ตอนที่ 83-2 นกแก้ว
หลี่เว่ยหยางมองดูนกแก้วอย่างพิจารณาและเห็นขนที่เรียวเล็กอันงดงามของมันและจากการมองเพียงแวบเดียว จึงสามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันถูกซื้อมาในราคาที่สูงมาก
โดยบนอุ้งเท้าของนกตัวนี้ยังมีกระดิ่งผูกอยู่ ซึ่งถูกทําขึ้นจากเงินคุณภาพสูงสุดและผูกด้วยริบบิ้นสีแดงบางๆ เมื่อมาจับคู่กับนกเหลืองสดใสดูแล้วมันช่างสดชื่นและมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่านกตัวนี้มีความแตกต่างจากนกทั่วไป หญิงสาวจึงเอ่ยถามว่า
“นี่คืออะไร?”
“มันปลอดภัยกว่าเจ้างูขาวที่ชื่อว่าบหยาง แต่น่าเชื่อถือกว่าบหยางมากในเรื่องการส่งข้อความ” หลี่หมินเต๋อยิ้มขณะที่ตาของเขาจ้องมองนาง
หลี่เว่ยหยางตกตะลึงอย่างมากภายในใจ
“นี่…สําหรับข้าหรือ?”
หลี่หมินเต่อพยักหน้า
จากนั้นหลี่เว่ยหยางจึงมองลงไปที่นกด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า
“มันน่ารักมาก”
ทันใดนั้นใบหน้าของหลี่หมินเต๋อก็แดงระเรื่อขึ้นและกล่าวว่า
“ขอบคุณมากที่ท่านทําบะหมีอายุยืนให้ข้า”
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เมื่อกลับมาถึงตําหนักหยวนซีหลี่เว่ยหยางได้ทําบะหมี่ให้หลี่หมินเต่อด้วยตนเองเพื่อเป็นการรักษาสัญญาในขณะเดียวกันนางก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ผู้ใดฟังและไม่ได้เอ่ยถามหลี่หมิ่นเต่ออีกเลย
“อ้อ! ยังมีอีกสองคน!” หลี่หมิ่นเต๋อมองย้อนกลับไปและตะโกนออกไปด้านนอก
“พวกเจ้าทั้งสองคนเข้ามา!”
จากนั้นได้มีชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามาและยืนอยู่เคียงข้างเขา
“พี่สาม เด็กสองคนนี้เป็นพี่น้องกันที่ข้านําตัวมาจากข้างนอก เผอิญว่าเมื่อวานข้าเห็นพวกเขาหิวโซอยู่ข้างถนนจึงซื้อทั้งสองคนนี้กลับมา พวกเขาเป็นนักแสดงข้างถนนที่รู้จักศิลปะการต่อสู้ด้วย และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้พวกเขาจะติดตามท่าน”
หลี่เว่ยหยางได้ยินคํากล่าวนี้จึงรู้สึกประหลาดใจมาก ขณะที่ดวงตาสบเข้าที่ร่างของคนทั้งสอง
พี่น้องคู่นี้ดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณสิบสามปี ซึ่งเด็กสาวเกิดมาพร้อมใบหน้าที่สะดุดตาโดยใบหน้าของนางมีความอ่อนโยน แม้ว่าจะไม่ได้งดงามมากก็ตาม
แต่ในสายตาของเว่ยหยางแล้วใบหน้าของเด็กสาวผู้นี้ทําให้ตนเองรู้สึกดี เพราะนางไม่ได้งดงามมากจนเกินไปจนสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ แต่ก็ไม่อาจถูกมองข้ามไปได้เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน
สําหรับหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขามีคิ้วที่ดกหนาและมีรูปร่างหน้าตาดีโดยที่รูปร่างของเขาสูงโปร่งมากตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ มันจึงทําให้สามารถมองเห็นท่าทางที่มีความสง่างามในอนาคตของเขาได้
และเมื่อมองภาพรวมแล้วมันทําให้รู้สึกราวกับว่า ทั้งสองคนนี้ดูไม่เหมือนกับคนเร่ร่อนข้างถนนสักเท่าไหร่
หลี่หมินเต๋อกล่าวว่า
“คนที่เป็นพี่ชายชื่อว่า จ้าวน่าน ส่วนน้องสาวชื่อ จ้าวหยู พวกเขามีความเฉลียวฉลาดมากโดยปกติข้าได้สั่ง ให้จ้าวน่านอยู่นอกบ้านและจะตามไปก็ต่อเมื่อพี่สามออกไปข้างนอก ส่วนน้องสาวนางจะอยู่รับใช้ท่านเหมือนสาวใช้ธรรมดา ท่านมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”
หลี่เว่ยหยางมองไปที่บุคคลทั้งสองและส่ายหัวช้าๆ
ทําให้หลี่หมิ่นเต่อขมวดคิ้วและเอ่ยถามเบาๆ ว่า
“ท่าน…มิชอบหรือ?”
หลี่เว่ยหยางกระพริบตาและกล่าวว่า
“ข้ามิเคยต้องการของขวัญจากเจ้า เหตุใดเจ้าจึงต้องให้พวกเขากับข้าด้วย?”
