บทที่ 217 หึงหวง
ก่อนที่รุ่ยอ๋องเฟยจะออกเรือนนั้น นางมีสหายมากมาย ทว่าหลังจากแต่งงานแล้วต่างฝ่ายต่างห่างเหิน นางเป็นถึงไท่จื่อเฟย สหายเหล่านั้นจึงไม่เห็นนางเป็นเหมือนดั่งพี่สาวน้องสาวธรรมดาอีกต่อไป

แม่นางกู้ช่างดีแท้

ไม่ปฏิบัติต่อนางด้วยความเกรงกลัวหรือห่างเหินเพียงเพราะนางเป็นไท่จื่อเฟย

อันที่จริงนางเองก็ไม่เข้าใจนักว่ากู้เจียวทำเช่นนี้ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนเรียบง่ายเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีเรื่องใดสามารถทำให้นางประหลาดใจได้

ได้อยู่กับคนแบบนี้สินะ ถึงจะรู้สึกมีอิสระขึ้นมาบ้าง

รุ่ยอ๋องเฟยส่งคนกลับไปที่โรงหมอ ก่อนจะจ่ายเงินค่ารักษาแล้วจากไป

ในยามบ่าย โรงหมอมีคนไข้ที่ต้องออกตรวจนอกสถานที่ เป็นคนเจ็บที่เคยรักษาตัวที่นี่ เขาเย็บแผลเสร็จแล้วก็ควรจะไปตัดไหมให้เขาได้แล้ว

หมอซ่งและหมอคนอื่นๆ ต่างวิ่งวุ่นกันอยู่ กู้เจียวถามถึงที่อยู่ ก่อนจะนั่งรถม้าของโรงหมอแล้วมุ่งหน้าไปที่นั่น

คนเจ็บผู้นั้นถูกชิ้นส่วนของเตาเผาที่ระเบิดกระเด็นโดนบริเวณบั้นเอว เย็บแผลไปยี่สิบกว่าเข็ม สภาพแผลก่อนหน้านี้สมานตัวค่อนข้างดี แต่มีครั้งหนึ่งที่ดันลื่นล้มยามลงจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ บาดแผลบางส่วนจึงฉีกขาดอีกครั้ง

แผลคราวนี้ก็สมานตัวดีไม่เลว

กู้เจียวตัดไหมให้เขา

“มียาที่ต้องกิน ต้องทาอีกหรือไม่” คนเจ็บถาม

กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ยามนี้ดีมากแล้ว กินอาหารรสอ่อนสักหน่อยก็พอ”

คนเจ็บขอบคุณอย่างซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นางกู้ยิ่งนัก!”

คนเจ็บผู้นี้เป็นช่างฝีมือมืออาชีพที่ทางการกรมโยธาว่าจ้างมา เป็นคนเมืองหลวงโดยกำเนิด หากแผลหายดีแล้วก็จะกลับไปทำงานที่กรมโยธาเช่นเดิม

กู้เจียวนึกถึงคนที่ไม่มีบ้านให้กลับอย่างเจียงสือและเสี่ยวเจียงลี่ที่อยู่ที่โรงหมอในตอนนี้

ทว่าครุ่นคิดอยู่ไม่นานนัก

กู้เจียวก็ขึ้นนั่งบนรถม้า

เสี่ยวซานจื่อที่ขับรถม้าอยู่ จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา “แม่นางกู้ ตรงโน้นดูคึกคักยิ่งนัก!”

อันที่จริงกู้เจียวเป็นคนนิสัยค่อนข้างเย็นชาคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันนางเองก็ชอบความคึกคักด้วย ช่างเป็นอุปนิสัยที่คัดแย้งกันดีแท้

นางแหวกม่านพลางกวาดตามอง ท่าทางเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงได้ครึกครื้นเช่นนี้ “หอชิงเฟิงน่ะ”

“อ๋อ นั่นคือหอชิงเฟิงที่พูดถึงกันเองหรอกหรือ” แม้เสี่ยวซานจื่อจะได้ยินมาหลายต่อหลายหน แต่ก็ไม่เคยเข้าไปเยือนสักครั้ง เขาแอบมีความหวังเล็กๆ

หอชิงเฟิงเป็นหนึ่งในโรงเหล้าชั้นสูงประจำเมืองหลวง เหล้าปลาอาหารมีครบพร้อม ทั้งยังมักจะเปิดวางเดิมพันเรื่องแปลกประหลาดอยู่บ่อยๆ

“ไปดูเสียหน่อย” กู้เจียวเอ่ย

เสี่ยวซานจื่อดีใจในทันที “ขอรับ!”

