บทที่ 241 แยกบ้าน

บทที่ 241 แยกบ้าน

เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าตั๋วและเงินที่ให้ไป มันทำให้ผู้เป็นย่ารู้สึกอึดอัดในใจ

เมื่อมองท่าทางกระโดดโลดเต้นออกไปของหลานสาว มือที่ถือตั๋วกับเงินก็กำแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่!

เสี่ยวเถียน เด็กคนนี้ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยแม้แต่น้อย มีอะไรเธอก็เอามาให้ตลอด ไม่เคยคิดเลยว่าไม่ว่าจะเงินก็ดี หรือตั๋วก็ดี พอมาอยู่ในมือเธอแล้วจะเป็นของทุก ๆ คน

ไม่ได้การแล้ว เรื่องนี้ต้องพูดให้ชัดเจน เธอจะลำเอียงกับหลานไม่ได้!

คุณย่าซูใช้ประโยชน์จากวันหยุดของหลาน ๆ กลับบ้านที่หงซิน

สามีภรรยาเฒ่านั่งอยู่บนเตียงเตา หลังจากที่คุณย่าซูเล่าความกังวลในใจออกมา มือที่จับกล้องยาสูบของคุณปู่ซูก็กำแน่นขึ้น

ดูผิวเผินเหมือนเขาจะเป็นคนไม่สนใจอะไร แต่ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดออกมา ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล

ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งคุณปู่ซูก็พูดขึ้น

“เรื่องนี้มันง่ายมาก เธอก็บอกว่าเงินกับตั๋วพวกนี้คือสิ่งที่คนที่เสี่ยวเถียนให้ไว้เพื่อเป็นการขอบคุณ เหล่าต้ากับเหล่าเอ้อร์ต้องเข้าใจอยู่แล้ว”

คุณย่าซูเต็มใจที่จะเชื่อในตัวลูกชาย เพราะบางครั้งเงินมันใช้ขับเคลื่อนจิตใจคนได้

“ตาแก่ แกคิดว่างั้นหรือ? ถ้าพวกเขาไม่เชื่อแล้วบอกว่าพวกเราลำเอียงเข้าข้างบ้านเหล่าซานล่ะ”

“ถ้าสองคนนั้นแย้งก็บอกไปว่า หลังจากนี้จะไม่ให้เด็ก ๆ ไปเรียนแล้ว จะเอาบ้านไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน”

ตอนเขาพูดเช่นนี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น ถ้าทะเลาะด้วยเรื่องแค่นี้ คงมีวันที่พวกเราต้องแยกกันอยู่จริง ๆ

ถึงจะบอกว่าแยกครอบครัว แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้แยกกันโดยสมบูรณ์ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราใช้ร่วมกัน จากนี้ไปต้องแยกของใครของมันให้ชัดเจน เพราะถ้าถึงตอนนั้นมันอาจจะพูดยากว่าของพวกนี้มันเป็นของบ้านใครกันแน่

แม้คุณปู่ซูจะคิดว่าลูกชายเป็นคนดีทุกคน แต่เรื่องนี้ใครจะรับประกันได้ล่ะ?

เรื่องหนักใจของผู้เฒ่าทั้งสองเริ่มในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์

เทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์

หลาน ๆ และลูกชายลูกสะใภ้จึงไม่ได้กลับมาที่ชุมชนการผลิตหงซิน

เฉินจื่ออันส่งเสี่ยวจูไปรับพ่อกับแม่ของภรรยาที่หงซินเพื่อมาเฉลิมฉลองเทศกาลในอำเภอ

เนื่องจากทั้งสองต้องเดินทางเข้าอำเภอ หัวหน้าซูเลยบอกไว้อีกว่าสองวันนี้พวกลูกชายและสะใภ้ของคนทั้งสองคงกังวลกับฟาร์มไก่ฟาร์มหมูมาก จึงบอกให้พาพวกเขาไปอำเภอด้วยกัน ไม่ต้องกังวลกับทางนี้

ส่วนซูฉางจิ่วกับภรรยาคิดมาตลอดว่าได้คนบ้านนี้คอยดูแลลูกให้ก็รู้สึกละอายใจเหลือเกิน จึงหาโอกาสคอยช่วยเหลือเอาไว้

บ้านหลักตระกูลซูทุกคนไปฉลองเทศกาลนี้ที่อำเภอ

เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งแรกที่พวกเขาได้ฉลองกันในเมือง และทุกคนในบ้านก็ให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างมาก

อาหารเย็นละลานตา ทั้งเนื้อทั้งผัก รวมถึงขนมไข่ ขนมไหว้พระจันทร์ และผลไม้

เสี่ยวเหมย เสี่ยวเฉ่า และเสี่ยวกังรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่บ้านคนอื่นในช่วงเทศกาลแบบนี้

แต่คนบ้านนี้ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกหลานแท้ ๆ ของตนเอง ให้ทั้งเนื้อทั้งผัก ก่อนที่ทั้งสามคนจะค่อย ๆ รวมเข้ากับบรรยากาศไปด้วยกัน

ดื่มด่ำกับสุราและอาหาร พร้อมทั้งเพลิดเพลินกับดวงจันทร์อีกครั้ง

แต่คุณย่าซูบอกว่า พระจันทร์ไม่น่าชมเลย จึงให้เด็ก ๆ ชมแทน

ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันแบบนี้ในช่วงเทศกาลถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และไม่รู้ว่าเมื่อไรที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นในบ้านของพวกเรา

หลังจากวันนี้เฉลิมฉลองกันด้วยความครึกครื้น ตกดึก เด็ก ๆ ก็เข้านอนทันทีจากความเหน็ดเหนื่อย