หลี่หมิ่นเต่อประหลาดใจครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของเขาก็แดงขึ้น เพราะคิดไม่ถึงว่านางจะล่วงรู้แผนการของเขาได้เร็วถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ทําทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง
“เรามิอาจทราบได้ว่าต่อไปจะเกิดอันใดขึ้น ดังนั้นท่านควรเตรียมพร้อมสําหรับการป้องกันตัวเอง”
หลี่เว่ยหยางยังคงปฏิเสธว่า
“หากข้ามีความต้องการ ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”
“ไม่! พี่น้องคู่นี้มิใช่คนธรรมดา ท่านจะต้องชอบพวกเขาแน่นอน และข้าได้จัดเวรยามเอาไว้รอบตัวแล้ว ท่านมิต้องเกรงใจข้า..ได้โปรดให้พวกเขาอยู่ด้วย เพราะหากท่านมิต้องการจริง ๆ ข้าคงต้องส่งตัวพวกเขากลับไป
เมื่อได้ยินดังนั้นสองพี่น้องจึงมองหน้ากันขณะที่คุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
“เราขอร้องเซียนจู ได้โปรดให้เราอยู่ด้วย!”
ทันใดนั้นหลี่หมินเต๋อก็กล่าวขึ้น ขณะที่สีหมึกในรูม่านตาสีดําสนิทของเขาพุ่งขึ้นด้วยสีหน้าที่ดุร้ายที่ไม่คาดคิด
“ถ้าพวกเจ้าจะอยู่รับใช้พี่สามต้องเรียกนางว่า นายหญิง”
“นายหญิง ได้โปรดให้เราอยู่ด้วย” ทั้งสองกล่าวอย่างพร้อมเพรียง
หลี่เว่ยหยางมองไปที่สถานการณ์และเข้าใจในความตั้งใจดีของหลี่หมิ่นเต๋อ ขณะถอนหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
“ตามใจ หากเจ้าทั้งคู่ต้องการอยู่ก็อยู่ไป”
จากนั้นหลี่หมินเต๋อได้โบกมือเป็นสัญญาณให้ทั้งสองถอยออกไปและทันใดนั้นเขาก็กล่าวว่า
“ชายชุดเทาคนนั้น…อันที่จริงเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาผู้ให้กําเนิดของข้าเอง เขามีชื่อว่าเจียงเลย
หลี่เว่ยหยางรู้สึกประหลาดใจและหัวเราะก่อนที่จะกล่าวว่า
“ข้าคิดว่า ชาตินี้เจ้าจะมิเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเสียอีก”
“หากมิใช่เพราะข้า วันนั้นท่านคงจะมถูกทําร้าย แต่ข้าก็ยังปิดบังท่าน..ข้าขอโทษ” หลี่หมิ่นเต๋อกล่าวเบาๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเขากําลังโทษตัวเอง
เขาเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แม้ว่าจะยังเด็กแต่ผิวพรรณของเขาก็มีประกายและเนียนใสราวกับหยกสีขาว คิ้วของเขาดูกลมกลืนกับใบหน้าที่คมคาย อีกทั้งร่างกายของเขาดูเหมือนจะได้รับพลังของความสดใสจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเมื่อมองภาพรวมแล้วราวกับว่าเขาเกิดมาบนโลกนี้เพื่อเปล่งประกายรัศมีของตนเอง
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นตัวแทนของความสว่างไสวในการพิชิตความมืด และคงไม่มีใครกล้าประณามเด็กหนุ่มคนนี้ หลี่เว่ยหยางจึงแตะศีรษะของเขาเบา ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
“ตอนนี้ข้าก็มิได้เป็นอันใดนี่นา”
“เจียงเลยบอกว่า หากข้าต้องการให้ท่านปลอดภัย..ข้าก็ควรจะออกห่างจากท่าน”
หลี่เว่ยหยางสะบัดขนตาเล็กน้อยขณะที่รูม่านตาเปล่งแสงอ่อน ๆ และอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปแตะศีรษะของเขา ทําให้ดวงตาของหลี่หมินเต๋อเป็นประกายขึ้นมา
แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางไม่รู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่ โดยเขาเอียงศีรษะหลบมือของหลี่เว่ยหยาง ทําให้หญิงสาวต้องสัมผัสกับความว่างเปล่าและมือนั้นก็ได้ร่วงหล่นลงด้านล่าง
เขามองนางอย่างคาดไม่ถึงและเชื่องช้ก่อนที่จะกล่าวว่า
“ข้า…ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
หลี่เว่ยหยางหัวเราะชอบใจ เพราะในสายตาของนางเขายังเป็นเด็ก แต่เขากลับกล่าวออกมาว่าตนเองนั้นโตแล้ว
ตอนนี้ผิวขาวกระจ่างใสของหลี่หมินเต็อกลายแป็นสีแดงระเรื่อในทันที
หลี่เว่ยหยางหัวเราะ แต่ได้กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ใช่! หมิ่นเต๋อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และมิใช่เจ้าจะสามารถป้องกันตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถปกป้องข้าได้ด้วยใช่หรือไม่?”
หลี่หมินเต๋อเกิดความรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างขณะที่ดวงตาของเขาหม่นลงทันที โดยหลี่เว่ยหยางไม่ได้กระตุ้นเขาและรอจนกว่าเขาจะคิดออกจากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นและ มองไปที่นางพร้อมกับกล่าวว่า
“ใช่!”