ทั้งสองไปยังหอชิงเฟิง

เหตุที่วันนี้คึกคักเป็นพิเศษนั้นเป็นเพราะเซียวลิ่วหลัง

ที่แท้หอชิงเฟิงเปิดลงเดิมพันกระดานใหม่ ครั้งนี้ไม่ใช่ทายกันตรงตัวว่าใครจะได้ลำดับที่หนึ่งหรือที่สอง แต่กลับเป็นการลงเดิมพันว่าใครจะได้เป็นต้าซานหยวน

ช่างน่าเร้าใจนัก

นอกจากคนที่สอบได้ที่หนึ่งตีคู่มากับอันจวิ๋นอ๋องแล้ว ยังจะมีใครคิดถึงซานต้าหยวนคนที่สามอีก

แต่ว่าจะมีซานต้าหยวนพร้อมกันถึงสองคนได้อย่างไร

หอชิงเฟิงประกาศกร้าว หากมีสองคนขึ้นมา พวกเขาจะจ่ายเป็นสองเท่า

แน่นอนว่าไม่มีทางมีพร้อมกันสองคน และนั่นไม่ได้อาศัยจากการคาดเดาด้วย แต่มีคนไปสืบข่าววงในจากวังหลวงมาได้ว่า ฮ่องเต้จะไม่ยอมให้มีสองคนแน่นอน เช่นนั้นปัญญาก็อยู่ที่ว่าจะลงเงินฝั่งใครดี

“แน่นอนว่าต้องเป็นอันจวิ้นอ๋อง จะเป็นผู้ใดไปได้อีก” ซิ่วไฉอายุสามสิบคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “อันจวิ้นอ๋องลงสนามสอบด้วยตนเอง คว้าที่หนึ่งมาทุกสนาม หากสอบระดับราชสำนักได้ที่หนึ่งก็จะรับยศขั้นลิ่วหยวนแล้ว เซียวลิ่วหลังผู้นั้นมาจากอำเภอเล็กๆ การสอบขุนนางเคอจวี่ของเมืองหลวงนั้นยากกว่าแค่ไหนไม่ต้องพูดก็รู้กันดี ยิ่งไปกว่านั้นฝีมือของเขาก็ไม่คงที่นัก ข้าได้ยินมาว่าเขาสอบระดับสำนักได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แม้แต่เสี่ยวซานหยวนยังไม่ได้เป็น เช่นนี้แล้วพวกเจ้ายังกล้าลงเดิมพันฝั่งเขาอีกหรือ”

ผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล!

แม้ในท้องที่เขาจะเรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิ แต่พอมาอยู่เมืองหลวงนั้นกลับไม่มีค่าเลยแม้แต่นิด

อย่ามองเพียงแค่ว่าเขาสอบได้ที่หนึ่งตีคู่มากับอันจวิ้นอ๋องในการสอบชุนเหว่ยฤดูไม้ผลิ เพราะนั่นอาจเป็นเพราะโชคช่วยก็ได้!

เหล่าขุนนางในคณะเสนาบดีคงจะเห็นแก่เขาที่ชาติกำเนิดต้อยต่ำแต่ยังเขียนเรียงความออกมาได้ไม่เลว จึงให้คะแนนสงสารไปไม่น้อย หากไม่ใช่เช่นนั้นอย่างเขาน่ะหรือจะเทียบกับอันจวิ้นอ๋องได้

ไม่มีทางเสียหรอก!

ท้ายที่สุดอันจวิ้นอ๋องก็เป็นฝ่ายที่มีผู้ลงเดิมพันมากที่สุด มีเพียงนักเสี่ยงดวงเพียงไม่กี่คนที่กัดฟันลงเดิมพันให้เซียวลิ่วหลัง

เพื่อดึงดูดความสนใจของเหล่าผีพนันมากขึ้น หอชิงเฟิงจึงไม่ลังเลที่จะแขวนลำดับรายชื่อต้าซานหยวนไว้ ณ ตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดภายในโถงใหญ่

รายชื่อของอันจวิ้นอ๋องอยู่ลำดับแรกฝั่งซ้ายมือ ส่วนเซียวลิ่วหลังอยู่ในลำดับที่สอง

ทว่าเงินเดิมพันของทั้งสองนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว

ใต้ชื่อของอันจวิ้นอ๋องมีอัฐทองแขวนเต็มไปหมด ส่วนด้านล่างชื่อของเซียวลิ่วหลังนั่นกลับมีอัฐเงินเพียงหนึ่งก้อนห้อยอยู่อย่างโดดเดี่ยว