ตอนที่คุณย่ากำลังจะพักผ่อน ซูเหล่าต้าเอ่ยขึ้น

“พ่อ แม่ ช่วงนี้มีเรื่องอะไรในใจใช่ไหม ผมมองออกนะ” ซูเหล่าต้าจิบสุราหนึ่งอึก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ปิดบัง

สองสามีภรรยาสบตากัน หากแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา

ซูเหล่าต้าจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ผมเป็นลูกชายคนโต แน่นอนว่าต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่าสถานการณ์ในบ้านเป็นยังไง ก่อนหน้านี้การที่บ้านเราได้กินอิ่มมันยากมาก”

คุณปู่คุณย่ากังวลจริง ๆ ว่าลูกชายคนโตกำลังจะพูดอะไร

หวังเซียงฮวากลัวว่าสามีจะพูดเรื่องไร้สาระหลังจากดื่มสุราเข้าไป จึงคอยห้ามปรามเขาไว้

เพราะคู่เหล่าซานก็อยู่ในเมือง สะใภ้รองก็เช่นกัน

หากสามีจะไม่มีความสุข มันก็อาจเป็นไปได้

“แม่โส่วเวิน ไม่ต้องห้ามฉันแล้ว ฉันยังมีสติอยู่นะ” ซูเหล่าต้ายิ้มให้ภรรยา “เรื่องบางเรื่องพูดให้ชัดเจนจะดีกว่า”

ฉีเหลียงอิงมองสามี จากนั้นเบนสายตามองพี่ใหญ่และสะใภ้ใหญ่ วันนี้พวกเขามีเรื่องอยากจะพูด และมันอาจจะเกี่ยวข้องกับที่บ้านก็ได้

คนอื่นไม่รู้เรื่องสถานการณ์ภายในบ้าน ทว่าคนในบ้านรู้เรื่องนี้ดี

ครอบครัวเหล่าซานมีบ้านแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงบ้านหลังเล็ก แต่มันก็ยังดีกว่าคนอื่นมาก

ถ้าบ้านหลังนี้แบ่งให้ครอบครัวเหล่าต้ากับเหล่าเอ้อร์ได้คงจะดีมาก

ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงซูเหล่าต้าเอ่ยขึ้น

“ถ้าผมเดาไม่ผิด เงินที่ซื้อบ้านน่าจะเป็นผลงานของเสี่ยวเถียน”

ตอนที่เขาพูด เขามองไปที่เสี่ยวเถียนอย่างครุ่นคิด

คุณปู่คุณย่าซูไม่คาดคิดว่าลูกชายคนโตจะพูดเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ

เหล่าซานรีบกล่าวทันที “พี่ใหญ่ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ พี่กำลังพูดเรื่องอะไรครับ?”

เขาแค่กลัวว่าถ้าพี่ใหญ่พูดจาไม่ระมัดระวัง มันอาจจะส่งผลกระทบถึงซูเสี่ยวเถียน

ซูเหล่าต้าเอ่ยต่อ “ที่ชีวิตบ้านเราดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงสองสามปีมานี้ที่ดีเหมือนขี่จรวด ถึงพ่อกับแม่จะไม่พูดออกมา แต่ผมก็พอจะเดาได้”

คุณย่าซูมองลูกชายอย่างเป็นกังวล หากแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาเป็นคนละเอียดอ่อน อาจจะรู้อะไรก็ได้

“เหล่าต้า! แกเมาแล้ว!” คุณปู่ซูรีบพูดทันที

“พ่อ แม่ เงินกับตั๋วมาจากไหนผมไม่ถามหรอก ผมแค่จะบอกว่าตอนนี้ชีวิตบ้านเราดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่อยากให้ทรัพย์สินเล็กน้อยนั่นมาทำให้เราขัดแย้งกัน”

หลังจากเอ่ยจบ เหล่าต้าก็รู้สึกว่าตนเองใช้คำพูดได้ค่อนข้างดี

ซูเหล่าเอ้อร์ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย พอได้ฟังคำพี่ใหญ่จึงเห็นด้วย

“พ่อครับ แม่ครับ พี่ใหญ่พูดถูก จะให้ทรัพย์สินพวกนั้นมาทำให้เราขัดแย้งไม่ได้นะ”

ฉีเหลียงอิงได้ยินที่สามีและพี่ใหญ่พูดก็รู้สึกผิดหวังทันที เดิมที่คิดว่าคู่พี่ใหญ่จะแกร่งแย่งเรื่องทรัพย์สมบัติสักหน่อย พอเป็นแบบนี้ครอบครัวเธอก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย

แต่พี่ใหญ่พูดออกไปแล้ว จะแตกแยกไม่ได้

หากคนอื่นพูดเธออาจจะคิดว่ามันคำพูดเกรงใจ แต่ในเมื่อพี่ใหญ่พูด เธอก็รู้ว่าเขาคงคิดแบบนั้นจริง ๆ

“เหล่าต้า เหล้าเอ้อร์ พวกแกคิดได้แบบนี้ แม่ก็วางใจแล้ว!” คุณย่าซูพูดด้วยความโล่งใจ

หวังเซียงฮวาเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย และตอนนี้เธอก็รู้สึกพอใจกับชีวิตที่มีอยู่แล้ว

นอกจากนี้จะทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้ฟาร์มไก่มากเกินไป เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าบ้านเรามีจะเรื่องให้ขัดแย้งกันเกิดขึ้น

แต่หัวข้อบทสนทนาที่แตกออกมาทำให้เธอรู้สึกว่าเหมือนจะพลาดอะไรไป

“พ่อแม่ สามีฉันว่ายังไงฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ!”

คุณย่าซูมองสะใภ้รอง แต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไร แต่ก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก