บทที่ 276 พูดไม่เก่ง

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 276 พูดไม่เก่ง

บทที่ 276 พูดไม่เก่ง

สุนัขจิ้งจอกส่ายหัว [งั้นเหรอ?]

“ฉันพึ่งลองหาจากในอินเตอร์เน็ต การเลือกนางแบบขึ้นปกแค่ส่งรูปภาพไปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปสถานที่จริง แต่การไปเข้าร่วมในสถานที่จริงจะมีข้อได้เปรียบมากกว่า”

ยังไงมันก็ง่ายกว่า ถ้าเห็นตัวจริง ๆ จะยิ่งมีมิติมากขึ้นด้วย

ซูโย่วอี๋หมุนตัวกลับมา “นอนดีกว่า”

หลายวันผ่านไป การคัดเลือกในขั้นแรกนั้นจบลงไปอย่างรวดเร็ว เหล่าเด็กฝึกทุกคนเข้าพักในหอพักตามการจัดอันดับ และได้ประกาศผลการประเมินครั้งแรกให้ทุกคนทราบ

อาจารย์ทั้งสี่คนรับผิดชอบดูแลชั้นเรียนคนละชั้น และไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมทุกครั้ง ทำให้พวกเขามีเวลาว่างมากขึ้น

วันนี้ซูโย่วอี๋ดูแลห้องเรียน A ให้ฝึกซ้อมจนเสร็จ ทันทีที่เธอเดินออกมาจากประตู ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่มีป้ายของทีมงานรอเธออยู่ “คุณซู ผู้กำกับเชิญให้คุณไปที่ห้องทำงานของเขาครับ”

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” ซูโย่วอี๋ถาม

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ผู้กำกับบอกแค่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายทำ”

“โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

เมื่อมาถึงประตูห้องทำงานที่เปิดอยู่ ซูโย่วอี๋ก็เคาะประตูสองครั้ง

ผู้กำกับรีบลุกขึ้นในทันที “คุณซู มาแล้วเหรอครับ เชิญนั่งก่อนครับ”

ซูโย่วอี๋เดินเข้าไป ด้านหลังมีเหมยเหมยและบอดี้การ์ดตามมาด้วย

ใบหน้ายิ้มแย้มของผู้กำกับแน่นิ่งไป “คุณซู เรื่องที่ผมจะคุยด้วยเป็นเรื่องลำดับขั้นตอนการถ่ายทำ ซึ่งถือเป็นความลับ คงไม่สะดวกที่จะให้คนนอกรับรู้ คุณเชิญสองคนนั้นออกไปก่อนได้ไหมครับ?”

“เหมยเหมยเป็นผู้ช่วยของฉัน ไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องงานเลยค่ะ”

สีหน้าของผู้กำกับดูลำบากใจ แต่ก็ยอมประนีประนอม “แล้วคนนี้ล่ะ?”

ซูโย่วอี๋หันหน้าไปมองผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของเธอ “คุณออกไปก่อน”

แต่… ผู้หญิงคนนั้นกลับยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน

“คุณซู หน้าที่ของฉันคือปกป้องคุณตลอด 24 ชั่วโมง ห้ามออกห่างจากคุณแม้แต่วินาทีเดียว”

เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ดื้อมาก

อีกทั้งการพูดแบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าผู้กำกับมีแรงจูงใจแอบแฝงอย่างอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ใบหน้าของผู้กำกับมืดมนลง

เขาแอบคร่ำครวญ ใครจะกล้าทำอะไรซูโย่วอี๋?

คนคนนั้นไม่ห่วงชีวิตหรือไง?

ไม่รู้เหรอว่าจะถูกประธานลู่จัดการได้ง่าย ๆ?

ซูโย่วอี๋ทำอะไรไม่ถูก “ผู้กำกับคะ ลู่เฉินเป็นคนจัดการเรื่องบอดี้การ์ดให้มาอยู่ดูแลฉันน่ะค่ะ”

ฉันสั่งการอะไรไม่ได้ ตามที่คุณเห็นเลย

ผู้กำกับเองก็ไร้หนทาง “โอเค”

เขาหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะทำงานและหยิบเอกสารออกมา 2-3 ฉบับ หลังจากที่ส่งให้ซูโย่วอี๋แล้ว เขาก็นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงข้าม

“คุณซู เพื่อให้รายการวาไรตี้น่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น พวกเราจึงเสนอคำแนะนำในการถ่ายมาตามนี้ คุณลองดูก่อนครับ”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ซูโย่วอี๋รู้สึกสงสัยในใจ ในเมื่อเป็นคำแนะนำในการถ่ายทำรายการ ทำไมไม่เรียกอีกสามคนมาด้วย?