อัฐทองหนึ่งก้อนแทนค่าหนึ่งพันตำลึง

อัฐเงินหนึ่งก้อนแทนค่าหนึ่งร้อยตำลึง

คราวก่อนกู้เจียวขายพู่กันมือสองของฮ่องเต้ได้ในราคาแปดพันตำลึง สามพันตำลึงถูกเอาไปหมุนเวียนใช้จ่ายในโรงหมอและโรงงานยาที่เปิดใหม่ จึงเหลือเงินอยู่ห้าพันตำลึง

แม้จะไม่มีตั๋วเงินติดตัวมา แต่นางมีป้ายคู่ที่ใช้เบิกเงินได้

นางเดินเข้าไปในโถงใหญ่ “ข้าจะลงเดิมพัน”

อีกฝากหนึ่ง ภายในห้องส่วนตัวของหอชิงเฟิง อันจวิ้นอ๋องเองก็ลงเดิมพันเช่นกัน

เขาไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง

แต่ด้วยมาดสง่าผ่าเผยของเขา ผู้ดูแลร้านจึงไม่กล้าปล่อยให้เขารอนาน

ผู้ดูแลร้ายเอ่ยถามอย่างนอบน้อม “ท่านชาย ท่านจะวางเดิมพันอันดับซานหยวนหรือขอรับ ท่านจะลงฝั่งอันจวิ้นอ๋องก็ได้นะขอรับ เขาชนะแน่นอน”

อันจวิ้นอ๋องไม่ได้สนใจอยากจะลงเดิมพันชื่อของตัวเองสักเท่าไหร่ เรียวนิ้วของเขาเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ สองสามที “ข้าได้ยินมาว่าที่นี่มีลงพนันทั่นฮวาด้วย”

“เอ่อ คือ…คือ…มีขอรับ” ผู้ดูแลร้านคิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายถามถึงหมวดทั่นฮวา

เพราะเกิดเรื่องของกู้จิ่นอวี๋ไม่นานมานี้ กระดานเดิมพันทั่นฮวาจึงพลอยโดนหางเลขไปด้วย มีคนตำหนิหอชิงเฟิงว่าไม่ตรวจสอบแม้กระทั่งคุณสมบัติขั้นต่ำของคนในรายชื่อ ทำให้พวกเขาต้องสูญเงินโดยใช่เหตุ

อันที่จริงถึงแม้ผลจะยังไม่ออก แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่ากู้จิ่นอวี๋นั้นไม่มีหวังแล้ว เหล่าคนที่ลงพนันชื่อนางต่างขาดทุนกันจนอ่วม

วันนี้จวงเย่ว์ซีนำโด่งเป็นอันดับหนึ่งของกระดานทั่นฮวา ทิ้งห่างคู่แข่งคนอื่นขาดลอย

ผู้ดูแลร้านคิดว่าเขาจะลงเดิมพันฝั่งจวงเย่ว์ซีเสียอีก

อันจวิ้อ๋องล้วงตั๋วเงินหนาปึกขึ้นมาวางบนโต๊ะ พลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “ลงเดิมพันฝั่งคุณหนูใหญ่กู้ทั้งหมด”

ผู้ดูแลร้านตาพร่าไปหมด!

อันจวิ้นอ๋องที่กำลังลงพนันฝั่งกู้เจียวอยู่นั้น พอเหลียวลงไปมองชั้นล่างก็เห็นกู้เจียวถือป้ายคู่ออกมาวางเดิมพันต้าซานหยวน “ห้าพันตำลึง เซียวลิ่วหลัง”

อันจวิ้นอ๋องรู้สึกเหมือนถูกศรธนูแทงเข้ากลางหัวใจ “…”

กู้เจียวแทงพนันให้กับสามีของตัวเองเสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นใต้ชื่อของสามีตนเองมีอัฐทองคำเปล่งประกายระยับคล้องกันเป็นสาย นางจึงเดินออกไปอย่างชื่นมื่น

เพิ่งจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า น้ำเสียงอ่อนโยนก้องกังวานก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “บังเอิญนัก แม่นางกู้”

กู้เจียวหันหลังกลับไปเมื่อเห็นเป็นอันจวิ้นอ๋อง จึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย “มีธุระอะไรหรือ”

