บทที่ 275 ความสัมพันธ์ที่ไม่คู่ควร

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 275 ความสัมพันธ์ที่ไม่คู่ควร

บทที่ 275 ความสัมพันธ์ที่ไม่คู่ควร

สาวน้อยรู้งานของตัวเองดี เธอจึงเดินออกไปให้ไกลอีกหน่อย

อวี๋ชิงจ้าวรินน้ำและวางเอาไว้ที่ด้านหน้าของซูโย่วอี๋ด้วยอารมณ์อันสงบนิ่ง “ตอนเข้ามาในเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ ฉันอยากจะหาเงินให้ได้มาก ๆ เลยให้ผู้จัดการหางานให้ฉันอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะ”

ไม่สนใจแม้กระทั่งว่าราคาจะตกลงหรือไม่ แค่มีเงินก็พอ แม้แต่งานเปิดบริษัทเธอก็ยินยอมที่จะไป

“เพียงแต่ว่า มันก็เร็วมากที่ฉันไม่จำเป็นที่จะต้องหาเงินอีกแล้ว”

ซูโย่วอี๋รู้สึกได้เลยว่าเบื้องหลังของคำพูดพวกนี้นั้นมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แต่เธอไม่กล้าถามออกไป กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายโดยไม่ระวัง

รอยยิ้มของอวี๋ชิงจ้าวดูขมขื่นเล็กน้อย “เรื่องราวต่าง ๆ ค้างคาอยู่ในใจมานาน แต่ฉันอยากจะพูดให้เธอฟัง ถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา”

ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกเลย

“เธอจำช่วงที่ถ่ายรายการวาไรตี้ได้ไหม ที่ฉันเคยออกมาตอนกลางดึกครั้งหนึ่ง?”

“จำได้”

สายตาของอวี๋ชิงจ้าวล่องลอยออกไป “ตอนนั้นแฟนของฉันหายตัวไปจากสถานบำบัดคนติดยา เจ้าหน้าที่ที่ดูแลหายังไงก็หาไม่พบ จึงได้โทรศัพท์มาหาฉัน”

“อาการของเขาดีมาโดยตลอด แต่วันนั้นมีกิจกรรมกลุ่มภายในสถาบัน ทำให้การดูแลหละหลวมกว่าปกติ”

เจ้าหน้าที่ในสถานบำบัดออกตามหาทุกที่แต่ก็ไร้วี่แวว จนในสุดก็โทรศัพท์มาหาเธอ

อวี๋ชิงจ้าวเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของแฟนหนุ่ม เพราะถ้าอาการไม่กำเริบ เขาก็เป็นแค่คนปกติธรรมดาคนหนึ่ง

เธอกลัวว่าเขาจะไม่สามารถทนต่อสิ่งยั่วยุและหันไปเสพยาได้อีก

“พวกคุณตามหาเขาเจอที่ไหน?”

อวี๋ชิงจ้าวมองต่ำลง “สนามบาสของโรงเรียน ที่ที่ฉันเจอกับเขาเป็นครั้งแรก”

“ตอนที่พวกเราไปถึง อาการลงแดงทำให้ทั้งตัวของเขาสั่นอย่างแรงจนกัดลิ้นตัวเองเลือดไหล แต่เขาก็ยังคงยิ้มอยู่”

เหมือนกับในวันแรกที่เราพบกัน

เขาพูดว่า ‘ผมคิดถึงคุณ’

เจ้าหน้าที่บำบัดมารับตัวเขากลับไปและล็อกกุญแจมือของเขาไว้กับเก้าอี้ รอให้อาการกำเริบจากยาเสพติดของเขาหายไปจึงได้ปล่อยเขาออกมา

หน้าตาของเขาดูอ่อนล้า ไร้เรียวแรง ใบหน้าขาวซีด…

แฟนหนุ่มกุมมือของอวี๋ชิงจ้าวเอาไว้ “ขอโทษนะ ผมรู้ว่าคุณกำลังอยู่ในการแข่งขัน แต่ผมก็ทำให้คุณวุ่นวาย ผมขอโทษ”

อวี๋ชิงจ้าวในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าเกิดปัญหาอะไรในใจของแฟนหนุ่ม ใบหน้าของเธอเย็นชา “นายโตแล้ว ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าตอนที่อาการกำเริบ นายไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แล้ววิ่งหนีออกมาทำไม”

“ผมหาคุณไม่เจอ เลยทำได้เพียงไปในสถานที่ที่พวกเราเคยไปด้วยกัน”

แฟนสาวเฉิดฉายอยู่ในโทรทัศน์ แต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อย

“พวกเราเลิกกันเถอะ” น้ำเสียงของเขาสะอึกสะอื้น

อวี๋ชิงจ้าวนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น

“นายว่าอะไรนะ?”

แฟนหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ ผมชุ่มเหงื่อลู่ลงที่หน้าผาก “ถ้าพวกเราเลิกกัน ผมก็จะไม่เป็นภาระของคุณอีกแล้ว”

ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเขาอยากจะปกป้องเธอ ถึงได้ขอคบกับเธอแท้ ๆ

อวี๋ชิงจ้าวหมุนตัวกลับ เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ก่อนที่จะหันหน้าไปหาแฟนหนุ่มอีกครั้ง “แล้วแต่นาย”

พูดจบเธอก็กลับไปยังสถานที่ถ่ายทำรายการวาไรตี้

ส่วนแฟนหนุ่มนั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่งตัวยาว เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาปลอบเขา “เมื่อกี้นี้เธอเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ถ้าคุณทำเพื่อเธอ ก็ไม่ควรจะพูดด้วยอารมณ์แบบนั้น”

“แม้ว่าคุณอวี๋จะยุ่งมาก แต่เธอก็จริงใจกับคุณจริง ๆ”

ไม่อย่างนั้นคนมีชื่อเสียงอย่างเธอจะต้องการแฟนหนุ่มแย่ ๆ แบบนี้ไปทำไมกัน

แฟนหนุ่มนิ่งค้างอยู่ที่เดิม “ผมรู้”

พวกเขาต่างก็รู้ถึงความในใจของอีกฝ่าย แต่ความสัมพันธ์ย่อมมีรอยร้าวได้ตลอดเวลา

ซูโย่วอี๋ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอวี๋ชิงจ้าวจะเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นเช่นนี้ “หลังจากนั้นล่ะ?”

“ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว เขาตายไปแล้ว”

อวี๋ชิงจ้าวดูนิ่งจนน่ากลัว

“ฉันนึกว่าฉันจะรอให้ถึงวันที่เขาหายดีได้ แต่ตอนนี้มันกลับเป็นการรอให้ถึงวันตายของเขาแทน”

ตอนนั้นอวี๋ชิงจ้าวเข้ามาในเทียนฉีเอนเตอร์เทนเมนต์ แล้วทุก ๆ วันก็งานยุ่งมาก

เธออยากจะหาเงินเพื่อส่งแฟนหนุ่มไปสถานบำบัดที่ดีกว่านี้

แต่เจ้าหน้าที่สถานบำบัดโทรศัพท์มาหาเธอและบอกว่าแฟนหนุ่มของเธอเสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาด

อวี๋ชิงจ้าวรีบไปที่สถานบำบัด เธอเห็นเพียงแค่ผ้าสีขาวผืนหนึ่ง

พอเปิดออกดูก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของแฟนหนุ่ม

อวี๋ชิงจ้าวแทบจะล้มทั้งยืน เธอทุบตีเจ้าหน้าที่ของสถานบำบัดและร้องตะโกนราวกับคนบ้า “ทำไมไม่ดูแลเขาให้ดี ๆ!”

ทำไม!

“ทำไมเขาถึงหาของแบบนั้นมาได้?”

เจ้าหน้าที่ดูสับสน “คุณอวี๋ ยาเสพติดที่ยึดได้จากผู้ชายที่เพิ่งถูกจับกุมเข้ามา ยังไม่ทันได้ส่งมอบเลย”

อวี๋ชิงจ้าวเอียงตัวเข้าไปหาร่างที่ตายไปแล้วของแฟนหนุ่ม และเอาแต่พูดคำว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมา

ถ้าเธอรีบหาเงินได้ไวกว่านี้ก็คงดี

เธอจะได้พาเขาไปอยู่ในสถานบำบัดที่เป็นมืออาชีพมากกว่านี้ เขาไม่ควรมาอยู่ในสถานที่ที่ทำได้เพียงจับตัวเขาไปขังไว้ในเวลาที่อาการกำเริบแบบนี้