พอลองเปิดดูจึงเข้าใจว่านี่มันไม่ใช่คำแนะนำในการถ่ายทำรายการ แต่เป็นการที่ทีมงานของรายการได้คิดแผนขึ้นมา

สรุปก็คือ

แผนที่หนึ่ง ตอนคัดคนออก เด็กฝึกที่อาจารย์ชื่นชอบต้องถูกคัดออก ทำให้อาจารย์ร้องไห้ออกมา

เรื่องในส่วนนี้ค่อนข้างยาว ตั้งแต่วันแรกที่รายการเริ่ม อาจารย์ฝึกสอนต้องแสดงความรักและความชื่นชอบที่มีต่อเด็กฝึกเป็นครั้งคราว เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นความรักของครูและลูกศิษย์ก่อน

แต่ด้วยการจัดการของทีมรายการ แผนการในครั้งนี้เหมาะที่สุดสำหรับอาจารย์ผู้ชาย

เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็สามารถทำให้คนส่วนใหญ่จิ้นความสัมพันธ์ระหว่างครูกับลูกศิษย์ได้ เหมือนเป็นการเพิ่มฐานแฟนคลับให้ใหญ่มากขึ้นด้วย

แผนที่สอง การปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งระหว่างอาจารย์ด้วยกันเอง

ระบบการแข่งขันในครั้งนี้คือการให้ทั้งสองทีมแข่งขันกันเพื่อโควตาเลื่อนชั้น ทำให้เหล่าอาจารย์ทำใจยากหากไม่ปกป้องเด็กฝึกของตัวเอง แต่หากแสดงฉากทั้งหมดนี้ออกมาได้ไม่ดี ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

แผนที่สามยิ่งเสี่ยงมากยิ่งขึ้น พวกเขาให้อาจารย์มีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์โดยให้อาจารย์วิจารณ์เด็กฝึกแสดงอารมณ์ว่าจะไม่ถ่ายทำต่อแล้ว

ความตั้งใจเดิมของฉากนี้ ฉากนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าอาจารย์มีความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ของตัวเองมากเกินไป เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของตัวเองยังพยายามได้ไม่เต็มที่ จึงแสดงความโกรธออกมา

เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋วางเอกสารลง ผู้กำกับก็ยิ้มและถามขึ้น “คุณซู คุณลองดูว่าคุณสนใจอันไหน?”

“แผนทั้งหมดนี้เป็นแผนเบื้องต้น อาจารย์ที่เหลือยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน”

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ทีมงานรายการมาพูดเรื่องนี้กับเธอเพื่อให้ซูโย่วอี๋เลือกก่อน

ในห้องถูกความเงียบครอบงำไปครู่หนึ่ง

ซูโย่วอี๋พูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ขอบคุณทีมงานที่เห็นถึงความสำคัญและดูแลฉันมาโดยตลอดนะคะ แต่ว่าฉันพึ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย พลังงานยังมีไม่มาก เกรงว่าจะทำเรื่องพวกนี้ได้ไม่ดี”

“แนะนำให้พวกคุณไปหาคนอื่นดีกว่านะคะ”

ผู้กำกับไม่คิดว่าซูโย่วอวี๋จะปฏิเสธง่าย ๆ แบบนี้ “คุณซู การทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้แค่เป็นประโยชน์ต่อรายการเท่านั้นนะครับ แต่ยังเป็นการสร้างกระแสให้คนพูดถึงคุณด้วยนะ”

เหมยเหมยเข้าร่วมการสนทนาแทนซูโย่วอี๋ “ผู้กำกับ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ คุณก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ซูโย่วอี๋ยกเลิกสัญญากับทางรายการไปแล้ว”

“เพราะสาเหตุด้านสุขภาพเหรอ?”

“ใช่ค่ะ”

ผู้กำกับครุ่นคิด “โอเค ผมเข้าใจแล้ว”

“งั้นคุณซูก็ดูแลร่างกายตัวเองดี ๆ นะครับ”

ซูโย่วอี๋ตอบกลับอย่างเกรงใจ “ขอบคุณมากสำหรับความห่วงใยนะคะ”

รอจนกระทั่งซูโย่วอี๋และอีกสองคนไปจากห้องทำงาน ใบหน้ายิ้มแย้มของผู้กำกับก็เรียบนิ่งลง

ในบรรดาอาจารย์ทั้งหมด ความนิยมของซูโย่วอี๋ร้อนแรงมากที่สุด หากเธอทำตามฉากทั้งหมด ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด

ช่างเถอะ

ซูโย่วอี๋ไม่ใช่คนที่เขาจะไปสั่งได้อยู่แล้ว

ผู้กำกับส่งคนให้ไปเชิญอาจารย์สอนร้องเพลงมาทันที

ถ้าจะพูดถึงอาจารย์ด้านการร้องเพลง…

อวี๋ชิงจ้าว

ชื่อเสียงของอาจารย์ที่เหลือทั้งสามคนก็พอ ๆ กัน ตามเหตุผลแล้ว เขาเรียกมาพูดคุยพร้อมกันได้ แต่เช่นนั้นจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเขาให้สิทธิ์กับซูโย่วอี๋ได้เป็นผู้เลือกคนแรก

คืนนั้น ซูโย่วอี๋ไม่ได้กินอาหารที่ทางทีมงานของรายการจัดมาให้ แต่กลับต้มบะหมี่กินอยู่ในห้องพัก

บะหมี่ร้อน ๆ ที่มีควันลอยฟุ้งออกมา

“หอมจัง”

“อาจารย์โย่วโย่ว พวกเราขอเข้าไปดูห้องพักของพวกคุณได้ไหมคะ?”

ซูโย่วอี๋โผล่หัวออกไปทางหน้าต่าง เห็นเด็กหญิงสี่ห้าคนยืนอยู่ด้านนอก

ดูสดใสกันจัง

“ประตูไม่ได้ล็อก พวกเธอเข้ามาสิ”

เหล่าเด็กหญิงรีบพากันเข้ามาและเข้าไปหาซูโย่วอี๋ “ทำบะหมี่นี่เอง อาจารย์โย่วโย่ว คุณไม่กลัวอ้วนหรอคะ?”

“รูปร่างของคุณดูดีมาโดยตลอด พวกเรายังนึกว่าคุณน่าจะควบคุมอาหารอย่างหนักเสียอีก”

ซูโย่วอี๋ใช้ตะเกียบคนในหม้อน้ำซุป “กินบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีวินัยกับตัวเองมากเกินไป ชีวิตจะมีความสุขได้ไงล่ะ”

“อยากกินด้วยกันไหม?”

เหล่าเด็กสาวมองหน้ากัน “กินค่ะ”

“แต่ว่าบะหมี่ในหม้อจะพอหรือเปล่าคะ”

ซูโย่วอี๋หยอกเล่นขึ้นมา “เมื่อกี้บอกกลัวอ้วนไม่ใช่เหรอ? คิดว่าบะหมี่เป็นข้าวมื้อหนึ่งเลยหรือไงกัน?”

เหล่าเด็กสาวพากันหัวเราะ

“มาช่วยกันเร็ว ในตู้ยังมีหม้ออยู่อีกใบ พวกเธอไปหยิบมาล้าง แล้วก็ต้มเพิ่มได้เลย”

ในห้องครัวเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ดูคึกคักมาก ๆ

ซูโย่วอี๋ยกบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วมา หญิงสาวคนหนึ่งรีบเข้ามาช่วย “อาจารย์ซู ฉันช่วยค่ะ”

ทุกคนต่างเรียกเธอว่า ‘อาจารย์โย่วโย่ว’ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนเรียกตัวเองว่าอาจารย์ซู

ซูโย่วอี๋เงยหน้ามองผู้หญิงตรงหน้า “เธอเป็นนักเรียนจากโรงเรียนดนตรีใช่ไหม?”