อันจวิ้นอ๋องนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นางเพิ่งลงเดิมพันไป ก็รู้สึกปวดใจทั้งยังหัวเสียไม่น้อย “แม่นางกู้ไม่เชื่อใจในตัวขนาดนั้นเชียวหรือ”

นางเอ่ยอย่างสงสัย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เดิมพัน” อันจวิ้นอ๋องชี้ไปที่กระดาษซานหยวนในโถงใหญ่

“อ๋อ” กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากเจ้ามั่นใจในตัวเอง จะลงเดิมพันฝั่งตัวเองก็ได้ แต่ข้าใช้เงินของข้าไปหมดแล้ว”

อันจวิ้นอ๋องคิดในใจ… ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น

ช่างเถิด เขาเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองหมายความว่าอย่างไรกันแน่

“หากไม่มีธุระอะไร ข้าขอตัวก่อน ลาล่ะ” กู้เจียวหันหลังกลับขึ้นรถม้า

“เดี๋ยวก่อน” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยรั้งนาง

กู้เจียวเหลียวหน้ากลับมา จ้องมองไปที่เขา

อันจวิ้นอ๋อง “หากไม่มีธุระ จะไปหาเจ้าไม่ได้เลยหรือ”

กู้เจียว “ไม่ได้”

อันจวิ้นอ๋องสูดหายใจลึก “หากรักษาโรคเล่า”

อู่หยางที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย โธ่ สวรรค์ ไหนพูดเสียดีดิบดีว่าไม่มีวันเชื่ออีกฝ่าย เหตุใดถึงได้กลับคำเร็วนัก

กู้เจียวเอ่ยเสียงนิ่ง “มาที่โรงหมอ”

อันจวิ้นอ๋องยิ้มอบอุ่น “ได้เลย”

ทั้งสองนั่งรถม้าของตนเองกลับไปยังโรงหมอ

ยามที่กู้เจียวพาอันจวิ้นอ๋องเดินเข้ามาในโรงหมอ เถ้าแก่รองและผู้ดูแลหวังที่กับตรวจบัญชีกันอยู่ที่โต๊ะหน้าร้านก็พากันตกตะลึง

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใคร

เจียวเจียวของพวกเขาแอบมีชายคนใหม่อย่างนั้นหรือ

เว้นแต่กู้ฉังชิงแล้ว กู้เจียวไม่เคยปรากฏตัวพร้อมกับชายใดนอกเหนือไปจากเซียวลิ่วหลัง แต่กู้ฉังชิงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง ทว่าเขาคนนี้ไม่มีทางใช่เป็นแน่

กู้เจียวเดินนำด้านหน้า นางเองอาจจะไม่ทันได้สังเกต ทว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองนางนั้นแตกต่างออกไป หากเป็นบุรุษด้วยกันแล้วย่อมเข้าใจดี

ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังมองพวกเขาทั้งสองหัวจรดเท้า อันจวิ้นอ๋องจึงเอ่ยออกไปอย่างอ่อนน้อมทว่ายังคงไว้ซึ่งท่าทางสง่างาม “ข้ามาหาหมอ”

เถ้าแก่รองเอ่ยเสียงอึกอีก “เอ่อ…มาหาหมออย่างนั้นหรือ มาหาเสี่ยวกู้ใช่ไหม”

เสี่ยวกู้อย่างนั้นหรือ อันจวิ้นอ๋องยกยิ้มมุมปาก หลบลงแอบปกปิดรอยยิ้ม “ใช่ มาหาเสี่ยวกู้น่ะ”

เถ้าแก่รองเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพลั้งปากออกไป

เขากับเสี่ยวกู้นั่นคบค้ากันมานานจึงเรียกอีกฝ่ายว่าเสี่ยวกู้ แต่คนป่วยที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้อย่างเจ้า ถือดีอย่างไรว่ามาเรียกว่าเสี่ยวกู้เหมือนเขา

เถ้าแก่รองแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ!

อันจวิ้นอ๋องวางอัฐเงินก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะหน้าร้าน “ค่ารักษา”

เถ้าแก่รอง “เชิญด้านในขอรับ!”

ผู้ดูแลหวังคิดในใจ ให้มันได้อย่างนี้สิเจ้าน่ะ!