ขอเพียงแค่รออีกนิด เธอก็จะมีเงินแล้วแท้ ๆ

มีเงินเยอะมาก ๆ

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็ทำความสะอาดทุกอย่างและมอบสมุดบันทึกเล่มหนาให้กับเธอ

“แฟนของคุณเขียนเอาไว้ตอนที่ยังมีสติอยู่”

อวี๋ชิงจ้าวกลับไปยังที่พักพร้อมกล่องใบเล็กที่ข้างในเต็มไปด้วยของที่เป็นเหมือนที่ระลึก

เธอเปิดอ่านสมุดบันทึกไปทีละหน้า

‘วันที่ 18 กรกฎาคม 2019 ผมเจอหญิงสาวคนหนึ่งที่สนามหญ้า เธอสวยมาก แต่เหมือนเธอกำลังมีเรื่องอะไรในใจ เธอนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งหลายชั่วโมง หวังว่าพรุ่งนี้จะยังได้พบกับเธออีก’

‘วันที่ 25 สิงหาคม 2019 เธอมาอีกแล้ว นั่งอยู่ตรงที่เดิม อยากจะเข้าไปทำความรู้จักสักหน่อย แต่ผมมันขี้ขลาด’

ต่อมาก็ยังมีอีกหลาย ๆ วัน ล้วนแต่เป็นการพูดกับตัวเอง

‘วันที่ 31 สิงหาคม เธอไม่มา’

‘วันที่ 18 ตุลาคม เธอไม่มา’

‘วันที่ 22 พฤศจิกายน เธอไม่มา หรือเธอจะไม่มาอีกแล้วนะ’

‘อ่า หนาวมากเลย ปักกิ่งหิมะตกแล้ว ตอนแรกก็ไม่อยากไป แต่ก็กลัวว่าเธอจะไป พอเข้าไปถึงสนามก็พบว่าเธอนั่งอยู่ตรงนั้น ผมตัดสินใจว่าวันนี้ผมจะเข้าไปถามว่าเธอชื่ออะไร’

‘เธอมองผมด้วยสายตาอันเย็นชาและพูดว่าออกไป ฮ่า ๆ มันช่างหนาวเหน็บเสียกว่าหิมะซะอีก’

‘ผมรู้สึกว่ามันน่ารักมากเลย ชอบเธอมากกว่าเดิมแล้วสิ’

หลังจากนั้นอีกสามเดือน อวี๋ชิงจ้าวไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย

แฟนหนุ่มรอแล้วรอเล่า จนกระทั่งฤดูร้อนรอบที่สองมาถึง อวี๋ชิงจ้าวสวมเสื้อรัดรูปและปรากฏตัวขึ้นในสนามหญ้า

‘ในที่สุดก็พบเธออีกแล้ว แต่เธอถูกผู้ชายตามรังควาญ ผมจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปและโอบไหล่เธอเอาไว้ พร้อมกับพูดไปว่านี่คือแฟนของผม’

‘ในที่สุดผมก็รู้ชื่อของเธอแล้ว อวี๋ชิงจ้าว ชื่อนั่นดูเย็นชาเหมือนเธอเลย อืม แต่ก็เพราะดี’

หลังจากนั้น พวกเขาก็คบกัน

เขาได้ทำหน้าที่ของแฟนหนุ่ม ได้รักเธอ ได้ดูแลเธอ และได้ให้ความรู้สึกปลอดภัยทั้งหมดกับเธอ

อุบัติเหตุทุกอย่างเกิดขึ้นในวันสำเร็จการศึกษาของแฟนหนุ่ม พวกเขาไปร้องคาราโอเกะกัน แต่หัวหน้าห้องผู้มีศีลธรรมมาโดยตลอดกลับพกยาเสพติดมาด้วย

และยังหลอกล่อให้แฟนหนุ่มของเธอลองเสพด้วย

หลังจากนั้นมาก็ไม่มีอะไรที่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป

ไม่ว่าใครจะยื่นมือมาช่วย ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม

เขามักจะหลงระเริง จนในที่สุดก็เข้าสู่วังวนแห่งยาเสพติด

อวี๋ชิงจ้าวพึ่งก้าวเดินออกมาจากชีวิตที่มีแต่แฟนหนุ่มค่อยดูแล เธอพยายามเข้าร่วมรายการวาไรตี้เพื่อหาเงิน

แต่ในมุมมองของแฟนหนุ่มนั้น

‘ผมจะเลิกยา ผมอยากแต่งงานกับคุณ’

‘เธอเปล่งประกายอยู่บนเวที ช่างงดงามมากจริง ๆ’

‘เธอไม่ได้มาหาผมนานมากแล้ว ผมทำได้เพียงมองเธอผ่านทางโทรทัศน์เท่านั้น’

‘ผมไม่คู่ควรกับเธออีกแล้ว’

‘ผมพูดเรื่องเลิกกันไปแล้ว หวังว่าเธอจะหันกลับมา แต่ไม่เลย ผมรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราตอนนี้มันไม่คู่ควรอีกแล้ว ผมทำให้ตัวเองต้องอยู่ในจุดที่ต่ำต้อย เมื่อผมพยายามร้องขอความเมตตาจากเธอ ความสัมพันธ์นี้เกือบจะถึงจุดจบแล้ว’

‘ควรไปได้แล้ว ให้เธอมีชีวิตที่ดี ผมเองก็ควรจะวางใจ’

ซูโย่วอี๋เองก็รู้สึกทุกข์ทรมานตามไปด้วย

“ชิงจ้าว”

น้ำตาของอวี๋ชิงจ้าวไหลลงมา “ไม่ต้องปลอบฉัน ฉันเข้าใจ ฉันพยายามแล้ว เขาเองก็พยายามแล้ว”

ในเมื่อผลลัพธ์มันเป็นแบบนี้ เธอก็ทำได้เพียงให้ตัวเองยอมรับ

อวี๋ชิงจ้าวเช็ดน้ำตา ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่มีใครให้พูดด้วย แต่ในที่สุด วันนี้ฉันก็ได้พูดมันออกมาแล้ว”

เธอกอดซูโย่วอี๋ “ตอนนั้นฉันขาดการติดต่อไป ไม่มีใครในเทียนฉีเอนเตอร์เทนเมนต์สามารถติดต่อฉันได้ พวกเขาสามารถฟ้องฉันได้เลยด้วยซ้ำ แต่ประธานลู่ก็ไม่ทำ”

“ฉันไปที่บริษัททั้งที่คิดอยู่ในใจว่าถูกฟ้องร้องแน่ ๆ แต่ประธานลู่กลับพูดแค่ว่าปล่อยให้อดีตมันผ่านไป ต่อจากนี้ เงินที่ได้มาให้นำมาชดใช้ค่าเสียหายของก่อนหน้านี้ และเขายังส่งฉันไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศด้วย”

นอกจากซูโย่วอี๋แล้ว อวี๋ชิงจ้าวก็นึกไม่ออกเลยว่าทำไมประธานลู่ถึงได้ยอมทนกับเธอมากขนาดนี้

“ขอบคุณประธานลู่ แล้วก็ขอบคุณเธอด้วย”

ซูโย่วอี๋ส่ายหน้า “คุณเป็นศิลปินที่มีศักยภาพ ลู่เฉินเองก็เห็น”

ความสามารถของอวี๋ชิงจ้าวสมควรได้รับการยกเว้นจากเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์

“คำพูดนี้เป็นรางวัลและการยืนยันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันเลย”

อวี๋ชิงจ้าวปล่อยเธอออก “ขอโทษด้วยนะ ยังไม่ทันได้ให้เธอยอม ฉันก็เล่าเรื่องราวแย่ ๆ ของฉันให้เธอฟังไปแล้ว”

“ฉันไม่ถือสาเลย”

อวี๋ชิงจ้าวรู้สึกโล่งใจ “อืม เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักและก็อ่อนโยนมาก ๆ พักผ่อนเถอะ”

พูดจบก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง

ซูโย่วอี๋โบกมือให้กับบอดี้การ์ดที่อยู่ไม่ไกลและกลับไปยังห้องพักด้วยกัน

ต่อมาเธอพบว่าภายในห้องมีเพียงแค่เตียงนอนอยู่เตียงเดียว “คุณไปนอนที่ห้องข้าง ๆ นะ”