ผู้หญิงที่ถูกถามขึ้นมาดูตกใจ “ค่ะ ฉันชื่อไป๋เหิงค่ะ”

“ฉันจำเธอได้”

นี่คือผู้หญิงที่ขึ้นแสดงเป็นคนแรก การแสดงของเธอไม่เลวเลย บุคลิกก็ดูเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนได้ง่าย

ไป๋เหิงพูดอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณค่ะ อาจารย์”

เสียงผู้หญิงดังมาจากด้านข้าง “อาจารย์โย่วโย่วยังไม่ทันพูดเลยว่าจำเธอได้ในเรื่องดีหรือไม่ดี เธอก็รีบขอบคุณซะแล้ว”

ใบหน้าของไป๋เหิงเป็นสีแดง พลางมองไปยังซูโย่วอี๋ด้วยแววตากังวลเล็กน้อย “อาจารย์ซู ฉันพูดไม่ค่อยเก่ง…”

“ไม่เป็นไร”

“ฉันเองก็พูดไม่เก่งเหมือนกัน”

เธอยื่นหม้อซุปให้ไป๋เหิงและซูโย่วอี๋ก็กลับไปยังห้องครัวเพื่อปอกผลไม้

คนที่เหลือเข้ามาช่วยเธอล้างและปอกผลไม้กันอย่างกระตือรือร้น หลังจากนั้นก็รวมตัวกันอยู่ข้าง ๆ เธอ เพื่อเฝ้าดูซูโย่วอี๋ทำให้ผลไม้ธรรมดา ๆ กลายเป็นดอกไม้

และรูปแมว

รูปร่างที่หลากหลายทำให้ทุกคนเกิดความประหลาดใจ

“อาจารย์โย่วโย่วสุดยอดมากเลยค่ะ”

“ฉันจะทำใจกินได้ยังไง”

ซูโย่วอี๋ยกริมฝีปากขึ้น “แค่ทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง”

เธอเห็นจากหางตาว่าไป๋เหิงหันไปสนใจหม้อบะหมี่อย่างเงียบ ๆ และตอกไข่ลงไปสองใบ

ในที่สุดก็เริ่มกิน

ซูโย่วอี๋นั่งอยู่ตรงกลางเหมือนดาวล้อมเดือน

เหล่าเด็กหญิงที่มีบุคลิกร่าเริงสดใสนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ และยื่นบะหมี่ชามแรกให้เธออย่างเป็นกันเอง “อาจารย์โย่วโย่ว หิวแย่แล้วใช่ไหมคะ ถ้าพวกเราไม่มา คุณน่าจะกินเสร็จไปนานมากแล้ว”

“บะหมี่ชามนี้เป็นการไถ่โทษให้คุณ ที่พวกเราทำให้คุณลำบากค่ะ”

ซูโย่วอี๋รับมา “ฉันยินดีให้พวกเธอมาบ่อย ๆ เลยนะ”

“จริงเหรอคะ?” หญิงสาวมีดวงตาขี้เล่น “ต่อให้คุณจะแค่ล้อเล่น พวกเราก็จะถือว่าเป็นเรื่องจริงแล้วนะคะ ถึงเวลานั้น อย่าหาว่าพวกเราวุ่นวายนะ”

“ไม่หรอก”

เธอกินบะหมี่ไปหนึ่งคำ

อืม ไม่เลว เป็นรสชาติที่คุ้นเคย

หลังจากนั้นบะหมี่หนึ่งชาม สองชาม และสามชามก็หมดไปอย่างรวดเร็ว คนที่เหลืออยู่อีก 2-3 คน นอกจากไป๋เหิงกินไปไม่น้อยแล้ว คนอื่น ๆ ก็กินกันแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น

จากนั้นก็กินผลไม้ไปไม่กี่คำ

ยังไม่เข้าใจว่าเด็กพวกนี้อยากจะมาสนิทกับเธอมากกว่าหรือเปล่า ไม่ได้อยากจะกินบะหมี่จริง ๆ

พอวางตะเกียบลง ซูโย่วอี๋ก็ถามขึ้น “การฝึกซ้อมช่วงนี้มีปัญหาอะไรบ้างไหม?”

