนักเกินไปหรือเปล่า?”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มพลางตอบกลับ
“นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรทํานายท่านมิจําเป็นต้องเกรงใจ”
การกระทําของสองสามีภรรยาคู่นี้ดูไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย แต่หลี่เว่ยหยางรู้ดีว่าหลี่เสี่ยวหรันไม่ได้เข้าไปที่ตําหนักของฮูหยินใหญ่มาเป็นเวลาสองเดือนกว่าแล้ว
ในตระกูลที่มีอํานาจและมีเกียรติเช่นนี้ หัวหน้าครอบครัวสามารถมีภรรยาได้สามคนและนางบําเรอได้อีกสี่คน
อย่างไรก็ตามเมื่อหัวหน้าครอบครัวมีนางบําเรอคนใหม่แล้วก็ไม่ควรทิ้งภรรยาหลักของตนเองไว้นานเกินสิบวันหรืออย่างมากก็ไม่ควรเกินครึ่งเดือน โดยสิ่งที่ท่านอํามาตย์หลี่ทําไปนี้ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นดูแคลนนางอย่างมาก
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้หลี่เสี่ยวหรันไปเยี่ยมห้องของฮูหยินใหญ่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าถึงหกวันทุกเดือน แต่ทว่าตอนนี้การกระทําของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
ดูผิวเผินเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาก แต่อันที่จริง… มันเป็นสัญญาณอันตรายอย่างแท้จริง
ตอนนี้หลี่เว่ยหยางลดขนตายาวลงราวกับว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขณะที่ฮูหยินใหญ่กล่าวว่า
“นายท่าน..วันมะรืนนี้ข้าจะไปที่วัดผจี้เพื่อขอพรให้ท่านแม่ และจะพาบุตรสาวของเราไปพักผ่อนด้วย”
หลี่เว่ยหยางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินใหญ่ โดยพบว่าอีกฝ่ายมีท่าที่ดูเป็นปกติ จึงไม่สามารถล่วงรู้ความคิดของนางได้เลย
ในเมื่อแม่สามีป่วย การขึ้นไปขอพรที่วัดก็นับว่าสมเหตุสมผลดีดังนั้นหลี่เสี่ยวหรันจึงไม่คิดที่จะห้ามนาง
“เจ้าจะพาใครไปด้วย?”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มพลางกล่าวว่า
“มีจางเล่อ, เว่ยหยาง, ฉางซีกับน้องสาว และหากฮูหยินรองเต็มใจข้าก็จะพานางไปด้วยกัน แม้ว่าวัดผจจะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ข้าก็จะให้คนติดตามไปดูแลมากหน่อย”
ภายใต้สถานการณ์ปกติแม้ว่าสตรีชนชั้นสูงที่ร่ํารวยมักจะเก็บเนื้อเก็บตัว โดยไม่ค่อยออกไปนอกบ้าน และโอกาสที่จะออกไปข้างนอกก็มีน้อยมาก ดังนั้นโอกาสที่จะเปล่งประกายจึงมีจํากัดเช่นกัน
แม้ว่าสิ่งที่นางกล่าวจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่การไปวัดเพื่อสวดมนต์ก็ถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและมีเกียรติเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่กุลสตรีสมควรทําด้วย
ดังนั้นการที่ฮูหยินใหญ่จะพาบุตรสาวไปด้วยจึงไม่มีอะไรแปลก
อย่างไรก็ตามหลี่เว่ยหยางยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ค่อนข้างผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้
หากฮูหยินใหญ่ต้องการใช้โอกาสนี้ออกไปพักผ่อนจริง การพาจางเล่อไปก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่เหตุใด นางจึงแสร้งทําเป็นใจดีจนถึงขั้นที่จะพาบุตรสาวนางบําเรอเช่นตนเองไปด้วย?
ครั้งนี้มาแปลก?
ฮูหยินใหญ่ไม่กลัวว่าลูกเลี้ยงคนนี้จะสร้างเรื่องปวดหัวให้หรืออย่างไร?
หรือบางที่ผู้หญิงคนนี้อาจมีแรงจูงใจอื่นสําหรับการเดินทางครั้งนี้?
เรื่องนี้ต้องมีวาระแอบแฝงแน่!
วัดผจี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นจากราชวงศ์ก่อนหน้านี้ และต่อมาได้ถูกทิ้งให้ร้าง เนื่องจากจากการเลิกใช้งาน และปัจจุบันได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่โดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
หลังจากที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องกล่าวถึงนักกวีนักวิชาการ พ่อค้าที่เดินทางมาค้าขายและผู้สมัครสอบ แม้แต่เชื้อพระวงศ์ของเมืองหลวงหรือชนชั้นสูงหลายคนต่างก็ยังต้องมาอธิษฐานและขอพรจากวัดนี้
หากฮูหยินใหญ่ต้องการบางอย่างจริง ๆ นางก็คงจะทําอะไรต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมายไม่ได้
หรืออาจจะคิดในแง่ดี เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นางกล่าวออกมานั้นกล่าวด้วยความจริงใจ เพราะว่านางสํานึกผิดในสิ่งที่ทําไปแล้วทั้งหมดและต้องการแก้ตัว จึงตัดสินใจที่จะใจดีกับตนเอง?
เมื่อหลี่เว่ยหยางเมื่อมานึกมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกว่ามันช่างไร้สาระสิ้นดี!
