ตอนที่ 83-3 ลูกสะใภ้ที่รัก

ตอนนี้เรื่องของจิวหยินเหนียง ยังคาราคาซังอยู่ขณะที่ผู้อาวุโสหลี่ก็มาล้มป่วย

ฮูหยินใหญ่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความตั้งใจที่จะยกน้ําชาให้กับแม่สามีด้วยความกระตือรือร้นโดยที่ผู้อาวุโส หรือยังคงทําสีหน้าเฉยเมยและเย็นชา

แต่เธอก็ยังพยายามปั้นหน้าอย่างเหมาะสม เพื่อตอบแทนความมีน้ําใจที่ลูกสะใภ้คนนี้ดูแลเอาใจใส่ตนเองอย่างเต็มที่ แต่ในสายตาของผู้อื่นมันกลับเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง

โดยตอนนี้ฮูหยินใหญ่ลงทุนไปดูแลคนที่ต้มยาด้วยตัวเอง แต่ผู้อาวุโสหลี่กลับเรียกหลี่เว่ยหยางมาที่ด้านข้างตนเองแล้วเอ่ยถามว่า

“ตอนนี้นางทําอะไรเจ้าหรือเปล่า?”

หลี่เว่ยหยางยิ้ม

“ท่านย่าพักผ่อนให้สบายเถิด บางทีท่านแม่อาจเห็นว่าพี่ชายใหญ่และพี่ใหญ่ต่างก็โตแล้วจึงเริ่มใจกว้างมากขึ้นและไม่ต้องการขัดแย้งกับท่านย่า”

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อาถรรพ์ในครั้งนั้น แม้ว่าท่านผู้อาวุโสหลี่จะเห็นได้ชัดว่าลูกสะใภ้ใหญ่ของตนเองไม่ได้กล่าวอะไรอีก แต่แน่นอนว่านางจะต้องเกลียดลูกเลี้ยงคนนี้

แม้ว่าฮูหยินใหญ่จะยังคงยิ้มแย้มตามปกติ แต่ในใจของผู้หญิงคนนี้คงกําลังสาปแช่งให้เด็กสาวคนนี้ตายให้เร็วที่สุด

อยากจะรู้นักว่าผู้หญิงคนนี้เคยหวังดีกับใครบ้าง?

และเมื่อนางมาแสดงท่าที่เอาใจใส่มากเกินไปเช่นนี้ มันยิ่งทําให้หญิงชราเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อได้ยินหลี่เว่ยหยางกล่าวเช่นนั้น หญิงชราจึงครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วตอบกลับไปว่า

“ความจริงแล้วย่ารักเด็กสองคนนั้นมาก แต่พวกเขาก็ทําให้ย่ารู้สึกผิดหวังมากเช่นกัน

อันที่จริงหมินเฟิงควรจะได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีจากมารดาของเขา เพื่อที่ต่อไปในอนาคตจะได้แต่งงานกับภรรยาที่ดี

แต่ความผิดของจางเล่อก็ไม่อาจให้อภัยได้ และนางมักจะคิดว่าย่าลําเอียงอยู่เสมอ แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าถ้าไม่ได้ว่าคนนี้ช่วยปกปิดป่านนี้เรื่องของนางก็คงจะดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองแล้ว!”

หลังจากกล่าวจบประโยค หญิงชราก็เริ่มไอหนักขึ้น

หลี่เว่ยหยางรีบเข้าไปช่วยลูบหลังท่านย่าอย่างแผ่วเบา และกล่าวด้วยความใจเย็นว่า

“ตอนนี้ท่านแม่คงจะเป็นกังวลเรื่องที่พี่ใหญ่อายุสิบห้าปีแล้ว ซึ่งเป็นอายุที่สมควรจะแต่งงาน และหากพวกเขาต้องการไต่เต้าขึ้นไปแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ พวกเขาไม่สามารถทําได้หากไม่มีท่านย่า”

ครั้งที่แล้วในตอนที่หลี่จางเล่อทําลายชื่อเสียงของตนเองให้พังพินาศลงไปกับตาด้วยการเสนอแผนรับมือ ภัยพิบัติตอกฝ่าบาทผู้อาวุโสหลี่เคยแนะนําพวกเขาว่าควรหาครอบครัวข้าราชการธรรมดามาแต่งงานกับนางโดยอาศัยบารมีของตระกูลหลี่

แต่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจคําแนะนําของหญิงชราผู้นี้เลย เพราะแม่ลูกคู่นี้ต้องการไต่เต้าขึ้นไปเป็นเชื้อพระวงศ์ โดยไม่คํานึงว่าตนเองนั้นคู่ควรหรือไม่

หากแผนของนางล้มเหลวหรือเลือกผิดฝั่ง แล้วตระกูลหลี่จะอยู่ต่อไปอย่างไร?

เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสก็รู้สึกไม่มีความสุขพลางกระซิบกับแม่นมหลัวว่า

“อีกสักครู่ เจ้าควรคิดวิธีที่จะให้นางออกไปข้าไม่ต้องการเห็นหน้านางอีก”

แม่นมหลัวยิ้มและกล่าวว่า

“ผู้อาวุโสใจเย็น ๆ ก่อน อีกสักครู่นายท่านก็จะมาหาท่านแล้ว”

หญิงชรากล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ข้าไม่รู้ว่าวิญญาณชั่วร้ายอะไรที่ทําให้ตระกูลหลี่ของเราวุ่นวาย ตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ในบ้านของเราก็คงจะมีเรื่องไม่จบไม่สิ้น!”