บอดี้การ์ดปฏิเสธเสียงเบา “ไม่ค่ะ หน้าที่ของฉันคือการตามติดคุณ 24 ชั่วโมง”

ไม่ควรปล่อยให้เธอละสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว

ซูโย่วอี๋ยังอยากพูดต่อ แต่ใบหน้าของบอดี้การ์ดจริงจังมาก “คุณซู ฉันได้เงินเดือนสองแสน และฉันก็รักงานนี้มาก ๆ”

โอเค

ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่างานยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ไม่ได้แย่อะไร

บอดี้การ์ดทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างสบาย ๆ ส่วนซูโย่วอี๋ก็เข้าไปในห้องนอนและปิดประตู

สุนัขจิ้งจอกลอยออกมา มันครอบครองเตียงขนาดใหญ่ไป

“ออกไป ขนของนายร่วง”

สุนัขจิ้งจอก ‘…ทำดีไม่ได้ดีจริง ๆ’

“ฉันขอเตือนนายก่อนนะ ฉันฝึกฝน [ความสง่างาม] ทั้งหมดเสร็จแล้ว สามารถเข้าทดสอบได้แล้วด้วย”

ซูโย่วอี๋ชำเลืองตามอง “ทำไมนายถึงไม่แปลงเป็นร่างของคนล่ะ?”

สุนัขจิ้งจอกมองเธออย่างมีเลศนัย [ครั้งแรกต้องเก็บเอาไว้ให้พี่ไป๋]

โอเค

ตามใจ

หลังจากที่ซูโย่วอี๋อาบน้ำเสร็จ เธอก็เข้าไปในพื้นที่ของระบบ พอเข้าไปถึงเสียงแจ้งเตือนที่หายไปนานก็ดังขึ้นมา

[ยินดีต้อนรับ ซู่จู่]

[แจ้งเตือนการเสร็จสิ้นการฝึก] ยินดีกับซู่จู่ที่สำเร็จภารกิจฝึกฝน [ความสง่างาม] และมีท่าทางที่สง่างาม คุณต้องการยืนยันเข้าร่วมภารกิจการสอบครั้งนี้หรือไม่? หากการทดสอบสำเร็จ จะได้รับรางวัลแบบสุ่ม

ซูโย่วอี๋รีบกดปุ่มยืนยันในทันที

[ภารกิจการทดสอบ] [นิตยสารรายสัปดาห์] กำลังเลือกนางแบบขึ้นปกคนใหม่ ข้อกำหนดสำหรับการเลือกครั้งนี้ : โชว์ความงามของผู้หญิงยุคใหม่

[ข้อกำหนดในการคัดเลือก] ห้ามให้เห็นใบหน้า เอาชนะหัวหน้ากองบรรณาธิการผู้จู้จี้จุกจิกด้วยท่วงท่าของร่างกายเท่านั้น

[กำหนดเวลาการทดสอบ] วันที่ 31 ธันวาคม เชิญซู่จู่จัดการตารางเวลา

ขออวยพรให้คุณประสบความสำเร็จ

ซูโย่วอี๋เริ่มคิดทบทวน คนที่ได้ร่วมงานกับ [นิตยสารรายสัปดาห์] ได้ก็มีแค่นักธุรกิจ นักการเมือง หรือบุคคลที่มีอิทธิพลมาก ๆ ในด้านอื่น ๆ แต่ระบบนำเรื่องการขึ้นหน้าปกมาเป็นภารกิจในครั้งนี้

หรือว่าคราวนี้คนบนปกจะไม่ได้มีอิทธิพลต่อสังคม?

เน้นแค่เพียง ‘ความสง่างาม’?

ซูโย่วอี๋ออกมาจากระบบ เธอคำนวนเวลา จึงพบว่าเป็นเวลาที่ดีมาก

วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่ถ่ายทำรายการวาไรตี้วันสุดท้าย

และตอนนั้นเวลาคัดเลือกก็คงจะสิ้นสุด

ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็คงทำได้เพียงขอลาหยุดกับทีมงานของรายการ

“เจ้าจิ้งจอกเน่า ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าระบบดูมีความเป็นมนุษย์มากกว่าเดิมอีกล่ะ?”