ผู้หญิงที่ดูมีชีวิตชีวาหัวเราะขึ้นมา “มีนิดหน่อยค่ะ”

หลังจากนั้นก็ผลัดกันขอคำแนะนำ

เด็กเหล่านี้ต่างก็ไม่ใช่คนในชั้นที่ซูโย่วอี๋ดูแลอยู่

ชามและหม้อวางไว้อยู่บนโต๊ะ ไป๋เหิงเก็บไปล้างในห้องครัวคนเดียวเงียบ ๆ

ตอนที่ออกมาเพื่อน ๆ ก็กลับกันไปหมดแล้ว

ไป๋เหิงชะงักค้างไป พลางเช็ดมือให้แห้ง “อาจารย์ซู ฉันกลับก่อนนะคะ”

ซูโย่วอี๋มักจะเห็นใจคนซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบเลยพูดออกไป “เธอมานั่งตรงนี้สิ”

พร้อมกับริมน้ำให้เธอ “กินอิ่มหรือเปล่า?”

ไป๋เหิงพยักหน้ารัว ๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ “อิ่มแล้วค่ะ พวกเรากินมื้อเย็นกันมาแล้ว แต่เพราะฉันตะกละเอง ฉันห้ามใจไม่ไหวเลยกินเข้าไปอีกตั้งเยอะ”

เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้กินอะไรมากมาย

ซูโย่วอี๋รู้สึกตลก “ไม่เป็นไรหรอก”

ความรู้สึกตึงเครียดของไป๋เหิงค่อย ๆ ลดลง และกล้าที่จะพูดมากขึ้น “อาจารย์ซู ฉันไม่เคยเต้นมาก่อนเลยค่ะ การจะแสดงให้จบเลยต้องใช้พลังค่อนข้างมากเลยค่ะ”

การประเมิณครั้งแรกคือการร้องและเต้น

ความเชี่ยวชาญของไป๋เหิงคือการแร็ป ส่วนเรื่องการเต้น เธอถือว่าทำได้ไม่ดี

“เต้นให้ดูหน่อยสิ” อวี๋ชิงจ้าวเดินเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง

“พอดีตอนนี้ฉันว่างน่ะ”

ไป๋เหิงรีบลุกขึ้นยืน “อาจารย์อวี๋ ได้จริง ๆ เหรอคะ?”

“คุณเป็นคนเต้น ถ้าคุณว่าได้มันก็คือได้”

“ฉันทำได้ค่ะ”

ไป๋เหิงรู้ตัวดีว่านี้คือโอกาสอันล้ำค่าที่อวี๋ชิงจ้าวจะให้คำแนะนำเธอได้แบบตัวต่อตัว เธอมองไปรอบ ๆ และพบว่าพื้นที่ไม่พอสำหรับการเต้น

“ฉันจะไปเต้นที่สนามค่ะ”

ไม่รู้ว่าข้างนอกหิมะตกลงมาตอนไหน

แต่ไป๋เหิงเข้าไปกลางหิมะอย่างไม่ลังเล ดีที่หิมะพึ่งจะตกลงมาเบา ๆ ที่พื้นจึงยังไม่มีหิมะมากนัก

ไป๋เหิงถอดเสื้อคลุมออกและตัวสั่นด้วยความหนาว “อาจารย์อวี๋ อาจารย์ซู ฉันจะเริ่มเต้นแล้วนะคะ”

ท่าทางของเธอมีปัญหาอยู่บ้าง

เดิมทีเธอร้องเพลงได้ไม่เลวเลย แต่เพราะเต้นไปด้วย เลยทำให้เสียงของเธอไม่คงที่

ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เพลงจบลง

อวี๋ชิงจ้าวขมวดคิ้ว “ใส่เสื้อคลุมและเข้ามา”

ครั้งนี้ทำให้ไป๋เหิงไม่กล้านั่งลงแล้ว เธอยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้างเพื่อรอให้อาจารย์ทั้งสองแสดงความคิดเห็น

แต่อวี๋ชิงจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในสายตาของฉัน ระดับการเต้นของเธอไม่ผ่านเกณฑ์ มีเวลามาคุยเล่นอยู่ที่นี่ ไม่สู้ไปซ้อมที่ห้องซ้อมเพื่อเต้นหลาย ๆ รอบไม่ดีกว่าเหรอ”