สุนัขไม่สามารถเลิกกินอุจจาระได้ฉันใด ฮูหยินใหญ่ก็คงไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้ฉันนั้นและเมื่อนึกถึงสิ่งนี้เด็กสาวจึงยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านแม่ ท่านย่าต้องมีคนดูแล..อย่างนั้นเว่ยหยางจะอยู่ดูแลท่านเอง”
ฮูหยินใหญ่มองไปที่หลี่เว่ยหยางด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า
“ช่างเป็นเด็กกตัญญจริง ๆ”
หลี่เว่ยหยางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หากฮูหยินใหญ่พร้อมที่จะทําอะไรบางอย่างกับตนเองในระหว่างการเดินทาง นางก็คงจะยืนยันว่าลูกเลี้ยงคนนี้จะต้องไปด้วย แต่นั่นางกลับทําเฉย…
เมื่อหลี่เสี่ยวหรันได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ เพราะหากบุตรสาวของตระกูลหลี่ไปไหว้พระขอพรและมีผู้เดียวที่ไม่ได้ไปคือหลเว่ยหยาง แล้วผู้อื่นจะคิดอย่างไร?
เรื่องนี้ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจจะนําความเสื่อมเสียมาสู่บ้านตระกูลหลี่ได้
อาจมีคนนําเรื่องนี้ไปร่ําลือให้เกิดความเสียหายได้ว่า พวกเขาไม่เมตตาบุตรสาวนอกสมรส ซึ่งมันจะหมายถึงการทําลายชื่อวงศ์ตระกูล? หลังจากใคร่ครวญเรื่องนี้แล้วเขาก็กล่าวว่า
“มีคนคอยดูแลท่านย่าอยู่มากมายในตําหนักเว่ยหยาง! เจ้าควรไปพักผ่อนกับแม่ใหญ่ด้วย”
หลเว่ยหยางกล่าวเบา ๆ ว่า
“เช่นนั้นก็ได้”
คํากล่าวตอบตกลงของหญิงสาวทําให้ฮูหยินใหญ่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และรีบปิดริมฝีปากของตนเองอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองจะต้องปกปิดความพึงพอใจเอาไว้ภายใน
โดยธรรมชาติแล้วตระกูลหลี่จะไม่ทิ้งหลี่เหว่ยหยางเอาไว้ที่บ้านอยู่แล้ว เพราะมันคงดูไม่ดีสักเท่าไหร่ หากสิ่งนี้แพร่กระจายออกไป ดังนั้นผู้อาวุโสหลี่จึงมองไปที่พวกเขาพร้อมกับกล่าวเบา ๆ ว่า
“ส่งคนไปดูแลให้มากหน่อย อย่าให้มีเรื่องเกิดขึ้นเด็ดขาด!”
“รับทราบท่านแม่ วัดผจกําลังเฟื่องฟูและมีผู้หญิงจํานวนมากไปไหว้พระขอพร ดังนั้นก็จะส่งทหารองครักษ์ไปเพิ่มอีกหลายคนเพื่อดูแลความเรียบร้อย ขอให้ท่านโปรดมั่นใจ”
ผู้อาวุโสหลี่พยักหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรอีก
จากนั้นในตอนเย็นหลี่เว่ยหยางได้ยินว่าฮูหยินรองปฏิเสธที่จะไปด้วยโดยกล่าวว่า นางจะต้องกลับไปพบบดาของตนเอง
ขณะที่ซื่อหยินเหนียงเกิดความรู้สึกกังวลใจ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับบุตรสาวของตนเองจึงไปหาฮูหยินใหญ่เพื่อขออนุญาตให้ได้ร่วมเดินทางไปด้วย
และเมื่อหลี่เสี่ยวหรันเห็นว่าทุกคนต่างก็ไปกันหมดดังนั้นเขาจึงให้จิวหยินเหนียงร่วมเดินทางไปด้วย
ส่วนคนที่ไม่ได้ไปก็มีเพียงแค่หลิวหยินเหนียงที่ก่อนหน้านี้มีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ส่วนใหยินเหนียง ผู้ซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบ ก็ไม่ได้ไปด้วยตามตาด ดังนั้นทั้งสองจึงไม่สามารถเข้าร่วมการเดินทางในครั้งนี้
ก่อนออกเดินทางจิวหยินเหนียงประพฤติตัวเป็นปกติทุกอย่างโดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนั้นกับหลี่เว่ยหยางอีกเลย
หลี่เว่ยหยางยังคงสงบนิ่งโดยให้สาวใช้ของนางบําเรอผู้นี้ที่ชื่อ เฉียวจเฝ้าดูการกระทําของจิวหยินเหนียงอย่างลับ ๆ โดยทราบมาว่านางมักจะไปเยี่ยมชิหยินเหนียงอยู่บ่อย ๆ และบางครั้งก็จงใจเผชิญหน้ากับหลี่เว่ยหยางทุกครั้งที่มีคนอยู่ด้วย
และเมื่อถึงวันขึ้นสิบห้าค่ําที่บริเวณหน้าบ้านพักของท่านอํามาตย์หลี่ ก็มีการจัดกลุ่มรถม้าท่ามกลางผู้คนที่กําลังพลุกพล่านขณะที่คนรับใช้กําลังเตรียมของที่เจ้านายของพวกเขาต้องการ
เมื่อมองภาพรวมแล้วเหตุการณ์ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด ทั้งเสียงม้าทั้งเสียงคนดูแล้วมันช่างสับสนปนเปกันไปหมดในช่วงเวลานี้
จากนั้นทุกอย่างก็เรียบร้อยในเวลาที่ฟ้ายังไม่สางดี และต่อมาไม่นานนัก ฮูหยินใหญ่ก็เดินเยื้องย่างออกมาพร้อมกับหลี่จางเล่อในชุดคลุมที่สง่างามเพื่อขึ้นรถม้าประจําตําแหน่ง
โดยหลี่เว่ยหยาง หลี่ฉางซี หลี่ฉางเซียวนั่งอยู่ด้วยกันในรถม้าสีแดงที่หรูหราอย่างสมฐานะและพร้อมจะออกเดินทาง