อันจวิ้นอ๋องตามกู้เจียวเข้าไปในห้องตรวจ

กู้เจียวพบเขาครั้งแรกก็รู้ในทันทีว่าเขาเป็นโรคตาบอดตอนกลางคืน ทว่ายังแสร้งถามเขาไปตามพิธี “นั่งลงเถิด ไม่สบายตรงไหนล่ะ”

อันจวิ้นอ๋องนั่งลง “ดวงตา”

กู้เจียวมองเขา บ่งบอกให้เขาพูดต่อ

อันจวิ้นอ๋องลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็บอกออกไปตามตรง “ตอนกลางคืนจะมองไม่เห็นน่ะ”

กู้เจียวถามต่อ “นอกจากมองไม่เห็นแล้ว มีตรงไหนไม่สบายอีกหรือไม่”

“ไม่มี” อันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า

“อาการเช่นนี้เป็นมานานเท่าไหร่แล้ว” กู้เจียวถาม

อันจวิ้นอ๋องนึก “ไปอยู่แคว้นเฉินได้ปีที่สองก็เริ่มมีอาการ หมอเคยตรวจดูแล้ว บอกว่าน่าจะมีคนวางยาข้า เพียงแต่ยังตรวจไม่เจอเสียทีว่าเป็นยาอะไรกันแน่”

“นั่นไม่เกี่ยวกับกับยาพิษหรอก” กู้เจียวถามเรื่องสายตาของเขาต่อ

อันจวิ้นอ๋องตอบ “หากอยู่ไกลไปหน่อยก็มักจะมองไม่เห็น”

กู้เจียวชี้ไปที่อักษรบนผนัง “ตรงนั้นล่ะ”

อันจวิ้นอ๋องส่ายหัว

มีอาการของสายตาสั้นด้วย

กู้เจียววินิจฉัยในใจ

กู้เจียวเปิดกล่องยาใบน้อย ก่อนจะหยิบไฟฉายกระบอกเล็กกว่าฝ่ามือออกมา

การตรวจภายในดวงตาต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถหยิบอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ขนาดนั้นออกมาจากกล่องยาใบน้อยได้ นางจึงทำได้เพียงตรวจด้วยตาเปล่าของนาง

กู้เจียวเป็นหมอ ยามรักษาคนไข้ ในสายตาของนางไม่แบ่งแยกชายหญิง

นางลุกขึ้นแล้วยืนนิ่งตรงหน้าอันจวิ้นอ๋อง ก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อย “ประเดี๋ยวจะรู้สึกแสบตานิดหน่อย เจ้าอดทนไว้ ห้ามขยับ”

“ได้” อันจวิ้นอ๋องขานรับ

เขาว่าง่ายกว่าหลิ่วอีเซิงหลายเท่า หมอบอกให้ทำอะไรก็ทำทั้งนั้น บอกว่าห้ามขยับไปไหนก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง

กู้เจียวชอบผู้ป่วยที่ให้ความร่วมมือ

กู้เจียวใช้มือข้างหนึ่งถ่างเปลือกตาของเขา แล้วใช้โหมดลำแสงของไฟฉายน้อยตรวจดวงตาของเขา

อันจวิ้นอ๋องไม่รู้ว่าของที่นางถืออยู่ในมือคือสิ่งใด รู้เพียงแค่ว่าสว่างมาก จนเขามองอะไรไม่เห็นเลยสักอย่าง

ปลายจมูกได้แต่กลิ่นอ่อนๆ ของนาง

“อืม” กู้เจียวตรวจตาเสร็จก็เก็บไฟฉายลง แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง จากนั้นก็ถามถึงอาหารการกินของเขาช่วงก่อนและหลังไปอยู่ที่แคว้นเฉิน จึงได้พบว่าเขาระวังตัวมากยามอยู่ที่แคว้นเฉิน มีอาหารมากมายที่ไม่กล้ากิน จนทำให้โภชนาการของเขาเริ่มมีปัญหา

โรคตาบอดตอนกลางคืนแบบนี้รักษาง่ายนัก

สายตาอาจจะกลับมาเป็นปกติได้

กู้เจียวหยิบน้ำมันตับปลาขวดหนึ่งออกมาจากกล่องยาใบน้อย แล้วเปลี่ยนถ่ายใส่ขวดดินเผาก่อนจะยื่นให้เขา “วันละครั้ง ครั้งละหนึ่งเม็ด”

“ไม่ใช่เพราะถูกวางยาจริงๆ หรือ” อันจวิ้นอ๋องรับขวดยามา ก่อนจะถามอย่างสงสัย

แต่ก็ไม่แปลกที่เขาจะระแวงเช่นนี้ เพราะตอนที่เขาถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเฉินยามอายุได้เพียงแปดขวบนั้น ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดหมายปองชีวิตเขา เขาถูกวางยาพิษไม่ใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้ง