ทันใดนั้นหญิงชราก็หยุดนิ่งด้วยอาการตื่นตระหนกและมองไปที่หลี่เว่ยหยางด้วยความลําบากใจเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวว่า

“โอ้! สิ่งที่ข้ากล่าวออกไปมันอาจจะทําให้เจ้ารู้สึกรําคาญ…ลืมมันไปเสียเถิด เพราะเจ้ายังเป็นเด็กคงยังไม่เข้าใจ”

หลี่เว่ยหยางหยิบชามโจ๊กจากถาดสวยหรูด้านข้างพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า

“มิเป็นไร ตราบใดที่ท่านย่าต้องการระบายเว่ยหยางก็ยินดีที่จะรับฟัง ท่านย่าสามารถผลักปัญหาในใจทั้ง หมดมาที่หลานคนนี้ได้เสมอ หากมันสามารถทําให้ท่านย่าสบายใจได้”

คํากล่าวของหลานสาวคนโปรดทําให้ผู้อาวุโสอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างมีความสุข

“คงจะดี…หากมันง่ายดายเช่นนั้น!”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้หญิงชราก็รู้สึกอารมณ์ขึ้นอีกครั้ง

“ตอนนี้ย่าอายุมากแล้ว และได้ผ่านอุปสรรคในชีวิตมาแล้วมากมาย แต่ที่ยังกังวลใจก็เพราะเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องกับหลานของย่า”

หลังจากกล่าวจบหญิงชราก็ไออีกครั้ง!

หลี่เว่ยหยางเป่าโจ๊กเบา ๆ และพยายามกล่าวกับหญิงชราด้วยความระมัดระวังว่า:

“ท่านย่าคือผู้ที่มีตําแหน่งสูงสุดแล้วเป็นคนที่สําคัญที่สุดในบ้านหลังนี้ ดังนั้นมิมีอันใดที่จะสําคัญไปกว่าสุขภาพของท่าน

เพราะตราบใดที่ท่านมีสุขภาพแข็งแรงและมีกําลังใจ พรของท่านก็จะสามารถปกป้องลูกหลานของท่านย่าโดยธรรมชาติ

ซึ่งเป็นเหมือนกับดวงดาวนําโชคที่ส่องแสงอยู่บนที่สูง แล้วเหตุใดท่านย่ายังเป็นทุกข์ใจอยู่อีก?”

คํากล่าวที่ปลอบประโลมเช่นนี้ ทําให้หัวใจของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยดอกไม้ที่เบ่งบาน ขณะที่หญิงชราจองมองไปที่หลี่เว่ยหยางด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

“ปากของเจ้าช่างหวานเสียจริง ๆ “

คนเราเมื่อมีอายุมากแล้วต่างก็ต้องการคํากล่าวที่ปลอบประโลมหัวใจให้รู้สึกอบอุ่น เว่ยหยางเคยดูแลพระอัครมเหสีมาก่อนในชาติที่แล้ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนางที่จะเอาอกเอาผู้อาวุโสของบ้านตระกูลหลี่?

หลี่เว่ยหยางส่งชามซุปในมือของตนเองไปที่ผู้อาวุโสหลี่พลางหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า

“หากจะกล่าวถึงความหวานแล้ว ปากของข้าคงจะเทียบมิได้กับซุปในชามนี้ วันนี้มีซุปออสมันทัสด้วย ท่านย่าควรลองชิมดู”

เมื่อได้ชิมแล้วหญิงชราจึงทราบว่ารสชาติของมันช่างเลิศรสอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้นผู้อาวุโสจึงทานไปพร้อมกับหัวเราะ

ในเวลานี้ม่านก็ได้ถูกยกขึ้นและหลี่เสี่ยวหรานก็เดินเข้ามา หลี่เว่ยหยางจึงรีบลุกขึ้นยืนและแสดงความเคารพเขา ขณะที่หลี่เสี่ยวหรันพยักหน้า จากนั้นก็หันไปหาผู้อาวุโสหลี่และเอ่ยถามว่า

“ท่านแม่ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”

“คงจะดีกว่านี้ หากภรรยาของเจ้าไม่มาแสดงละครให้ข้าดู”

ใบหน้าของผู้อาวุโสจมลงพลางผลักชามทิ้งทันที และกําลังจะตะคอกออกมา แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าหลี่เว่ยหยางยังคงยืนอยู่ตรงหญิงชราจึงรู้สึกกระดากปากที่จะกล่าวมันออกมาอย่างโจ่งแจ้งเกินไป จึงกระแอมขึ้นและ ไม่ได้กล่าวอะไรอีก

แม้ว่าหลี่เสี่ยวหรันจะรู้สึกอาย แต่เขาก็รู้สึกรังเกียจฮูหยินใหญ่อยู่ในใจ แต่เขาไม่สามารถแสดงมันออกมาได้จึงทําเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า

“ท่านแม่ควรพักผ่อนให้มาก ๆ อย่าได้กังวลกับเรื่องอื่นเลย”

ผู้อาวุโสหลี่ถอนหายใจ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรในตอนนี้ ขณะที่ฮูหยินใหญ่นําชามยามาด้วยตนเองพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เป็นมิตรเมื่อเดินตรงไปที่ข้างเตียงของแม่สามี

โดยแม่นมหลัวรู้ดีว่าผู้อาวุโสไม่ต้องการเห็นนาง จึงรีบโผเข้าไปรับถ้วยยาพร้อมกับกล่าวว่า

“ฮูหยินใหญ่! ข้าจัดการเอง”

“ไม่เป็นไร! ในฐานะลูกสะใภ้ข้าควรจะดูแลท่านแม่ด้วยตัวเอง”