“ไม่ใช่ยาพิษ” กู้เจียวเอ่ยอย่างมั่นใจ

อันจวิ้นอ๋องกระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันใด ที่แท้ไม่ใช่เพราะถูกวางยาพิษหรอกหรือนี่ มิน่าล่ะถึงเขาพยายามแทบตายก็จับตัวคนร้ายไม่ได้เสียที แถมยังฆ่าเชลยผิดตัวไปถึงสองคน

วันนี้กั๋วจื่อเจียนเลิกเรียนเร็ว หลิวเฉวียนจึงมารับเสี่ยวจิ้งคงกลับอีกแล้ว เพื่อที่ตอนเย็นจี้จิ่วอาวุโสจะได้สอนเสริมวิชาภาษาต่างแคว้นให้กับเสี่ยวจิ้งคง

เซียวลิ่วหลังก็ไปที่โรงหมอเช่นเคย

เมื่อเขาก้าวเข้าไปก็แอบสัมผัสได้ว่าสายตาของทุกคนที่มองมานั้นดูแปลกพิกล โดยเฉพาะเถ้าแก่รองและผู้ดูแลหวัง ในแววตาของทั้งสองมีทั้งความเห็นใจทั้งความกระอักกระอ่วน แถมยังไม่กล้าสบตาเขาอีกต่างหาก

ตั้งแต่ที่ขาเสีย เซียวลิ่วหลังก็เคยชินกับสายตาหลายหลากที่มองมา จึงไม่ได้ใส่ใจนัก ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กของกู้เจียว

เถ้าแก่รองกระซิบ “เจ้าว่า พวกเราควรบอกว่าเขาหรือเปล่าว่าเสี่ยวกู้อยู่ที่ห้องตรวจ”

ผู้ดูแลหวัง “นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกกระมัง”

ประเด็นหลักอยู่ที่พวกเขาเข้าไปตั้งนานสองนานแล้วแต่ยังไม่ออกมาเนี่ยสิ

กู้เจียวรักษานานขนาดนั้นเชียวหรือ

แน่นอนว่าหากสองคนนั้นจะทำเรื่องบัดสีก็คงไม่ใจกล้าขนาดนี้หรอกกระมัง กู้เจียวมีเรือนส่วนตัว หากจะทำอะไรกันจริงๆ ก็ควรไปที่เรือนเล็กของตัวเองสิ

แต่ก็แทบจะนับครั้งได้ที่นางตรวจผู้ป่วยคนหนึ่งนานถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ชายคนนั้นดูท่าทางไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด แถมยังหน้าตาดีมากอีกต่างหาก

เถ้าแก่รองคิดในใจ ข้ารู้จักเสี่ยวกู้ดีที่สุด นางคงหลงใหลได้ปลื้มกับความหล่อเหลานั้น เหมือนกับตอนที่เจอเซียวลิ่วหลังครั้งแรกเป็นแน่!

ตอนที่เซียวลิ่วหลังหลับหมดสติยามตรวจร่างกาย เสี่ยวกู้ก็ถ่วงเวลาขลุกอยู่กับเขาอยู่ในห้องตั้ง

หลายชั่วยาม หึ อย่าคิดว่าเขาไม่รู้เชียว!

ทางไปยังเรือนเล็กต้องผ่านห้องตรวจ

เซียวลิ่วหลังเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าห้องตรวจ ก็เห็นประตูห้องเปิดออกมา

นั่นคืออันจวิ้นอ๋อง

เซียวลิ่วหลังชะงักฝีเท้าลง

บังเอิญว่าขณะเดียวกันนั้น กล่องยาใบน้อยถูกวางหมิ่นเหม่จึงร่วงตกลงมาจากโต๊ะ กู้เจียวเอื้อมมือออกไปคว้ากล่องยาใบน้อยจนบั้นเอวเกือบกระแทกเข้ากับโต๊ะ อันจวิ้นอ๋องพุ่งถลาก้าวเข้าไป ยื่นมือออกไปกันเอวบางไม่ให้ชนกับขอบโต๊ะ

อันที่จริงเขาไม่สัมผัสตัวนางแม้แต่น้อย เพราะนางเบี่ยงตัวหลบ นางไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้น

ทว่าจากมุมที่เซียวลิ่วหลังเห็นนั้น เหมือนว่ามือของเขากำลังโอบเอวของนางอยู่

แววตาของเซียวลิ่วหลังขุ่นมัวขึ้นมาในทันใด